บทที่ 16 แผนการของจ้าวเหลว
“ก็หมายความอย่างที่พูดไงล่ะ คำถามที่แกถามมันช่างปัญญาอ่อนจริง ๆ” หวางเย๋ยิ้มเยาะ
ประโยคที่ทำให้คนใช้คนอื่น ๆ ของตระกูลจ้าวไม่พอใจ เดิมทีวันนี้ก็เป็นพิธีฝังศพของนายท่านของพวกเขา ยังจะมีท่าทียโสโอหังแบบนี้ ต่างพากันมองหวางเย๋ด้วยความโมโห แทบอยากจะฉีกหวางเย๋ออกเป็นชิ้น ๆ ณ ตรงนี้เลย
ในตอนที่สถานการณ์กำลังตึงเครียด แทบจะควบคุมไม่ได้นั่นเอง
“เอะอะโวยวายอะไร?”
จ้าวเหลยในชุดไว้ทุกข์ เดินออกมาจากด้านในด้วยท่าทางโมโห คนใช้พวกนี้ไม่รู้เหรอว่าวันนี้เป็นวันฝังศพของตระกูลจ้าว ไม่มีมารยาทแบบนี้คิดจะกบฏหรือไง?”
ทว่าเมื่อเขาเห็นเข้ากับหลงเหม่ยซินและหวางเย๋ สีหน้าก็บึ้งตึงขึ้นมาทันที
โดยเฉพาะเมื่อเขาเห็นหวางเย๋ที่มีรอยยิ้มอ่อน ๆ อยู่บนใบหน้า ไฟโมโหภายในใจยิ่งลุกโชนขึ้นมา แทบอยากจะใช้มีดฆ่าหวางเย๋ให้ตายซะ
ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะยังสืบหาไม่เจอว่าอิทธิพลที่ฆ่าล้างตระกูลจ้าวของเขานั้นเป็นใครกันแน่ แต่สัญชาตญาณได้บอกกับเขาว่า เรื่องนี้จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับหวางเย๋แน่ คนที่มีเรื่องกับเขาในระยะนี้มีเพียงหวางเย๋เท่านั้น
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน เขาไม่ใช่คุณชายใหญ่ตระกูลจ้าวที่สูงส่งอีกต่อไปแล้ว ภารกิจแรกของเขาในตอนนี้ก็คือรวบรวมตระกูลจ้าวที่ไม่สมบูรณ์แบบเข้าด้วยกัน รอจนเติบโตขึ้นมาได้แล้วค่อยไปแก้แค้นหวางเย๋
หลังจากที่มีแผนการอยู่ภายในใจ เขาก็ได้ฝืนยิ้มออกมา เดินไปหยุดที่ด้านหน้าหลงเหม่ยซิน “เหม่ยซินมาแล้วเหรอ? พวกคนใช้ไม่มีสมอง พูดอะไรไปโดยไม่ไตร่ตรอง คุณอย่าเก็บไปใส่ใจเลยนะ”
พูดจบ เขาก็ถลึงตาใส่ชายคนที่พูดเมื่อก่อนหน้านี้ แววตำหนิในสายตานั้นชัดเจนมาก
ชายคนนั้นตัวแข็งทื่อ สายตาตกตะลึง มองจ้าวเหลยราวกับจ้าวเถี่ยเฉิงตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ แฝงไปด้วยรัศมีที่แรงกล้า
จากนั้นเขาถึงได้เลื่อนสายตาไปที่เป็นวางเย๋ สายตาของทั้งสองคนประสานเข้าด้วยกัน ไม่นานจ้าวเหลยก็ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ในใจของเขานั้นรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก หวางเย๋คนนี้ที่จริงแล้วเป็นใครมาจากไหนกันแน่ มองเพียงไม่กี่ครั้ง ก็ทำให้เขารู้สึกหายใจไม่ออก
เหมือนกับกำลังสบตาอยู่กับเทพเจ้าแห่งความตายอย่างไรอย่างนั้น!
“นายก็เข้ามาด้วยกันเถอะ!” เจ้าเหลยกล่าวเสียงเรียบ
สำหรับความหยิ่งผยองของเจ้าเหลยนั้น หวางเย๋ไม่โกรธเลยสักนิด เขาไม่ได้โหดเหี้ยมอำมหิตเหมือนอย่างหลงอ้าวเทียน ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้เป็นงานศพของตระกูลจ้าว เขาไม่อยากจะก่อเรื่องใหญ่โต ยิ่งไปกว่านั้นจ้าวเหลยได้ใจกว้างมากพอแล้ว
หลังจากที่จ้าวเหลยได้เป็นคนเอ่ยปากเอง แม้ว่าเหล่าคนใช้ของตระกูลจ้าวจะโมโหอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็ได้เปิดทาง ให้หลงเหม่ยซินและหวางเย๋เข้าไป
ในตอนที่เดินผ่านชายคนที่เอ่ยปากใส่ร้ายคนนั้นหวางเย๋ขยับเข้าไปที่ข้างหูของเขา แล้วกระซิบ: ไปบอกหลงอ้าวเทียน ทำตัวเป็นคนดีเถอะ ยังไงวันนี้ก็เป็นงานศพของคนอื่นเขา ยังจะให้มันมาก่อเรื่องอีก มโนธรรมถูกหมามันกินไปแล้วหรือไง?”
