ของขวัญวันเกิด
วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดอายุครบห้าขวบของนาง เหอรุ่ยเถียนตื่นเต้นที่จะได้ไปซื้อของในเมืองและเลือกขนมด้วยตัวเอง ทันทีที่ท้องฟ้ากลายเป็นสีส้ม มู่เซียนกับเหอเยว่หลิงก็วางมือจากงานทุกอย่าง จับลูกสาวแต่งตัวด้วยชุดสวยประดับผมของนางด้วยแพรหลากสี
"เถียนเอ๋อร์ วันนี้เจ้าอยากได้อะไรพ่อกับแม่จะซื้อให้หมดเลย"
"จริงหรือเจ้าคะ?"
ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เหอรุ่ยเถียนค่อนข้างแน่ใจว่าบ้านตนไม่ค่อยมีเงิน แต่วันเกิดทั้งทีพ่อแม่ของนางคงอยากตามใจบ้างสินะ
พอเข้ามาถึงเขตชุมชนพ่อแม่ของนางก็ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ เหมือนหลบใครอยู่อีกครั้ง แต่เหอรุ่ยเถียนไม่แน่ใจว่าตัวเองควรถามหรือไม่ ท่าทางของพวกเขาทำให้นางระแวงตามไปด้วยจนออกอาการ ตอนนั้นทั้งสองถึงได้รู้ตัวว่าทำให้ลูกกังวลเข้าให้แล้ว
"เถียนเอ๋อร์ พวกเราไปซื้อของขวัญให้ลูกกันดีกว่า"
"เจ้าค่ะ"
พวกเขาช่วยกันเบนความสนใจนางไปทางอื่นจนในที่สุดเรื่องนั้นก็ไม่อยู่ในหัวของบุตรสาวอีก
วันนี้เป็นวันธรรมดาวันหนึ่งที่บังเอิญตรงกับวันคล้ายวันเกิดของนาง ไม่มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจ แต่สำหรับคนที่พึ่งเคยเห็นทิวทัศน์อื่นนอกจากสวนบ้านตัวเองนั้นน่าสนใจมากทีเดียว เป็นภาพแบบที่ถ้าเปิดหนังสือประวัติศาสตร์สักเล่มก็คงเคยเห็นอะไรคล้าย ๆ กันนี้
แต่ก็เพียงคล้าย เพราะเหอรุ่ยเถียนมั่นใจว่าโลกของนางไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสัตว์อสูรปรากฏในบันทึกมาก่อนแน่นอน สิ่งมีชีวิตพิศวงมีบันทึกไว้ก็แต่ในนิทานปรัมปราและเรื่องเล่า ไม่เคยมีข้อพิสูจน์ว่าตัวตนเหล่านั้นเป็นจริงในโลกที่นางเคยอยู่ แต่เหอรุ่ยเถียนรับรู้โดยสัญชาตญาณว่าเบื้องหน้านางนี้ไม่ใช่สัตว์ธรรมดาทั่วไปแน่นอน
ร้านขายของตกแต่งแห่งหนึ่งที่พ่อแม่พานางเดินเข้ามาเผื่อว่าจะพบของขวัญที่ถูกใจ หลังเดินดูจนทั่วร้านเหอรุ่ยเถียนก็สะดุดตาเข้ากับตะเกียงแขวนชิ้นหนึ่ง ในนั้นมีผีเสื้อสีเขียวเกาะอยู่บนกิ่งไม้ดัดงอ มีดอกบานเล็ก ๆ สีชมพูประดับประปรายตรงกลางคือที่วางเชิงเทียน
ไม่รู้ทำไมถึงได้สนใจมันนัก
"เถียนเอ๋อร์อยากได้หรือ" เห็นนางจ้องมันอยู่นานผู้เป็นบิดาจึงเอ่ยถาม
"ลูกชอบมันเจ้าค่ะ" ถึงไม่ได้รู้สึกอยากได้มันขนาดนั้นแต่มันก็เป็นของที่นางสนใจที่สุดในร้าน
