บท
ตั้งค่า

#5

“ท่านป้าสุ่ยจะไปแล้วหรือ เมื่อครู่ เป็นท่านมิใช่หรือที่กล่าวว่า หากวันนี้ข้ามิได้รับโทษจะไม่ยอมกลับ” เลิ่งยี่กล่าวขึ้นในขณะที่นางสุ่ยกำลังจะก้าวเท้า

ทุกคนพากันหันไปมองสองแม่ลูกตระกูลสุ่ยเป็นตาเดียว เถียนจงหรี่ตาลงมองอย่างไม่ค่อยพอใจ วันนี้เขารู้สึกเสียหน้ามากแล้ว ต้องโทษคนพวกนี้ เถียนจงกล่าวเสียงเข้มว่า “สะใภ้สุ่ย ท่านกับลูกชายเป็นตัวตั้งตัวตีฟ้องร้องจางหวั่นอี้และน้องชาย ท่านสมควรต้องอยู่ฟังความให้จบ มิเช่นนั้นข้าจะถือว่าท่านสองแม่ลูกจงใจปั่นหัวข้า!”

นางสุ่ยไม่กล้าเดินต่อ รีบหันกลับมาแก้ตัวอย่างร้อนรน “เอ่อ คือ มิใช่เช่นนั้นพี่เถียน ข้าเห็นว่าเรื่องมันชักบานปลาย เลยไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องของตระกูลจาง เรื่องของข้าค่อยมาจัดการที่หลังก็ได้”

เลิ่งยี่หัวเราะในลำคอ ส่ายหน้าน้อยๆ พลางพูดว่า “ป้าสุ่ย ท่านไม่อยากจัดการตอนนี้ไม่เป็นไร แต่ข้าอยากจัดการคนที่ทำร้ายน้องชายข้า หากวันนี้ บุตรชายท่านไม่ลงไปจับปลาในแม่น้ำมาให้ทุกคนได้ดู ข้าจะถือว่าเขาโกหก เป็นเขาที่ต่ำช้าพาพวกไปรุมทุบตีน้องชายข้าเพื่อแย่งปลา!”

นางสุ่ยได้ยินเช่นนั้นก็รีบปรี่เข้ามา “นังเด็กอัปลักษณ์! ข้าไม่เอาเรื่องเจ้าก็ดีเท่าไหร่แล้ว เจ้ายังจะมีหน้า....”

“พอแล้ว! ข้าจะตัดสินเอง” เถียนจงไม่รอให้นางสุ่ยพูดจบพลันตะคอกเสียงดัง

พวกชาวบ้านพากันก้มหน้างุด ส่วนนางสุ่ยไม่กล้ากล่าวต่อ ในใจเริ่มกังวล กลัวว่าหัวหน้าหมู่บ้านจะสั่งให้บุตรชายลงไปในแม่น้ำจริงๆ

เลิ่งยี่รู้ความคิดของนาง จึงกล่าวขึ้นว่า “หากท่านป้าสุ่ยไม่อยากให้บุตรชายลงไปตายในแม่น้ำก็ให้เขายอมรับผิดเสีย แล้วข้าจะไม่เอาความ ท่านเลี้ยงลูกให้เป็นคนต่ำทรามเช่นนี้ คงตายอนาถเข้าสักวัน”

หว๋ากังเป็นคนอารมณ์ร้อน ชอบลงไม้ลงมือ ไหนเลยจะทนฟังได้ เด็กหนุ่มเดินปรี่เข้าไปหาเลิ่งยี่ด้วยใบหน้าถมึงทึง “นังตัวอัปลักษณ์! เจ้ากล้าสาปแช่งข้าหรือ ข้าจะทุบตีเจ้าให้ตายเลยคอยดู!”

