ตอนที่ 2
บ้านสวนสองชั้นกลางเก่ากลางใหม่ชานเมืองกรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่าหนึ่งไร่ซึ่งรายล้อมด้วยแมกไม้ ทั้งไม้ดอกไม้ประดับที่สามารถเก็บเกี่ยวมาใช้ประโยชน์ได้ อาทิ ดอกพุด ดอกมะลิ ดาวเรือง บานไม่รู้โรย ซึ่งปลูกเรียงรายตามแนวกำแพงบ้านที่ปกคลุมด้วยดินและโรยด้วยก้อนหินแทนการปูพรมหญ้า กำแพงบ้านอีกฟากฝั่งหนึ่งตั้งศาลพระภูมิเจ้าที่อยู่ใต้ต้นกาสะลองสูงใหญ่ ถัดไปไม่มากนักคือซุ้มขนาดเล็ก ภายในตั้งแคร่ไม้ไผ่สำหรับนั่งเล่นนอนเล่นรับลม เลยไปอีกนิดคืออ่างคอนกรีตไม่ใหญ่มากนักสำหรับเลี้ยงปลาสวยงามและปลูกบัวสายหลากสี ยามบานจะส่งกลิ่นหอมล่อมวลหมู่ผึ้งตัวเล็กตัวน้อยมาดื่มน้ำหวาน จากประตูบ้านซึ่งทำตามสแตนเลสสลักลวดลายสวยงามเป็นพื้นคอนกรีตขนาดพอให้รถยนต์วิ่งผ่านไปจอดยังบริเวณหน้าบ้าน
ถัดจากตัวบ้านเยื้องไปทางหลังบ้านนั้น คือบริเวณกว้างที่จัดทำเป็นครัวเปิด มีแคร่ไม้ไผ่สองหลังสำหรับวางบรรดาเครื่องครัวและพืชผักบางชนิดเช่นฟักเขียว ฝักทองที่เป็นผลผลิตจากสวน มุมหนึ่งนั้นตั้งเตาถ่านตัวน้อยหลบมุมไว้สำหรับปิ้งย่างอาหาร และมีเตาแก๊สที่ใช้เป็นประจำตั้งอยู่ไม่ห่างนัก เลยไปอีกนั้นคือเล้าเป็ดเล้าไก่สำหรับเก็บไข่กิน เลยออกไปจากนั้นกั้นเป็นรั้วไว้ขนาดเล็กแบ่งอาณาเขตพื้นที่สวนกับบ้าน
ภายในสวนนั้นเรียงรายไปด้วยพืชผักสวนครัวที่ปลูกคละเคล้าผสมปนเปกันไป แซมด้วยไม้เลื้อยอย่างฟักและฟักทองที่เจ้าของบ้านนำเมล็ดมันมาโยนทิ้ง บางจุดจะมีต้นมะม่วง ต้นกล้วย ฝรั่ง มะละกอปะปนกันไปด้วยเจ้าของบ้านไม่ได้เป็นชาวสวนและไม่ได้คิดที่จะปลูกพืชเหล่านี้เพื่อการค้า หากแต่ปลูกไว้เก็บกินในบางเวลา แต่หากผลมันมีมากก็จะนำมาฝากร้านขายของชำแถวบ้านวางขาย บ้างก็นำไปแจกเพื่อนบ้านละแวกนั้น ท้ายสุดของพื้นที่สวนนั้นจะกั้นกำแพงไว้เพื่อบ่งบอกอาณาเขตและมีต้นถั่วพลูขึ้นเลื้อยเต็มพื้นที่ให้ผลเก็บกินตามที่คนสมัยก่อนเรียกกันว่า ‘รั้วกินได้’
และที่รั้วกินได้นั้น เวลานี้ร่างผอมบางแต่สุขภาพดีสตรีวัยกลางคนในชุดเสื้อสีน้ำตาลเนื้อนิ่มกับผ้าถุงรัดด้วยเข็มขัดเงินสวยกำลังก้มๆ เงยๆ ด้อมๆ มองๆ อยู่กับถั่วพลูที่กำลังออกผลงาม กับกระจาดใบหนึ่งที่สะดึงไว้ข้างเอวบรรจุพืชผักนิดๆ หน่อยๆ สำหรับนำไปประกอบอาหาร
ด้านหลังของนางนั้นปรากฏร่างของคนสองคน คนหนึ่งสูงเพรียวในชุดเสื้อเชิ้ตกับกระโปรงทรงเอ รวบผมตึงเป็นหางม้าไว้ด้านหลัง อีกคนเป็นเด็กหญิงตัวน้อยวัยสี่ขวบในชุดนักเรียนอนุบาลกระโปรงแดง ถักเปียก้างปลาไว้ทั้งสองข้างปล่อยผมหน้าม้ามาบดบังหน้าผากนิดๆ เผยดวงหน้ากลมใสคล้ายตุ๊กตาญี่ปุ่น ทว่าเมื่อมองดีๆ แล้ว จะพบว่าดวงหน้าของเด็กน้อยนั้นดูจะเป็นลูกเสี้ยวมากกว่าไทยแท้ ทั้งสองค่อยๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลัง ต่างพากันปิดปากหัวเราะคิกคักโดยไม่มีเสียง ตากลมโตวาววับของคนทั้งคู่ระริกอย่างนึกสนุกก่อนที่หญิงสาวโตกว่าจะชูนิ้วนับหนึ่งถึงสามให้กับแม่ตัวน้อย...
