ตอนที่ 3.1 วิบัติกาลครองพิภพ
“เป็นอย่างที่เมเบลคิด โลกนี้คล้ายกับเกม MMO RPG”
“เก็บเลเวล พิชิตดันเจี้ยน แต่แตกต่างตรงที่ว่า…”
“โลกนี้ไม่มีชีวิตที่สอง ไม่สามารถเกิดใหม่ได้”
“และในตอนนี้ทั้งโลกนี้กำลังเข้าสู่กลียุค มีสถานการณ์ที่เรียกว่า ‘วิบัติกาลครองพิภพ’ เกิดขึ้น”
“จากมอนส์เตอร์ธรรมดา พวกมันกลายร่างเป็นอสูรคลั่ง”
“และมีดันเจี้ยน 66 ดันเจี้ยนเกิดขึ้นทั่วโลก”
"และแต่ละดันเจี้ยน เมื่อพิชิตได้ 1 แห่ง จะ เพิ่มขีดจำกัดเลเวล +10"
“ซึ่งทั้งโลกตอนนี้ขีดจำกัดเลเวลอยู่ที่ 200”
“และถ้าไม่พิชิตดันเจี้ยน มอนส์เตอร์คลั่งในดันเจี้ยนนั้นจะพากันออกมาเพื่อทำความเสียหายให้กับโลกใบนี้”
“ดันเจี้ยนมี 4 ระดับ 1.ง่าย 2.ปานกลาง 3.ยาก 4.ฝันร้าย”
“ปัจจุบันดันเจี้ยนระดับง่าย 25 แห่ง"
[ถูกพิชิตแล้ว 20 แห่ง]
"และดันเจี้ยนระดับกลาง 20 แห่ง”
[ยังไม่ถูกพิชิต]
“ดันเจี้ยนระดับยาก 15 แห่ง”
[ยังไม่ถูกพิชิต]
“และดันเจี้ยนระดับฝันร้าย 6 แห่ง”
[ยังไม่ถูกพิชิต]
“ดันเจี้ยนมันยากขนาดนั้นเลยเหรอ? แค่ระดับกลางยังไม่มีใครพิชิตได้สักที่นึง??”
“แล้วเทพเจ้านั่นกลับส่งฉันมาดันเจี้ยนระดับยาก?”
“ให้ตายสิ” ฉันสบถด้วยความโมโห
“จะว่ายากก็ยาก แต่เพราะตอนนี้ 5 ทวีปทั่วโลกใบนี้กำลังมุ่งสร้างกองกำลัง”
“และเข้าแย่งพื้นที่เพื่อกอบโกยทรัพยากรณ์กันอยู่”
“และเนื่องจากเกิดสงครามแก่งแย่งเขตแดนกัน ทำให้สถานการณ์เรื่องอาหารและของใช้ขาดแคลนอย่างหนัก”
“และที่แห่งนี้เป็นห้องสมบัติของดันเจี้ยนระดับยาก"
“แต่ถึงแบบนั้น มันก็ไม่ได้อยู่ในห้องบอสหรือใกล้ห้องบอส”
“แต่มันอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของมหาดันเจี้ยนนี้ อยู่ในเขาวงกตซ้อนกัน 3 ชั้น”
“ซึ่งจากระบบและตัวไวท์เองคาดว่าจะไม่มีใครค้นพบมันแน่ๆ” ไวท์กล่าว ซึ่งทำให้ฉันเข้าใจทันทีว่าทำไมถึงมีผู้พิทักษ์สมบัติแค่ตัวเดียว แถมเกิดเรื่องอะไรก็ยังไม่มีมอนส์เตอร์ตัวไหนรู้ แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจว่าอาหารของเจ้าออร์คนั่นมาจากไหน
แต่ช่างเถอะ เดี๋ยวฉันจะไปเก็บมันแล้วตรวจสอบดู
“แล้วระดับของอุปกรณ์ล่ะ?” ฉันกล่าวถามต่อพลางมองกำไลที่ฉันสวมอยู่ ซึ่งมันเป็นอาวุธเทียร์นัมเบอร์ น่าจะสูงมากเลยแหละเพราะมีจำกัด และน่าจะเหนือกว่าระดับตำนานอีกด้วย
“ระดับไอเท็มจะมี 7 ระดับด้วยกัน”
ระดับไอเท็ม
1. Common
ไอเท็มพื้นฐาน พบได้ทั่วไปในทุกพื้นที่ ไม่มีความพิเศษใด ๆ เป็นเพียงเครื่องมือหรืออาวุธธรรมดาที่ใช้งานได้
