บทที่ 18 นักข่าวที่แปลกประหลาด
ดราก้อนโกลด์กรุ๊ปในฐานะกลุ่มธุรกิจที่มีชื่อเสียงของเมืองจินห่าย เป็นที่รู้จักของคนในท้องถิ่น ครั้งนี้ยังได้ลงนามร่วมมือทางธุรกิจระยะยาวกับบริษัทที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติอย่างไมค์กรุ๊ป เมื่อข่าวนี้กระจายออกไปก็ได้สร้างความฮือฮาไม่น้อย
เพียงแค่พิธีลงนามทางธุรกิจ สื่อส่วนใหญ่ของเมืองต่างมารวมกันที่นี่
หลายคนต่างคาดเดาว่าตระกูลหลงจะใช้โอกาสนี้ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองจินห่าย ตระกูลอื่น ๆ ทำได้เพียงแค่แหงนคอมองหลัง ไม่มีต้นทุนใด ๆ ที่จะสามารถตามทันได้
ภายในคฤหาสน์บ้านตระกูลหลง
“หวางเย่ วันนี้เป็นวันสำคัญของ ดราก้อนโกลด์กรุ๊ป ฉันหวังว่าคุณจะไม่หาเรื่องให้ฉัน” หลงเหม่ยซินยืนมองการแต่งกายของตัวเองอยู่ที่หน้ากระจก ปากก็ไม่ลืมที่จะกำชับ
เธอกลัวว่าหวางเย๋จะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่แล้วก่อเรื่องขึ้นที่สุด จะต้องรู้ว่าวันนี้มีสื่อมาร่วมงานจำนวนมาก
หวางเย๋พยักหน้า และยิ้มออกมา: “ฟังคุณภรรยา!”
กล่าวไปสายตาของเขาก็มองไปที่หลงเหม่ยซินที่วันนี้ได้แต่งตัวอย่างเต็มยศ
วันนี้เธอได้ทำทรงผมอย่างคุณนายผู้ดี ลงแป้งบาง ๆ บนใบหน้า ชุดกระโปรงเกาะอกสีแดงยาวลากพื้น โชว์รูปร่างสัดส่วนของเธอออกมาให้เห็นอย่างประจวบเหมาะ ชุดพิธีการชุดนี้เมื่อสวมอยู่บนร่างของเธอแล้วเหมือนได้ทำขึ้นมาเพื่อเธอโดยเฉพาะ
งดงามอ่อนหวาน มีสง่าราศี ราวกับหญิงงามที่เดินออกมาจากภาพวาด
หวางเย๋ดูมาแล้วสามปี ดูอย่างไรก็ไม่เบื่อ ต้องอึ้งทึ่งทุกครั้งที่ได้เห็น แม้ว่ามาจนถึงตอนนี้เขาจะยังไม่เคยได้จูบกลิ่นหอมนั่นเลย แต่เขาไม่คิดว่ามีอะไรเสียหายเลยสักนิด
เพราะว่าไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องจัดการผู้หญิงคนนี้ได้แน่
ถ้าหากแม้กระทั่งภรรยาของตัวเองท่านชายยังจัดการไม่ได้ หากแพร่งพรายออกไปคงทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะจนฟันหลุดแน่
“มองตรงไหนอยู่น่ะ?” หลงเหม่ยซินเขินอายเล็กน้อย
เธอเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อก่อนเธอไม่เห็นหวางเย๋อยู่ในสายตาเลยสักนิด แต่ระยะนี้ได้เกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย ทำให้เธอเข้าใจว่าผู้ชายที่ถือหลักฐานยืนยันตัวตนของคุณพ่อมาแต่งงานกับตัวเองคนนี้จริง ๆ ไม่ใช่คนไม่เอาไหน
ถูกเขามองด้วยสายตาที่เร่าร้อนแบบนี้ กลับรู้สึกเขินอายนิดหน่อย
หวางเย๋ยิ้มกริ่ม ละสายตาจากภูเขาสูงตระง่านทั้งสองลูกทันที ปากก็กล่าวอย่างช้า ๆ : “อีกสักครู่คุณออกไปก่อน ผมจะตามไปใหม่ช้า”
สาเหตุที่พูดแบบนี้ เพราะเมื่อสักครู่เอลลี่ได้โทรเข้า
หลงเหม่ยซินในตอนนี้ได้แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย แม่ว่าจะแปลกใจอยู่บ้าง แต่การลงนามความร่วมมือทางธุรกิจในวันนี้ก็ไม่จำเป็นต้องให้หวางเย๋ออกงาน เขาจะไปหรือไม่ก็ได้ แต่ในใจของเธอนั้นอยากให้หวางเย๋ไป มีเขาอยู่อย่างน้อยก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง
รอจนหลงเหม่ยซินลงไปด้านล่าง หวางเย๋ที่เมื่อสักครู่ยังยิ้มอ่อน ๆ อยู่นั้น กลับคืนสู่สภาพเย็นชาทันที เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร “เอลลี่ สืบพบอะไรบางอย่างเหรอ?”