“หนึ่ง...สอง...สาม...จ๊ะเอ๋ป้ายี่สุน/คุณยาย”
“ว้าย! ตาเถน ตาเถนตกบันไดหัวใจวาย...” เสียงสบถร้องตกใจของป้ายี่สุนดังพร้อมกับกระจาดในมือร่วงหล่นลงพื้น มือย่นๆ ยกกุมหัวใจตัวเองก่อนจะส่งสายตาจิกให้แก่หญิงสาวและเด็กน้อยที่พากันหัวเราะลั่นอย่างสนุกสนานที่แกล้งคนแก่อย่างนางได้สำเร็จ “โธ่...แม่ลูกคู่นี้ แกล้งคนแก่อีกแล้ว”
“แหม...ก็เห็นป้ายี่สุนเก็บถั่วพลูอยู่เงียบๆ ก็เลยสร้างบรรยากาศไงจ๊ะ เนอะ...จันทร์เจ้า” หญิงสาวว่าเสียงใสทั้งยังหันไปขอเสียงสนับสนุนจากลูกสาวที่รีบพยักหน้ารับคำมารดาด้วยรอยยิ้มแป้นก่อนจะกระโดดตัวเหย็งๆ เข้ามากอดผู้เป็นยายและให้นางหอมแก้มไปฟอดใหญ่และว่า
“จันทร์เจ้าจะไปโรงเรียนแล้วค่ะคุณยาย”
“จ้า...หลานยาย...ตั้งใจเรียนนะคะ แล้วตอนเย็นลุงไก่จะไปรับนะคะ” ป้ายี่สุนกล่าวถึงลุงไก่ ผู้เป็นสามีที่เวลานี้กำลังนั่งส่องพระอยู่ชานบ้านพลางหอมหลานไปอีกฟอดใหญ่
“วันนี้เก็บถั่วพลูไปทำอะไรเอ่ย จิ้มน้ำพริกหรือยำคะ” รุ้งลดาว่าพลางย่อตัวลงหยิบกระจาดและเก็บเอาพวกมะเขือเปราะและถั่วพลูสามสี่ฝักที่กระเด็นออกนอกกระจาดใส่ไว้อย่างเรียบร้อยและยื่นให้ผู้เป็นป้า
“ยำ...ก็พี่ชายเราน่ะสิ จู่ๆ ก็บ่นอยากกินยำถั่วพลู ป้าน่ะรำค๊าน...รำคาญ มันอยากกินอะไรก็เอาแต่สั่งอย่างเดียว ไม่รู้เมื่อไหร่มันจะหาเมียสักที จะได้เลิกสั่งให้ป้าทำนั่นทำนี่” ป้ายี่สุนไม่วายบ่นตะวันฉาย ลูกชายตัวเองและเป็นลูกพี่ลูกน้องกับรุ้งลดา ซึ่งเรียนจบแพทย์ศาสตร์มาได้สามสี่ปีแล้ว และเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลของรัฐใกล้ๆ บ้าน
“โธ่...ป้าจ๋า ถ้าเกิดพี่ตะวันเขามีเมียแล้วสั่งแต่เมียขึ้นมา ป้าจะน้อยใจเอานะ” หญิงสาวแหย่ “เดี๋ยวรุ้งพาจันทร์เจ้าไปส่งที่โรงเรียนก่อนนะคะเดี๋ยวจะสาย”
“จ้า...โชคดีนะหลาน” ผู้อาวุโสกล่าวให้พร เป็นแบบนี้ประจำไม่ว่าหลานหรือลูกชายจะออกจากบ้านไปทำงาน นางจะต้องให้พรเสมอด้วยหวังว่าพรของนางจะช่วยคุ้มครองทั้งลูกและหลานให้ปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น
รุ้งลดาเข้าไปกอดป้ายี่สุนที่เธอเคารพรักดุจแม่แท้ๆ เนื่องจากโยธกา แม่ของเธอเสียชีวิตไปตั้งแต่เธอยังเด็ก เธอจึงเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของป้ายี่สุนที่มีอาชีพเป็นคุณครูโรงเรียนประถมแถวบ้านและอยากจะมีลูกสาวใจจะขาด แต่ก็ดันมีลูกได้แค่คนเดียวเพราะมีปัญหาเรื่องมดลูก และก็ดันมาได้ลูกชายคือตะวันฉาย พอได้เธอมาดูแลนางจึงรักและทะนุถนอมไม่ต่างจากลูกในไส้ ยิ่งตอนนี้มีหลานยายอย่างจันทร์เจ้ามาด้วยอีกคน นางยิ่งดีใจยิ่งรักเข้าไปใหญ่ เพราะนอกจากจะเป็นหลานสาวแล้ว ยัยหนูจันทร์เจ้ายังเป็นเด็กฉลาด หน้าเป็น และช่างเจรจาใครเห็นใครก็รักก็หลง จากนั้นหญิงสาวก็จูงจันทร์เจ้าเดินออกจากสวนไปไหว้ลาลุงไก่และพาแม่ตัวน้อยไปส่งที่โรงเรียน