2. Uncommon
ไอเท็มที่มีคุณภาพดีกว่าเล็กน้อย เริ่มมีความสามารถพิเศษหรือค่าคุณสมบัติเพิ่มเติม
3. Rare
ไอเท็มที่เริ่มแสดงพลังเวทหรือคุณสมบัติเฉพาะตัว บางชิ้นมีประวัติความเป็นมา
4. Epic
ไอเท็มทรงพลังที่ยกระดับผู้ใช้ มีประวัติหรือเรื่องราวเฉพาะ เจอได้ในดันเจี้ยนระดับยากหรือมอนสเตอร์บอส
5. Legendary
ไอเท็มระดับสูงที่มีชื่อจารึกไว้ในบันทึกหรือบทเพลงของยุคก่อน บางชิ้นมีจิตวิญญาณหรือสื่อสารกับผู้ใช้ได้
6. Mythic
สิ่งของที่ถูกกล่าวถึงในตำนานเหนือกาลเวลา มีพลังระดับทำลายล้างเมือง หรือพลิกผลลัพธ์ของสงครามได้
7. Divine
ไอเท็มที่ถือกำเนิดจากพลังแห่งเทพเจ้า หรือถูกอวยพรจากพลังเหนือธรรมชาติ มีผลกระทบระดับจักรวาล
“และสุดท้าย พวกนี้จะถูกจัดอันดับ”
“Numbered Relic ไอเท็มนัมเบอร์ มีเพียง 50 ชิ้นในโลกเท่านั้น”
“ซึ่งอาวุธเนรมิตนับว่าอยู่อันดับสูงสุดและลึกลับไม่มีข้อมูล มันคือ #0” ไวท์กล่าวอธิบายยาวละเอียดยิบ ซึ่งฉันก็ตั้งใจฟังมากๆ
“นั่นแสดงว่าฉันได้ไอเท็มอันดับสูงสุดของโลกมาครอบครองงั้นสินะ”
“จะว่าความสามารถมันก็โกงมากๆอยู่หรอก”
“แถมยิ่งอยู่กับฉันยิ่งโกงเข้าไปอีก” ฉันกล่าวพร้อมแสยะยิ้มชั่วร้าย เพราะมันจะเนรมิตรอาวุธออกมาตามที่เราจินตนาการ แต่จะใช้ได้ไหมอีกเรื่องหนึ่ง เพราะมันอาจจะต้องมีเรื่องความเหมาะสม และหลักการใช้งานต่างๆด้วย แต่เรื่องนั้นมันเป็นข้อได้เปรียบของฉันเลยแหละ เพราะอาชีพก่อนฉันทำอะไรล่ะ!?
ปิ้งป่องง!
แม่ค้าอาวุธเถื่อนระดับโลกจ้า!
“ใช่แล้ว ยิ่งรวมกับระบบ AI ของไวท์สิ่งที่จินตนาการออกมาได้แทบจะไร้ที่ติ”
“และมันจะสามารถใช้งานได้ทุกอย่างแน่ๆ” ไวท์กล่าว
“พออ่านใจฉันได้นี่เอาใหญ่เลยนะยัยไวท์” ฉันตอบกลับก่อนจะเบะปากใส่
“อิอิ” ไวท์ส่งเสียงเจ้าเล่ห์ตอบกลับมา
“หืม เหมือนเธอจะมีชีวิตชีวาขึ้นหรือเปล่า?” ฉันกล่าวถามเมื่อเห็นไวท์หัวเราะ
“ใช่แล้ว เพราะไวท์ได้รวมเข้ากับจิตใจมนุษย์ของเมเบลด้วย”
“เพราะฉะนั้นเมเบลไม่ต้องกลัวเหงาแล้วนะ” ไวท์กล่าว ที่จริงฉันก็กลัวเรื่องเหงาอยู่ด้วยแหละ เพราะถ้าไม่ได้พูดคุยอะไรกับใครเลยเอาแต่คุยกับตัวเองคงเป็นโรคจิตแน่ๆ ยิ่งอยู่ในมหาดันเจี้ยนซึ่งอยู่ในชั้นลึกสุดมีวงกดซ้อนทับกัน 3 ชั้น ลึกที่สุดในดันเจี้ยน แถมมีแต่พวกอสูรคลั่ง วันๆฉันคงได้แต่สู้ กิน นอน กว่าจะได้ออกไปคงเป็นซุปเปอร์แรคคูนแล้วมั้ง
“ว่าแต่เรื่องพรสวรรค์ล่ะ?” ฉันกล่าวถามต่อ เพราะในสเตตัสของฉันมันมีพรสวรรค์ระดับ S อยู่ด้วย