น้ำเสียงของเอลลี่ที่อยู่อีกฝั่งค่อนข้างจะเป็นกังวล เธอรีบกล่าวขึ้นมา: “ใช่ค่ะท่านชาย ฉันพึ่งได้รับข่าวมาว่า มีอิทธิพลลึกลับกลุ่มหนึ่งได้เตรียมนักฆ่าเอาไว้ในงานพิธีลงนามความร่วมมือทางธุรกิจในวันนี้ แต่เป้าหมายที่แท้จริงเป็นใครนั้นไม่อาจทราบได้”
นักฆ่า?
ทันใดนั้นแววตาของหวางก็เยือกเย็นขึ้นมาหลายเท่า และรีบค้นหาคนที่มีความเป็นไปได้อยู่ในสมอง มีความเป็นไปได้อยู่หลายประการ แต่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่กล้าลงมือกับคนใกล้ชิดของเขา ล้วนมีโทษตายทั้งนั้น
“รีบสืบหาร่องรอยของอีกฝ่าย นอกจากนี้แจ้งไปยังองค์กรฮั๋วให้พวกเขาเตรียมพร้อมรับมือ”
“ค่ะ เอลลี่เข้าใจแล้ว”
วางสายโทรศัพท์ไป แววตาของหวางเย๋เปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยวขึ้นมา สวมเสื้ออย่างรวดเร็ว ขี่รถมอเตอร์ไซค์คันเล็กของเขามุ่งหน้าไปที่ลานประชุมทันที
เพราะค่อนข้างเป็นห่วงความปลอดภัยของหลงเหม่ยซิน ตลอดทางหวางเย๋เพิ่มกำลังแรงม้าและได้ผ่าไฟแดงอยู่หลายครั้ง แม้ว่าพิธีลงนามจะเริ่มตอนสิบนาฬิกา แต่นักฆ่าไม่ได้สนใจว่าพิธีลงนามเริ่มขึ้นเมื่อไหร่
พอถึงที่หมาย ยามรักษาความเรียบร้อยก็รู้จักหวางเย๋ รู้ว่าเขาคือสามีของหลงเหม่ยซิน เลยไม่ได้ขวางเอาไว้ หลังจากที่เข้ามาหวางเย่ก็พบว่ายังอยู่ในขั้นที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและพวกสื่อกำลังทยอยเข้างาน
ส่วนหลงเหม่ยซินกำลังหารืออยู่กับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทสองสามคนอยู่ ดูแล้วเหมือนไม่มีปัญหาอะไร
หวางเย๋ไม่ได้เข้าไปหาหลงเหม่ยซิน แต่ได้จับจ้องไปยังเหล่าผู้คนที่มาร่วมงานอย่างจดจ่อ ถ้าหากมีนักฆ่า เขาจะต้องรีบหาให้พบ จะให้มันมีโอกาสลงมือไม่ได้
แต่ที่เขาคาดไม่ถึงก็คือ หานักฆ่าไม่เจอแต่กลับดึงดูดความสนใจจากสื่อเป็นจำนวนมาก
“พวกคุณดูสิ นั่นหวางเย๋เขยแต่งเข้าบ้านของตระกูลหลงคนนั้นไม่ใช่เหรอ?” ไม่รู้ว่าใครได้เอ่ยขึ้นมา นักข่าวพวกนั้นเห็นว่าพิธียังไม่ทันเริ่ม ต่างก็ขยับใกล้เข้า
“ในฐานะสามีของคุณเหม่ยซิน คุณมีอะไรจะพูดเกี่ยวกับการลงนามความร่วมมือระหว่างดราก้อนโกลด์กรุ๊ปและไมค์กรุ๊ปไหมคะ”
“การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้มีพื้นฐานมาจากที่ตระกูลจ้าวถูกฆ่าล้างตระกูลหรือเปล่า?”