นางสุ่ยเห็นอย่างนั้นกลับไม่คิดห้ามปรามบุตรชาย

“สุ่ยหว๋ากัง ข้ายังอยู่ที่นี่เจ้ากล้าหรือ!” เถียนจงรีบตะโกนห้าม

ทว่าหว๋ากังกลับทำราวกับไม่ได้ยิน ง้างกำปั้นพุ่งเข้าหาร่างผอมบางอย่างรวดเร็ว เลิ่งยี่ไม่ได้คิดหลบเลี่ยง ทำเพียงส่ายหน้ายิ้มๆ ขยับเพียงนิดก็เบี่ยงหลบกำปั้นของเขาอย่างง่ายดาย ก่อนจะกระทุ้งหัวเข่าเข้าที่กลางหว่างขา พริบตาเดียวเด็กหนุ่มก็ทรุดตัวลงไปนอนกุมเป้าร้องโอดโอยหน้าซีดปากสั่น นางสุ่ยตกใจร้องเสียงหลงวิ่งถลาเข้าไปดูบุตรชาย

เลิ่งยี่มองสองแม่ลูกด้วยหางตา พลางกล่าวเสียงเรียบ “ข้าบอกท่านแล้ว ว่าท่านเลี้ยงลูกเช่นนี้ คงตายอนาถเข้าสักวัน” พอเอ่ยจบก็หันไปกล่าวกับผู้คนที่ยังยืนตะลึงอยู่ “เรื่องต่ำช้าที่พวกท่านทำไว้กับข้าสามพี่น้อง ข้าจะไม่เอาความ แต่ทรัพย์สินบ้านข้าที่ผู้ใดเอาไป ให้รีบนำมาคืน จากนั้นก็ต่างคนต่างอยู่ อย่าได้คิดมารังแกข้าสามพี่น้องอีก ไม่เช่นนั้น....” เลิ่งยี่ปรายตามองหว๋ากังแทนคำพูดที่เหลือ ให้ทุกคนดูเป็นตัวอย่าง

บุรุษหลายคนมีสีหน้าหวาดผวา กลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่ แม้แต่เถียนจงยังมีสีหน้ากระอักกระอ่วน สุดท้ายเพื่อไม่ให้เสียหน้าไปมากกว่านี้ เถียนจงจึงยึดคำตัดสินตามที่เลิ่งยี่ต้องการ จากนั้นไล่ทุกคนให้แยกย้ายพากันกลับ

พอคนกลับไปหมดแล้ว เจิ้งซูกับลู่ปิงที่แอบดูอยู่ก็รีบผลักประตูออกมา “พี่ใหญ่ ท่านเป็นอันใดหรือไม่” เจิ้งซูมองสำรวจพี่สาวด้วยความเป็นห่วง

เลิ่งยี่ยิ้มให้พวกเขา ชวนกันกลับเข้าบ้าน เจิ้งซูเดินตามมาอย่างครุ่นคิด แม้ความเปลี่ยนแปลงของจางหวั่นอี้จะไม่มากมายนัก ทว่าคนข้างกายย่อมมองเห็น เพียงแต่เขาไม่กล้าถาม อย่างเรื่องจับปลาในน้ำด้วยมือเปล่า การเผชิญหน้ากับคนทั้งหมู่บ้าน พี่สาวของเขาไม่ใช่คนขี้ขลาดก็จริง แต่มักเป็นคนยอมคน หลีกเลี่ยงปัญหาเสมอ เขารู้สึกว่าพี่สาวไม่เหมือนเดิม

เลิ่งยี่รู้ว่าเจิ้งซูคิดอันใด รอให้เด็กๆ นั่งลงแล้ว นางจึงกล่าวขึ้นว่า “จากนี้ พี่ใหญ่จะไม่ยอมให้ผู้ใดมารังแกพวกเราสามพี่น้องอีก ก่อนหน้านี้ที่พี่ใหญ่ยอม ก็เพราะตอนนั้นพวกเรายังเด็ก แต่คราวนี้พวกเขาทำเกินไป โดยเฉพาะสุ่ยหว๋ากัง หากไม่ตอบโต้กลับไปบ้าง เขาจะยิ่งได้ใจ พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่”

