ตอนที่ 3 ฉันจะแต่งงานกับกาย
สองมือยันกายลุกขึ้นช้า ๆ น้องชายที่กำลังทำอาหารอยู่ด้านล่างได้ยินเสียงพี่ชายเคลื่อนไหวจึงรีบชะเง้อหน้าขึ้นมองบนเถียงนาแล้วเอ่ยถามด้วยความโล่งอก “พี่ขาลตื่นแล้วเหรอ” เมื่อคืนเขากับพ่อกลัวแทบตายว่าพี่ชายจะตาย เพราะมีชั่วขณะหนึ่งที่ขาลหยุดหายใจ ก่อนร่างใหญ่ของเขาจะสะดุ้งเฮือกขึ้นมาและหายใจแผ่วเบาอีกครั้ง ตลอดคืนเขากับพ่อไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะต้องคอยผลัดกันดูพี่ชาย เกือบรุ่งสางเมื่อรู้ว่าพี่ชายยังหายใจอยู่ เขากับพ่อจึงลุกขึ้นไปทำงานแต่เช้า
แต่เรื่องนี้คงบอกกับประกอบผู้เป็นนายจ้างไม่ได้ ไม่เช่นนั้นพี่ชายอาจจะโดนเฆี่ยนตีหนักกว่าเดิม ที่บังอาจปฏิเสธลูกสาวตน
“อืม” ขาลตอบรับเสียงเบา แล้วเก็บที่นอนหมอนมุ้ง ในหัวยังรู้สึกสับสนงุนงง มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่เขามาอยู่ในร่างคนอื่น อีกทั้งยังย้อนเวลากลับมาในอดีต ที่น่าปวดหัวมากกว่านั้นคือเขามาอยู่ที่อีสาน เดิมทีชีวิตก็ไม่ได้เกี่ยวกับอีสานอยู่แล้ว เหตุใดวิญญาณต้องโดนดูดมาไกลถึงเพียงนี้ด้วย
“ปวดหัวมากไหม ฉันต้มยาแก้ปวดไว้ให้ วางอยู่ที่ข้างเสาแน่ะ” เข้มบอกพี่ชาย มือกำลังใช้ทัพพีคนหม้อแกงอ่อมปลาไหล ไม่วายหางตายังชำเลืองมองพี่ชายที่ไม่เคยเก็บมุ้งเองแม้แต่ครั้งเดียว วันนี้เกิดบ้าอะไรขึ้นถึงได้รู้จักเก็บที่นอนตนเอง
ขาลมองหายาต้มตามที่น้องบอก เพราะรู้สึกปวดศีรษะมาก ตอนนี้เขาจำเป็นต้องกินยาทุกอย่างที่มี รินยาใส่ถ้วยตราไก่ใบขนาดกลางแล้วยกขึ้นดื่ม ใบหน้าหล่อเหลาเหยเกเล็กน้อยเพราะความขม
ขายาว ๆ ก้าวลงบันไดลิงที่มีอยู่ห้าขั้นเพื่อล้างหน้าแปรงฟัน พอเห็นโอ่งน้ำลายมังกรที่สูงประมาณต้นขาจึงนึกขึ้นได้ ว่าที่นี่ไม่มีแปรงสีฟัน และยาสีฟัน เขาลืมไปได้อย่างไรว่าต้องใช้เกลือสีฟันและบ้วนปาก
ล้างหน้าล้างตาเสร็จพ่อจึงขึ้นมาบนเถียงนาเพื่อกินข้าวเช้าร่วมกัน ดวงตาคมเข้มกวาดมองไปทั่วทุ่งนาที่เก็บเกี่ยวข้าวออกไปหมดแล้ว ก่อนสายตาจะหยุดอยู่ที่ต้นตาลสามต้นที่ยืนเรียงกันอยู่ริมทางที่จะไปยังลำน้ำชี ตาลต้นแรกคือต้นที่เขาวิ่งเอาหัวทิ่มเมื่อคืน เขาถอนหายใจอย่างปลงตกที่ชีวิตกลับตาลปัตรเช่นนี้ จากนั้นจึงเคลื่อนสายตาแหงนมองต้นทองกวาวที่มีดอกสีส้มเต็มต้นที่ยืนอยู่ข้างเถียงนา สีสันของมันฉูดฉาดสวยงามท่ามกลางความแห้งแล้ง อย่างน้อยดอกทองกวาวก็ทำให้เขารู้ว่าในเรื่องเลวร้าย ยังมีเรื่องดีแฝงอยู่ในนั้นเสมอ เขาเองก็คิดว่าการมาอยู่ที่นี่ก็คงไม่ได้มีแต่เรื่องร้ายเสมอไป
