บทที่ 5 ตามไม่เลิก
“โทษนะ ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร คุณพอจะรู้ไหม”
“ขอโทษนะคะคุณนัย เป็นความผิดดิฉันที่ไม่ตรวจสอบให้ดีก่อน จึงปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นเข้าไปทำความวุ่นวายถึงห้องประชุมใหญ่” ชายหนุ่มยังคงมองพนักงานด้วยความใคร่รู้ ก่อนพนักงานสาวที่ทำหน้าซีดจะเล่าความจริง
“ผู้หญิงคนนั้นเธอบอกว่า เธอเป็นแฟนคุณนัยค่ะ ดิฉันตรวจตารางนัดหมายแล้วไม่พบว่าคุณนัยนัดไว้ เธอไม่พูดอะไร แต่ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ จากนั้นฉันไปพบอีกทีเธอก็อยู่กับคุณแล้วค่ะ” พชรนัยสอบถามได้ความคร่าวๆ แต่ทว่านั่นไม่ได้คลายสงสัยมากนัก เพราะสิ่งที่หญิงสาวตะโกนโวยวายพูดถึงหมายศาลทวงหนี้บางอย่างจากเขมกร
“อาจจะเป็นผู้หญิงบ้าที่ไหนก็ได้ ฉันจะไปรู้ได้ไงว่าหล่อนเป็นใคร” ชายหนุ่มร่างสูงสง่าพูดเคล้ากับใบหน้าที่ไม่รู้สึกสะทกสะท้าน พลางเซ็นเอกสารในมือแล้วตอบคำถามเพื่อนรัก ก่อนจะนึกบางอย่างได้แล้วเงยหน้ามองพชรนัย
“นายก็เลิกคิดถึงผู้หญิงคนนั้นได้ละ นี่ยังดีนะที่ผู้ถือหุ้นไม่ถือสา” เขมกรชายหนุ่มผิวขาว รูปร่างสูงสง่า ถือเป็นผู้บริหารหนุ่มไฟแรงที่กำลังเป็นที่พูดถึงกันในหน้าหนังสือพิมพ์ เขาไม่อยากนึกถึงภาพเหตุการณ์วุ่นวายที่มีหญิงสาวปริศนาโผล่มาแล้วพูดจาจับใจความอะไรไม่ได้
“ฉันได้ยินเธอพูดถึงหมายศาลทวงหนี้”
“ทวงหนี้! นัยเราเป็นบริษัทอสังหาฯ ทำงานด้านอสังหาฯ ไม่ใช่ปล่อยเงินกู้ นายดูแค่นี้ไม่รู้หรือว่าเธอแค่มาป่วน เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ เป็นคู่แข่งเราที่จะมาแย่งซื้อที่ดินตรงที่เราจะสร้างศูนย์การค้าก็ได้” พชรนัยเงียบพลางลุกเดินไปนั่งที่โซฟาตัวใหญ่
“ถ้านายต้องการให้ฉันช่วยสืบเรื่องผู้หญิงคนนั้น ก็บอกแล้วกัน”
“ขอบใจ แต่ตอนนี้ฉันหนักใจเรื่องที่ดิน ตรงแยกใหญ่ใจกลางเมืองนครปฐมมากกว่า คนของเราเข้าไปเจรจาเป็นรอบที่สิบแล้ว ยังไม่ได้ผล เจ้าของเป็นหญิงชราที่ดื้อและหัวแข็ง จ่ายเท่าไหร่ก็ไม่ยอมซะที ทั้งที่ลูกหลานอยากขายแทบตาย” เขมกรพูดถึงปัญหาใหญ่ในโปรเจกต์ใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
“ก็รอให้เจ้าของตายก่อนไหม ได้ข่าวว่าชรามากแล้ว พอมรดกตกมาที่ลูกหลานก็เข้าทางเรา” เขมกรหลุดยิ้มในความคิดของเพื่อนรักที่พูดทีเล่นทีจริง
“แล้วถ้าอีกห้าปีสิบปีเจ้าของยังอยู่ล่ะ ไม่เสียเวลาแย่หรือ นายก็พูดเป็นเล่น”
“ฉันแค่ไม่อยากให้นายเครียด”
“คู่แข่งเราต่างก็จ้องตาเป็นมัน ฉันยังคิดไม่ตกว่าต้องทำยังไงให้ได้ที่ผืนนั้นมา” ผู้ถือหุ้นใหญ่วางปากกา แล้วยกมือขึ้นมากุมไว้ด้วยความหนักใจ
“คุณเขมครับ วันนี้จะแวะที่ไหนไหมครับ หรือจะกลับบ้านเลย” คนขับรถประจำตำแหน่งเอ่ยถาม ขณะที่เขมกรประธานหนุ่ม ขึ้นรถมาได้ไม่ถึงห้านาที
“กลับบ้านเลยละกัน วันนี้ผมเหนื่อยอยากพัก” เขาพูดจบจึงเอนกายลงในท่าสบาย
“เห้อ...” หญิงสาวนั่งถอนหายใจอยู่บริเวณม้านั่งริมถนน พลางก้มมองดูนาฬิกา เพื่อรอเวลากลับบ้าน ด้วยกลัวมารดาสงสัยถึงเรื่องการตกงาน ก่อนจะเหลือบไปเห็นรถหรูสีดำจอดติดไฟแดงอยู่ด้านหน้า เพียงแวบแรกหญิงสาวมองผ่านไม่ได้สนใจ ทว่ารู้สึกคุ้นอย่างแปลกประหลาด ด้วยใบหน้าของชายหนุ่มที่ทะลุผ่านกระจกมานั้น ละม้ายคล้ายกับนายเขมกรไม่มีผิด คิ้วเรียวเล็กยู่เข้าหากัน เมื่อเห็นแน่ชัดแล้ว สองเท้าเล็กจึงขยับลุกขึ้น แล้วเดินตรงไปชะโงกหน้าดู
“เฮ้ย!” เขมรกรหันมาถึงกับต้องตกใจอุทานเสียงดังลั่น เมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวจ้องใกล้ในระยะประชิดมีเพียงกระจกรถกั้น ทำเอาคนหนุ่มเกือบหัวใจวาย
“เขมกร นายจริงๆ ด้วย ลงมาเดี๋ยวนี้” หญิงสาวตะโกนเสียงดังลั่น พลางเอามือทุบกระจก หากเธอพลาดไม่ได้คุยกับเขา ก็จะไม่มีโอกาสอีกต่อไป
“นายเขมกร ขอร้องลงมาคุยกับฉันก่อน” หญิงสาวยังคงทุบกระจกรถไม่หยุด
“ลุงครับ ขับไปเลยครับ”
“ไปไม่ได้ครับไฟแดงอีกตั้งนาทีหนึ่ง”
“ตามไม่เลิกจริงๆ” ชายหนุ่มพึมพำ ทว่าเสียงเคาะประตูเพิ่มแรงกดดันให้เขามากขึ้นไปทุกขณะ จนในที่สุดยอมลดกระจกลง เมื่อสังเกตใบหน้าของชายหนุ่มในระยะประชิด นั่นทำให้หญิงสาวผู้คลั่งไคล้โอปป้า ถึงกับตะลึงงันไปครู่หนึ่ง
“ขึ้นรถมา” เสียงเข้มออกคำสั่ง โดยไม่มองหน้าหญิงสาว เมื่อได้รับอนุญาตดารินไม่รีรอที่จะทำตาม