คำถามก่อนหน้ายังพอสมเหตุสมผลอยู่บ้าง รอจนหวางเย๋ได้ฟังคำถามสุดท้าย ก็มีท่าทางจริงจังขึ้นมาทันที สายตาจับจ้องไปที่นักข่าวที่ถามคำถามนี้ออกมาคนนั้น
“นักข่าวท่านนี้ คุณถามคำถามนี้หมายความว่ายังไง?” หวางเย๋จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาอันเยือกเย็น “ใครส่งคุณมาก่อความวุ่นวาย หรือว่าคุณมีจุดประสงค์อื่น?”
ในเวลาปกติ คนธรรมดาถูกหวางเย๋จับจ้อง ไม่ถึงสามวินาทีก็ต้องถูกมองจนไม่ปกติ มีความกระวนกระวายปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า แต่นักข่าวคนนี้กลับหน้าไม่เปลี่ยนสี หรือแม้แต่หายใจก็ยังเป็นปกติ
ผิดปกติ เห็นได้ชัดว่าคนคนนี้ไม่ใช่นักข่าว
คนอื่น ๆ ต่างก็จับจ้องไปที่นักข่าวใจกล้าคนนั้น วันนี้เป็นวันดีของคนอื่นแท้ ๆ คุณถามคำถามแบบนี้ขึ้นมาในช่วงเวลาหัวเลี้ยวตัวต่อแบบนี้ได้ยังไง ไม่เท่ากับแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ไว้หน้าตระกูลหลงหรอกเหรอ?
“หวางเย๋ คุณจะทำอะไร” ในตอนที่หวางเย๋กำลังจะซักถามนักข่าวคนนี้ต่อไปนั่นเอง ที่ด้านหลังก็มีเสียงเอ็ดด่าดังขึ้น
เสียงเรียกนั้นทำให้เขาเสียสมาธิ
หันไปมองอีกครั้ง นักข่าวคนนั้นก็ได้หายไปแล้ว เขาคิดจะตามไปแต่กลับถูกนักข่าวที่อยู่ตรงหน้าพวกนี้รัดตัวเอาไว้ อยากจะบันดาลโทษะแต่คิดไม่ถึงว่าหลงเหม่ยซินได้อยู่ข้าง ไม่มีทางเลือกจึงทำได้เพียงปล่อยมันไป
“ตัวเอกมาแล้ว พวกคุณไปถามเธอเถอะ?” หวางเย๋กล่าวด้วยใบหน้าบึ้งตึง
หลงเหมยซินมาถึงด้านหน้าหวางเย๋ ขมวดคิ้วเล็กน้อย และเอ็ดด่าเสียงเบา: “อยู่ที่บ้านฉันกำชับกับคุณว่ายังไง คุณสงบหน่อยได้ไหม?”
จากนั้นเธอก็ยิ้มออกมา และหันไปพูดกับพวกนักข่าว: “ทุกท่าน วันนี้เป็นพิธีลงนามความร่วมมือระหว่างพวกเราดราก้อนโกลด์กรุ๊ปและไมค์กรุ๊ป ได้โปรดอย่าถามคำถามที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวันนี้”
“เอาล่ะ พิธีใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว พวกคุณรีบกลับไปประจำที่เถอะ ถึงเวลานั้นฉันจะตอบทุกคำถามที่ถาม”
พวกนักข่าวมองหน้าซึ่งกันและกัน ไม่มีใครกล้าคัดค้านสักคน
จากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันไปอย่าวชาญฉลาด เพื่อเตรียมการเกี่ยวกับพิธีลงนามที่กำลังจะเริ่มขึ้น เวลานี้ในดวงตาที่งดงามของหลงเหม่ยซินได้มีความโกรธขึ้นมา เธอกล่าวอย่างไม่พอใจ: “อีกเดี๋ยวพิธีก็จะเริ่มขึ้น คุณอย่าก่อเรื่องอีกล่ะ”
ทิ้งประโยคนี้เอาไว้ หลงเหม่ยซินก็เดินไปบนเวทีเพื่อเตรียมการลงนามด้วยความโมโห
หวางเย๋ส่ายหน้ายิ้มอย่างขมขื่น ไม่มีโอกาสให้อธิบายเลยสักนิด แต่เขาไม่มีเวลาจะมาใส่ใจเรื่องนี้ นักข่าวเมื่อสักครู่นั้นผิดปกติเป็นอย่างมาก กลิ่นอายบนร่างกายของเขานั้นช่างคุ้นเคยเหลือเกิน
นั่นคือกลิ่นอายของคนที่เคยปลิดชีวิตของผู้คนมามากมาย