สีหน้าของคนคนนั้นดูเคร่งเครียดขึ้นมาทันที จากนั้นก็แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง: “ผมไม่รู้ว่าคุณพูดอะไร คุณจะมากเกินไปแล้วนะ”
หวางเย๋แสยะยิ้มออกมา และไม่ได้พูดอะไร แล้วรีบตามหลงเหม่ยซินไปทันที
เมื่อเข้าไปในห้องโถง รูปขาวดำของจ้าวเถี่ยเฉิงถูกวางไว้ที่กลางห้องอย่างโดดเด่น ด้านข้างนั้นมีรูปถ่ายขนาดเล็กลงมาวางอยู่หลายสิบรูป ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นแก่นกลางของตระกูลจ้าว
ร่องรอยของความตื่นตระหนกแวบขึ้นมาในดวงตาที่งดงามของหลงเหม่ยซิน ร่างกายสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ วินาทีต่อมากระแสอันอบอุ่นก็ได้แผ่ซ่านมาจากฝ่ามือ จากนั้นเธอถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา เห็นเพียงมือใหญ่ ๆ ของหวางเย๋ห่อหุ้มมือเล็ก ๆ ของเธอเอาไว้อย่างมิดชิด
เธอชะงักไป เดิมทีคิดอยากจะดึงมือกลับมา แต่ก็รู้สึกประหลาดใจที่พบว่าถูกหวางเย๋จับอยู่แบบนี้ ภายในใจกลับสงบลงอย่างน่าอัศจรรย์ ความตื่นตระหนกและวิตกกังวลในเมื่อสักครู่ได้หายไปจนหมดสิ้น
“คุณภรรยา ไม่ต้องกลัวมีผมอยู่!” หวางเย๋ยิ้มเล็กน้อย เป็นเชิงบอกให้หหลงเหม่ยซินผ่อนคลายลง
ผู้หญิงคนนี้จิตใจดีมีเมตตา ทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอเลยสักนิด กลับมีท่าทางรู้สึกผิด ถ้าหากตัวเองไม่อยู่ข้าง ๆ เกรงว่าคงถูกคุณปู่ใจร้ายอย่างหลงอ้าวเทียนวางแผนเล่นงานจนตายได้อย่างง่าย ๆ
แต่นี่ก็เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้หวางเย๋ตกหลุมรักหลงเหม่ยซิน ไม่เพียงรูปร่างหน้าตางดงาม แถมยังจิตใจดีเหมือนดั่งพระแม่มารี ผู้หญิงที่มีคุณสมบัติเช่นนี้เกรงว่าในยุคสมัยนี้คงหาได้ยาก
ภาพเช่นนี้ได้ถูกจ้าวเหลยพบเห็นเข้า ทิ่มแทงลึกลงไปในใจเขา แม้ว่าในใจของเขาจะไม่พอใจเพียงใดก็ตาม แต่เขาจะแย่งชิงหลงเหม่ยซินกับคนที่โหดเหี้ยมอย่างหวางเย๋ได้ยังไงกัน?
เมื่อมีความกล้าที่หวางเย๋มอบให้ หลงเหม่ยซินส่งสายตาปลอบประโลมให้เขา หวางเย๋ปล่อยมือของเธอ ทั้งสองเข้าไปจุดธูปพร้อมกัน และโค้งคำนับอย่างจริงใจ จากนั้นหลงเหม่ยซินก็มอบซองจดหมายฉบับหนึ่งให้จ้าวเหลย ในนั้นมีเช็คเงินสดมูลค่าหนึ่งล้านใส่เอาไว้
แม้ว่าจะเคยมีปากเสียงกันยมาก่อน หลงเหม่ยซินก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองอะไรจ้าวเหลวอีก ในทางกลับกันภายในใจกลับรู้สึกผิด เธอพูดออกมาจากใจจริง: “จ้าวเหลย ขอแสดงความเสียใจด้วย!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ทะเลใจที่สงบของจ้าวเหลยได้กระเพื่อมขึ้นมาอีกครั้ง น้ำตาคลอเบ้าขึ้นมาอย่างไม่เอาไหน อยากจะเข้าไปกอดหลงเหม่ยซินสักครั้ง กลับถูกหวางเย๋ขวางเอาไว้ด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“จ้าวเลย อย่ากอดเลยดีกว่า ไปต้อนรับคนอื่นก่อนเถอะ!”