“พรสวรรค์ของเมเบลอยู่ที่ระดับ S”
“ถ้าเทียบแล้วอยู่ในระดับสูงเกือบสุดของโลกเลยแหละ”
“เพราะพรสวรรค์ที่มากที่สุดในระบบมีแค่ S+”
“แต่มีตัวตนนึงอยู่ในระดับ SSS”
“แต่ตัวตนนั้นถูกปิดกั้นอย่างสมบูรณ์ ฉันรู้แค่เท่านี้”
“โดยพรสวรรค์คือความสามารถและขีดจำกัดในการเติบโตบวกการเรียนรู้”
“ซึ่งถ้าเลเวลอัพมันจะเพิ่มสเตตัสจำพวกขีดจำกัดของพลังชีวิตและมานาด้วย”
“แต่ถึงแบบนั้นการที่มีพรสวรรค์อยู่ในระดับสูงก็จะยิ่งเพิ่มเลเวลยาก”
“แต่ แต่ แต่ เพราะเมเบลได้รับอุปกรณ์และอาวุธสุดเทพ”
“รวมถึงมีระบบปฏิบัติการอัจฉริยะอย่างไวท์อยู่ด้วย”
“ระบบจึงประเมิณว่าถึงตอนนี้เมเบลจะเลเวล 4 แต่สามารถชนกับปาร์ตี้เลเวล 50 ได้สบายๆ”
“แล้วถ้าหากรวมกับความฉลาดและแผนการของเมเบลด้วยแล้ว เมเบลสามารถพิชิตดันเจี้ยนระดับง่าย…”
“ได้ด้วยตัวคนเดียวเลยแหละ…” ไวท์กล่าว ดูเหมือนเธอจะประเมิณฉันไว้สูงมาก แต่ฉันก็เชื่อ เพราะเธอได้เข้าสู่จิตใจของฉันแล้ว รวมถึงเราร่วมงานกันมาเยอะในชีวิตก่อนหน้านี้ เธอรู้จักฉันดีกว่าใครเลยแหละ
“ชมเก่งนักนะ แต่จะว่าไปเธอก็ชมตัวเองเก่งด้วยหนิไวท์”
“แล้วก่อนอื่นฉันควรจะทำอะไรดี?” ฉันกล่าว ก็ถ้าในเมื่อมีระบบอัจฉริยะอยู่ในมือเปรียบเสมือนสมองของฉันที่อัปเกรดถึงขีดสุดเหนือมนุษย์ ฉันก็จะใช้มันให้เป็นประโยชน์ถึงที่สุดเหมือนกัน
“เปิดใช้อาวุธเนรมิตร ปืนลูกดอก ‘Piercer’” ไวท์กล่าวพร้อมกับกำไลข้อมือของฉันที่เปลี่ยนไปเป็นปืนลูกดอกที่คล้ายกับหน้าไม้ เดาว่าเธอคงออกแบบให้เข้ากับโลกนี้ ซึ่งอนุภาพของมันรุนแรงมาก มันเป็นปืนเจาะเกราะเลยแหละ และถ้าดูจากกลไกของมันแล้ว แรงดีดกระสุนคงรุนแรงสุดๆ
“กำจัดออร์คผู้พิทักษ์ดันเจี้ยน โดยเมเบลต้องจับและสังเกตพฤติกรรมของออร์คหนึ่งนาที”
“หลังจากนั้นพาสซีฟสกิลมือปีศาจและเลียนแบบพฤติกรรมจะถูกเปิดใช้”
“รวมถึงทักษะติดตัวสัญชาตญาณ จะทำให้เมเบลเห็นจุดอ่อนรวมถึงจุดคริติคอลบนตัวออร์ค”
“และเมเบลก็ยิงมัน จบปิ้ง!” ไวท์กล่าว แต่ไอ้คำสุดท้ายนี่รู้สึกคุ้นๆยังไงก็ไม่รู้
“ใช่แล้ว ไวท์เรียนแบบคำพูดและการกระทำของเมเบล” ไวท์กล่าว ตอนนี้ฉันเริ่มรู้สึกรำคาญแล้วล่ะ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกดีที่ไม่ต้องคิดอะไรเองให้ปวดหัว
“ไวท์ยินดีมากที่ได้ช่วยเหลือเมเบล…” ไวท์ตอบกลับมาและน้ำเสียงเธอเหมือนจะน้อยใจยังไงไม่รู้
“ไม่เอาน่า ฉันเองก็ดีใจที่มีไวท์อยู่ข้างๆ” ฉันกล่าวจบก็เตรียมตัวออกไปทางเดิมหรือก็คือทางเข้าห้องสมบัติ
