บทย่อ
จะเลวร้ายเพียงใดเมื่อต้องย้อนเวลาไปเป็นเขยบ้านนาที่มีพ่อตาสุดโหด ซ้ำภรรยายังขาพิการ
ตอนที่ 1 เรื่องสำคัญ
“แกขับรถไหวแน่นะไอ้ทัพ” เพื่อนชายคนหนึ่งเอ่ยถามบุรุษที่กำลังยืนตัวโอนเอนพิงรถยนต์ส่วนตัวของตนเอง
“ไหวสิวะ เมากว่านี้ฉันก็เคยขับมาแล้ว” พอเมาได้ที่คำว่ากลัวก็สะกดไม่เป็นแล้ว
“เออ ๆ ขับดี ๆ ก็แล้วกัน ฉันเชื่อใจแก” ถึงจะพูดออกไปอย่างนั้นแต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ก็ในเมื่อไอ้เพื่อนคนนี้มันชอบรั้นบอกให้นอนค้างที่นี่มันก็ไม่นอน
ร่างสูงใหญ่สอดกายเข้าในรถยนต์คันหรู สตาร์ตเครื่องยนต์แล้วเคลื่อนตัวออกจากผับย่านทองหล่ออย่างช้า ๆ โดยมีสายตาของเพื่อนที่คอยยืนมองด้วยความเป็นห่วง วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดครบรอบสามสิบห้าปี ขุนทัพจึงออกมาฉลองกับเพื่อน
เพราะรู้ว่าตัวเองเมาเขาจึงไม่ขับรถเร็วมากนัก ดวงตาสองข้างหรี่ปรือด้วยทั้งเมาทั้งง่วง เมื่อขับมาถึงหน้าห้างสรรพสินค้าของผู้เป็นพ่อเขาจึงมองไม่เห็นร่างของคนที่กำลังจะข้ามถนน
ชั่วขณะที่เขาขับรถเข้ามาเกือบจะถึงร่างผู้หญิงคนนั้น แสงไฟจากหน้ารถสาดเข้าที่ดวงหน้าเนียน ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง อาการเมาที่เคยมีหายไปเกือบเป็นปลิดทิ้ง เท้าเหยียบเบรกกะทันหัน
เอี๊ยด!!!!
“กรี๊ด!!” แววตาผู้หญิงคนนั้นตื่นตระหนกกรีดร้องออกมาเสียงดังอย่างเสียขวัญ
มือหนาหักพวงมาลัยหลบร่างนั้นอย่างรวดเร็ว ถึงกระนั้นรถก็ยังเฉี่ยวเข้ากับร่างผู้หญิงคนนั้นจนเธอล้มลงกับพื้นและหมดสติไปในตอนนั้น ส่วนรถยนต์คันงามของเขาก็พุ่งชนกับป้ายรถเมล์ที่อยู่ด้านหน้าห้างสรรพสินค้าอย่างจัง
ขุนทัพค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก เลือดสีแดงฉานหลั่งรินลงมาจากศีรษะเรื่อยผ่านหางคิ้วและแก้มตอบ แต่เพียงไม่นานคนตัวใหญ่ก็สลบเหมือดไปอีกครั้ง
บ้านนาสะแบง จังหวัดมาหาสารคาม ปีพุทธศักราชสองพันห้าร้อยยี่สิบสอง
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ บุญศรีนั่งยอง ๆ อยู่ที่ชานเถียงนา มือหยิบยาเส้นขึ้นมามวนกับใบตองแห้งแล้วจุดสูบ ควันขาวค่อย ๆ พ่นออกจากปาก สายตาทอดมองไปยังลูกชายคนโตที่กำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ด้านล่าง โดยมีลูกชายคนเล็กนั่งยอง ๆ อยู่ไม่ห่างจากพี่ชายมากนัก อากาศยามเย็นเช่นนี้เริ่มเย็นลงบ้างแล้วเพราะมีลมพัดโชยมาไม่ขาด อีกทั้งที่นายังมีต้นไม้มาก
วันนี้นายจ้างเพิ่งเรียกเขาไปคุยเป็นการส่วนตัวด้วยเรื่องสำคัญ เขาไม่รู้ว่าถ้าบอกเรื่องนี้กับลูกชายแล้ว ขาลจะตกลงหรือไม่ กลัวก็แต่เขาจะอาละวาดโวยวายใหญ่โต เพราะลูกชายคนนี้เป็นคนค่อนข้างหัวร้อนมุทะลุ สิ่งไหนไม่ชอบก็ยากที่จะทำตาม ยอมหักไม่ยอมงอจนเขาหวั่นใจอยู่ไม่น้อย
บุญศรีครุ่นคิดอยู่นานจนยาสูบมวนแรกหมดไปโดยไม่รู้ตัว ในมือกำลังมวนยาเส้นจุดสูบอีกครั้ง เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนตัดสินพูดกับลูกออกไป “อากอบบอกว่าจะให้เอ็งแต่งงานกับกาย แลกกับที่อยู่อาศัยและอาหารการกินทั้งหมดของพวกเรา”
ลูกทั้งสองหันขวบมองหน้าผู้เป็นพ่อพร้อมกัน ลูกชายคนโตเอ่ยถามเสียงขุ่น “พ่อหมายความว่ายังไง พ่อจะให้ฉันแต่งงานกับยัยเด็กขาขาดคนนั้นน่ะเหรอ” แววตาบ่งบอกว่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ถึงจะขาขาดแต่กายก็เป็นคนขยัน หน้าตาก็ยังถือว่าใช้ได้” จะบอกว่าสวยก็ยังได้ด้วยซ้ำ เสียอย่างเดียวแค่เธอพิการเท่านั้น ถึงประกายจะอายุเพียงสิบสี่ปี แต่เธอก็เป็นคนรูปร่างสูงโปร่ง และโตเป็นสาวมากกว่าคนที่อยู่ในวัยเดียวกัน
“แต่ฉันไม่อยากได้เมียโง่และขาด้วนพร้อมกัน พ่อเข้าใจไหม” ขาล ลูกชายคนโตโต้เสียงแข็ง คนขาด้วนเช่นนั้นนจะเอามาทำอะไร เดินไปไหนมาไหนก็มีแต่อับอายผู้คนเท่านั้น อีกอย่างประกายยังเรียนไม่จบปอสี่ด้วยซ้ำ คนโง่เช่นนั้นใครอยากได้มาทำเมียบ้าง
“แล้วชีวิตพ่อกับน้องล่ะ แกอยากเป็นคนเร่ร่อนไปเช่นนี้ตลอดหรือ” บ้านไม่มีอยู่ นาไม่มีให้ทำกิน ชีวิตต้องระหกระเหินรับจ้างไปเรื่อย ๆ อีกทั้งยังต้องนอนตามป่าตามเขา
“ถ้างั้นก็ให้ไอ้เข้มมันแต่งไป ฉันยังไม่อยากแต่ง อีกอย่างฉันก็ยังไม่ได้บวชด้วยซ้ำ” ใบหน้าคมเข้มเดี๋ยวดำเดี๋ยวแดงเพราะความโกรธ อยู่ดี ๆ ก็จะบังคับให้เขาแต่งงานกับคนไม่ครบสามสิบสองประการเช่นนั้น
ได้ยินพี่ชายพูดเช่นนั้นเข้มได้แต่มองบนแล้วกลอกตา ใบหน้ามีแต่เครื่องหมายคำถามว่า แล้วฉันอายุเพียงสิบหกปีบวชแล้วหรือ?