หวางเย๋จะต้องไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน เขายังไม่เคยกอดเลย และจะให้จ้าวเหลยชิงกอดก่อนได้ยัง!
หลงเหม่ยซินทั้งโกรธทั้งขำ ทำไมหวางเย๋ถึงได้ใจแคบแบบนี้ ตัวเองยังไม่ได้พูดอะไรเลย เขากลับมีท่าทางไม่พอใจขึ้นมา แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ความรู้สึกของการถูกห่วงใยแบบนี้ทำให้เธอหัวใจเต้นแรง
พิธีฝังศพยังเหลืออีกหนึ่งอย่าง และเป็นข้อที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือเอาหีบหลงหลุม
หวางเย๋ไม่แปลกใจเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ว่าที่ประเทศฮั๋วโดยทั่วไปแล้วจะใช้ระบบการเผาศพ แต่ในสายตาของพวกคนรวยแล้วมันใช้ไม่ได้ หลงเหม่ยซินบอกกับเขาว่า ตระกูลใหญ่จำนวนมากล้วนได้จัดหาที่เอาไว้ผืนหนึ่งทำเป็นสุสานของคนในตระกูลโดยเฉพาะ เหมือนกับจักรพรรดิเสด็จขึ้นครองบัลลังก์ในสมัยโบราณ ที่ได้สร้างสุสานให้กับตัวเองตั้งแต่เริ่มแรก
และตระกูลจ้าวนั้นได้เลือกที่ผืนหนึ่งที่อยู่ภูเขาด้านหลังสวนหมิง ในตอนนั้นใช้เงินหลายร้อยล้าน
คนที่มีร่วมพิธีฝังศพจะต้องร่วมเป็นพยานในการเอาหีบลงหลุม ถือเป็นการให้เกียรติตระกูลจ้าว เดิมทีหวางเย๋ไม่ได้สนใจ แต่เห็นว่าหลงเหม่ยซินยืนกรานจะอยู่ต่อไป เขาก็ไม่มีความเห็นอะไร
ทั้งสองคนหาที่นั่งที่มุมมุมหนึ่ง และนั่งรออย่างสงบ
อาศัยโอกาสนี้ หลงเหม่ยซินมองหวางเย๋ด้วยความสงสัย “หวางเย๋ เมื่อกี้คุณเปิดอะไรกับคนที่อยู่ตรงประตูคนนั้น?”
“อยากรู้เหรอ?” หวางเย๋ยักคิ้ว
หลงเหม่ยซินถลึงตาใส่หวางเย๋ สีหน้าเย็นชาลงไปทันที เธอกล่าวอย่างโมโห: “ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด ดูท่าทางได้ใจของคุณสิ!”
พูดจบ เธอก็หันหน้าหนีไม่มองหวางเย๋อีก
แต่เดิมทีคิดว่าหวางเย๋จะใส่ใจความรู้สึกของเธอ และรีบมาง้อเธอ นี่เป็นหน้าที่โดยชอบของผู้ชาย
แต่ครึ่งค่อนวันก็ไม่ได้ยินเสียงของหวางเย๋ เธอมองด้วยหางตา จบว่าเขากำลังจ้องมองไปที่ประตู
“คนที่เข้ามาพวกนั้นเป็นคนตระกูลหลี่ ที่เดินนำหน้านั้นคือผู้นำตระกูลหลี่หลี่จื่อเฉิง ได้ยินมาว่าเขาเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับคุณลุงจ้าว สร้างรากฐานของทั้งสองตระกูลจนมาถึงทุกวันนี้ได้ด้วยหมัดทั้งสองข้าง มีความสัมพันธ์ที่ดีที่สุดกับคุณลุงจ้าว” หลงเหม่ยซินเสนอตัวอธิบายให้หวางเย๋ฟัง
แต่พูดเบา ๆ เพียงเท่านี้ ก็ยังถูกหลี่จื่อเฉิงได้ยินเข้า เขาหันขวับมาทันที ปลดปล่อยอานุภาพของตัวเองออกมา หวังที่จะให้คุณหนูใหญ่ตระกูลหลงได้รับบทเรียน
แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ มีผู้ชายคนหนึ่งยืนขวางอยู่ที่ด้านหน้าหลงเหม่ยซิน รัศมีในแววตาของชายคนนั้นเหมือนว่าจะทรงพลังยิ่งกว่าเขาเสียอีก......