ได้ยินดังนั้นผู้เป็นพ่อก็หยิบไปจ่ายเงินให้ทันที เถ้าแก่เนี้ยดูประหลาดใจอยู่ ราวกับว่าไม่คุ้นหน้าสินค้าชิ้นนี้ในร้านของตัวเอง แต่วันหนึ่ง ๆ มีสินค้าเข้ามาหลากหลาย คงไม่แปลกที่นางจะหลงลืมบ้าง
ของขวัญชิ้นแรกถูกมอบให้บุตรสาว นางกอดถุงกระดาษไว้แนบอก พลันปีกผีเสื้อประดิษฐ์ตัวนั้นก็เรืองแสงขึ้นมาครู่หนึ่งแล้วมอดดับไป
พวกเขาพาลูกเข้าภัตตาคารใหญ่เป็นครั้งแรก เหอรุ่ยเถียนตื่นตาตื่นใจมาก แม้จะคิดว่าต้องเดือดร้อนกระเป๋าเงินหนักแน่แต่พ่อแม่ก็เต็มใจมอบวันนี้ให้นาง แถมอาหารที่ร้านนั้นยังอร่อยมากจนนางเกรงใจไม่ลง การขอบคุณที่ดีที่สุดคือการกินอย่าให้เหลือ เห็นเหอรุ่ยเถียนกินอย่างเอร็ดอร่อยพวกเขาก็ยิ้มกว้างอย่างพอใจ
ดึกสงัดวันนั้นพวกเขาก็กลับบ้าน
"วันนี้สนุกหรือไม่"
"สนุกมากเลยเจ้าค่ะ" เหอรุ่ยเถียนตอบรับด้วยรอยยิ้ม พวกเขาไม่ค่อยพานางเข้าเมืองบ่อยนัก อีกทั้งตัวนางเองก็ทำตัวเกียจคร้านและทำตัวสมเป็นเด็กอีกครั้งอย่างสมจริงมาตลอด นางรู้ว่าหากเติบโตขึ้นต้องมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น นางจึงเก็บเกี่ยวช่วงวัยเด็กทำตัวไร้เดียงสาและขี้เกียจไปวันๆ เสียก่อน
ถึงจะไม่ได้ไปทุกปี แต่ถ้าห้าปีครั้งก็พอได้อยู่นะ การเฝ้ารอนั้นน่าตื่นเต้นดีไม่ใช่หรือ
เหอรุ่ยเถียนครุ่นคิดกับตัวเองในใจ
"ถึงไม่ได้ทุกห้าปีลูกก็ไม่โกรธหรอกเจ้าค่ะ ก็ท่านพ่อท่านแม่ตั้งใจทำเพื่อลูกทุกครั้งเลยนี่นา แค่มีพวกท่านอยู่ข้าก็พอใจแล้ว" เหอรุ่ยเถียนเอ่ยดักทาง หากวันใดวันหนึ่งพวกเขาทำไม่ได้จะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดกับบุตรสาวของตนมากไป
พอคุยถึงเรื่องวันนี้เหอรุ่ยเถียนก็ผล็อยหลับไปกลางคันขณะอยู่ในอ้อมอกผู้เป็นพ่อ เทพธิดาตัวน้อยยามหลับช่างน่าเอ็นดูเสียจริง พวกเขาพาลูกไปส่งถึงเตียง วางของขวัญหลายห่อไว้บนโต๊ะหนังสือของนาง หอมแก้มราตรีสวัสดิ์แล้วอวยพรให้นางฝันดีก่อนกลับห้องตัวเอง
เวลาเลยผ่านพ้นยามเที่ยงคืนไป เหอรุ่ยเถียนอายุห้าปีกับอีกหนึ่งวัน ผีเสื้อในตะเกียงตัวนั้นกระพือปีกเบา ๆ ละอองสีเขียวอ่อนเหมือนเช่นปีกของมันร่วงหล่น ลอยล่องโอบล้อมทั่วทั้งห้อง ละอองใดที่ถูกพัดพาผ่านร่างเหอรุ่ยเถียนแล้วนั้น จะลอยกลับไปรวมกันเป็นกำไลวงหนึ่งอยู่หน้าตะเกียง เมื่อละอองผงสุดท้ายดับแสงลง กำไลทองจี้หยกก็สมบูรณ์
หมดหน้าที่ของมันแล้วผีเสื้อตัวเดิมก็กลายเป็นละอองทองลอยหายไป