ขาลนั่งมองแกงอ่อมปลาไหลใส่ผักคราดหัวแหวนกับผักลิ้นปี่ หรือผักกาดนกเขาก็เรียกอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่ลงมือกินสักที ผู้เป็นพ่อจึงเอ่ยถาม
“ไม่หิวเหรอ”
ขาลแค่นยิ้มในใจ ไม่ใช่ไม่หิวแต่เขาไม่เคยกินต่างหาก เขาลอบถอนหายใจแล้วเปิบข้าวเหนียวออกจากกระติบ จากนั้นก็กินตามความเคยชินของร่างเดิม เขาต้องอยู่ให้ได้ในยุคนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เขาจะตื่นจากฝันครั้งนี้โดยเร็วที่สุด ตอนนี้เขาต้องเอาตัวรอดไปก่อน และเขาก็ค้นพบว่าแกงอ่อมปลาไหลใส่ผักบ้าน ๆ ก็ไม่ได้เลวร้ายมากนัก อีกทั้งเขายังชอบรสชาติของผักลิ้นปี่อีกต่างหาก
“พรุ่งนี้เราคงต้องเดินทางกันแต่เช้า” วันนี้ร่างกายลูกชายยังไม่แข็งแรงดี เขาจึงให้ลูกชายพักอีกหนึ่งวัน แต่จะว่าพักก็ไม่ถูก เพราะถึงอย่างไรประกอบก็ต้องให้พวกเขาทำงานทั้งวันอยู่ดี
“เราจะไปไหนเหรอครับพ่อ” เข้มรีบเอ่ยถาม เหตุใดต้องไปจากที่นี่ด้วยทั้งที่พวกเขาอาศัยอยู่ที่นานายจ้างมาเกือบสี่เดือนแล้ว
“ถ้าไอ้ขาลไม่แต่งงานกับกายพวกเราก็คงอยู่ที่นี่ไม่ได้ อย่างไรอากอบก็ต้องไล่พวกเราหนี” ประกอบเป็นคนเอาตัวเองเป็นใหญ่ ชอบกดขี่ข่มเหงและบังคับคนที่ด้อยกว่าเสมอ สิ่งใดที่ไม่ได้ดั่งใจเขาย่อมไม่ยินยอม
ดวงตาสีเข้มของลูกชายคนเล็กมีแววเศร้าหมอง เขาอยู่ที่นี่มาหลายเดือนจึงเริ่มรู้สึกว่าไม่อยากย้ายไปไหนอีกแล้ว ถึงต้องทำงานหนัก แต่ก็มีที่นอนและมีข้าวกิน ซึ่งดีกว่าไปหาเจ้านายคนอื่น
“ฉันจะแต่งงานกับกาย” ขาลกล่าวเสียงเรียบ ใบหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ว่าเต็มใจหรือไม่
เข้มกับบุญศรีมองหน้าขาลด้วยความคาดไม่ถึง ผู้เป็นพ่อจึงพูดขึ้น “ถ้าไม่เต็มใจก็ไม่ต้องฝืน เพราะขืนอยู่กันไป เอ็งก็ไม่รักกายอยู่ดี ทำให้ทุกข์กันทั้งสองฝ่ายเปล่า ๆ” บุญศรีรู้ว่าลูกชายไม่ชอบประกาย ที่ไหนมีประกายที่นั่นจะต้องไม่มีขาล ไม่เคยกินข้าวร่วมกัน ครอบครัวของประกอบอาจไม่รู้และคิดว่าขาลอาย แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ และเรื่องนี้เขาไม่เคยบอกคนในครอบครัวของผู้เป็นนาย หรือถ้าพวกเขารู้ก็คงไม่สนใจ