เจิ้งซูกับลู่ปิงพากันพยักหน้า เลิ่งยี่กล่าวต่อไปว่า “พรุ่งนี้ พี่ใหญ่ว่าจะลองเข้าไปในเมือง ไปดูลู่ทางทำมาหากิน ส่วนพวกเจ้าต้องอยู่บ้าน รอพวกญาติๆ เอาสมบัติของท่านพ่อแม่ท่านแม่มาคืน”

เด็กชายทั้งสองรับคำอย่างว่าง่าย เมื่อคุยกันเป็นที่เข้าใจแล้ว เลิ่งยี่ก็เข้าครัวไปทำอาหารให้พวกเด็กๆ พอฟ้ามืดก็พากันเข้านอน บ้านหลังนี้ แม้แต่เทียนสักเล่มยังไม่มี ทว่าความยากจนข้นแค้นกลับมิใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเลิ่งยี่ หากจะว่าไป นางคิดว่าการใช้ชีวิตธรรมดาเช่นนี้ดียิ่งแล้ว

รุ่งอรุณวันใหม่ เลิ่งยี่ลุกจากเตียงตั้งแต่ฟ้ายังมิทันสว่าง อันที่จริงต้องกล่าวว่านางมิเคยหลับใหลถึงจะถูก ด้วยความที่เลิ่งยี่ถูกฝึกฝนให้เข้าฌานมาตั้งแต่เด็ก มันเลยเป็นความเคยชินที่แม้แต่ตัวนางเองยังแยกแยะไม่ออกว่าสิ่งไหนคือการนอนหลับ สิ่งไหนคือการฝึกฝน เลิ่งยี่เดินฝ่าความมืดขึ้นเขาไปเพียงไม่นานก็กลับมาพร้อมเห็ดป่าราวครึ่งตะกร้า จัดการทำอาหารไว้ให้พวกเด็กๆ พอนางทำเสร็จ เด็กทั้งสองก็ตื่นพอดี

หลังจากทานอาหารเรียบร้อย เลิ่งยี่กล่าวขึ้นว่า “สายมากแล้ว พี่ใหญ่คงต้องรีบเข้าเมือง พวกเจ้าอยู่บ้านดูแลตัวเองให้ดี หากมีใครมาข่มเหงรังแก เลี่ยงได้ให้เลี่ยง รอให้พี่ใหญ่กลับมาก่อนเข้าใจหรือไม่”

“เข้าใจขอรับ” เด็กชายทั้งสองรับคำอย่างพร้อมเพรียง

เลิ่งยี่ยิ้มให้พวกเขา ก่อนจะสาวเท้าออกจากบ้าน พอเดินพ้นหมู่บ้านออกมาถึงเส้นทางเงียบสงัด นางถึงได้มีเวลาสำรวจร่างกายของจางหวั่นอี้อย่างละเอียด นางรู้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าร่างนี้ต้องพิษ เพราะปานแดงบนใบหน้าหาใช่ปานอย่างที่เห็น เรื่องนี้ทำให้เลิ่งยี่รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ที่บุตรสาวชาวบ้านธรรมดากลับมีพิษแฝงในร่างกาย แต่ครู่เดียวนางก็เลิกสนใจมันอย่างสิ้นเชิง

ระยะห่างจากหมู่บ้านเฮ่อไปถึงตัวอำเภอหานชีราวสี่ลี้ เลิ่งยี่จึงมีเวลาเดินชื่นชมธรรมชาติสองข้างทาง รู้สึกสงบสุขอย่างยิ่งยวด ทว่าฉับพลันนั้น ฝีเท้าของนางก็มีอันต้องหยุดชะงัก กลิ่นคาวเลือดโชยมาแตะจมูก เลิ่งยี่กลอกตามองบนอย่างเหนื่อยหน่าย พลางสาปแช่งสวรรค์ที่เรียกคืนความสุขของนางกลับไปเร็วนัก ก่อนจะเดินเข้าไปในป่าสนข้างทางเพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel