บทย่อ
เมื่อนางมารกลับใจได้มาเกิดใหม่ในร่างเด็กสาวชาวบ้านธรรมดาหน้าตาอัปลักษณ์ นางคิดว่าชาตินี้จะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ แต่ใครจะรู้ว่าฐานะของร่างเดิมกลับไม่ธรรมดาอย่างที่เห็น ไม่เพียงเลิ่งยี่จะไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ ยังต้องเข้าไปผจญกับโชคชะตาของจางหวั่นอี้อย่างไม่มีทางเลี่ยง ไม่รู้ว่านางมารผู้ไม่อยากให้มือกลับไปเปื้อนเลือด จะอดทนอดกลั้นได้นานแค่ไหน จะมีใครบ้างที่บังอาจก้าวข้ามขีดความอดทนของนาง : : : หลี่มู่ฉีรับผ้ามาค่อยๆ บรรจงเช็ดไปตามแผ่นอก รอนหน้าท้อง เจตนาทำให้นางเห็น ซึ่งเลิ่งยี่ก็เห็นตามที่เขาต้องการจริงๆ เพียงแต่สายตาที่มองยังคงเรียบเฉย หลี่มู่ฉีเห็นแล้วหมดอารมณ์จะเช็ดตัวขึ้นมาทันที เขาส่งผ้าคืนให้นาง เลิ่งยี่รับมาอย่างมึนงง “เช็ดตัวให้เปิ่นหวาง!” “อ้อ” เลิ่งยี่ขยับเข้าไปใกล้ แต่ก่อนที่ผ้าในมือนนางจะสัมผัสโดนร่าง หลี่มู่ฉีพลันเอ่ยเสียงเย็นชา “นี่เป็นหน้าที่ของสาวใช้ ห้ามคิดเงินเพิ่ม” นางได้ยินก็ฉีกยิ้ม ค่อยๆ เช็ดตัวให้เขาอย่างอารมณ์ดี ชาติก่อนเลิ่งยี่อยู่เหนือผู้คนมาทั้งชีวิต ไม่เคยมีชายใดกล้าเฉียดเข้าใกล้ กระทั่งอายุสี่สิบสองนางยังครองความบริสุทธิ์จนกระทั่งตาย ไหนเลยจะเข้าใจเรื่องชายหญิง นอกจากฝึกวิชากับฆ่าคนแล้ว เรื่องอื่นไม่เคยอยู่ในหัว นางหาใช่ไม่สนใจรูปร่างของเขา เพียงแต่ ความสนใจของนางอยู่ที่... เจ้าหนุ่มนี่หน่วยก้านดีใช้ได้เลยทีเดียว หากฝึกวิชาในคัมภีร์สัจจะคงเป็นหนึ่งในใต้หล้าได้ไม่ยาก
#1
ณ.ผาซูซัน
บนยอดเขาสูงเทียมเมฆา ภายใต้หมอกหนา ท่ามกลางซากศพและเลือดแดงฉาน เสียงรบราฆ่าฟันพึ่งจะสงบลง
สตรีชุดแดงเพลิงค่อยๆ ก้าวถอยหลังไปยังริมหน้าผา ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดกวาดมองชิ้นส่วนมนุษย์ที่กระจัดกระจายอยู่ใต้ฝ่าเท้าอย่างสาแก่ใจ ศพที่หาชิ้นส่วนมาประกอบไม่ได้เหล่านี้ มีทั้งคนของพรรคธรรมะและคนของพรรคมาร เลิ่งยี่เป็นนางมารปกครองใต้หล้ามายี่สิบเจ็ดปีไม่นึกว่าตนจะมีวันนี้
“นางมารชั่ว! ส่งหยกเทวะมาให้ข้า บางทีข้าอาจจะไว้ชีวิตเจ้า” ผู้นำพรรคธรรมะพูดพลางชี้ดาบมาเบื้องหน้า
เลิ่งยี่ยิ้มเย็น แม้ว่าร่างกายจะชุ่มโชกไปด้วยเลือด บาดเจ็บสาหัสจนไม่หลงเหลือพละกำลังจะเอ่ยวาจาตอบโต้ ทว่าในแววตาของนางกลับมิมีท่าทียินยอม เดิมทีคนเหล่านี้ แค่เอ่ยนามของนางยังไม่กล้าด้วยซ้ำ หากคนของนางไม่ทรยศ มีหรือ ว่าพวกมันจะได้มายืนวางอำนาจเบื้องหน้านางเช่นนี้ได้
ประมุข ‘เลิ่ง’ รับช่วงต่อจากบิดาขึ้นปกครองพรรคมารทั่วหล้าด้วยวัยเพียงสิบห้าปี ตลอดยี่สิบเจ็ดปีที่นางนั่งตำแหน่งประมุข เลิ่งยี่ฆ่าคนไปมากมายเท่าใดคงมิอาจนับ นางมิเพียงโหดเหี้ยมอำมหิต ยังมีวรยุทธสูงส่งจนไม่มีผู้ใดเทียบเทียม ทว่าเมื่อสามเดือนก่อน หลังจากที่เลิ่งยี่ได้หยกเทวะมาครอบครอง จู่ๆ นางก็เกิดความเบื่อหน่าย จึงคิดวางมือจากยุทธภพ กระทั่งมาถูกคนที่นางไว้ใจที่สุดหักหลัง
เลิ่งยี่ก้มมองกริชพิษที่ปักคาอยู่กลางอกด้วยรอยยิ้มหยัน จากนั้นกวาดมองผู้คนเบื้องหน้า แม้ว่าลมหายใจจะรวยริน ทว่าแววตาของนางกลับนิ่งสงบอย่างยิ่งยวด ในเมื่อสิ่งที่พวกมันต้องการคือหยกเทวะ นางย่อมมีหนทางเอาคืน คิดแล้วมุมปากของเลิ่งยี่พลันบิดขึ้นเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะหลับตาหงายหลังทิ้งตัวลงจากหน้าผาพร้อมหยกเทวะในมือ
แปดร้อยปีให้หลัง ฤดูใบไม้ผลิ รัชศกเจิ้งหยวน เมืองเจียงตู แคว้นเซิ่น จู่ๆ เมฆดำพลันเคลื่อนคล้อยมาบดบังท้องฟ้าในยามราตรี พายุเริ่มก่อตัวตั้งเค้า พัดต้นไม้ใบหญ้าลู่ไปตามลม ไม่นานฝนก็กระหน่ำลงมา
ในกระท่อมทรุดโทรมตั้งอยู่ตีนเขาทางทิศใต้ของหมู่บ้านเฮ่อ เสียงร่ำไห้ของเด็กน้อยดังระงม
“ฮือๆ พี่ใหญ่ ท่านฟื้นสิ”
เด็กชายร่างกายผ่ายผอมเขย่าร่างพี่สาวไปพลาง ร้องไห้ไปพลาง
ฉับพลันนั้นท้องฟ้าพลันสว่างวาบ ตามมาด้วยสายฟ้าผ่าลงมาจนแผ่นดินสะเทือน สองพี่น้องผวากอดกันด้วยความตกใจ
ร่างบนเตียงพลันลืมตาตื่น
วิญญาณที่ถูกขังในหยกเทวะมาแปดร้อยปี ที่สุดก็ได้รับการปลดปล่อย
เลิ่งยี่กวาดตามองหลังคามุงหญ้าคาปราดหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้า ความทรงจำมากมายเริ่มหลั่งไหลเข้ามาในหัว
เจ้าของร่างเดิมมีนามว่าจางหวั่นอี้ ตายเพราะถูกงูพิษกัด บิดามารดาถูกหิมะถล่มเสียชีวิตไปเมื่อสามปีก่อน หลังจากที่บิดามารดาเสีย พวกญาติๆ ก็พากันมารุมทึ้งสมบัติไปจนสิ้น ทิ้งให้จางหวั่นอี้และน้องๆ ต้องอยู่กันอย่างลำบากยากแค้น
จางหวั่นอี้ปีนี้ย่างเข้าวัยสิบห้า รูปร่างผอมแห้ง ผิวพรรณแห้งกร้าน แก้มซีกซ้ายมีปานแดงขนาดเท่าฝ่ามือเกือบครึ่งหน้า
เมื่อเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าเริ่มเบาลง เด็กชายทั้งสองถึงได้ผละออกจากกัน ครั้นเห็นว่าพี่สาวลืมตา ก็พากันดีใจยกใหญ่
“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ ท่านฟื้นแล้ว ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
เลิ่งยี่คิ้วกระตุกอยู่หลายทีติด รู้สึกไม่คุ้นชินกับคำว่าพี่เท่าใดนัก หากจะกล่าวถึงอายุตอนตาย นางปาเข้าไปสี่สิบสองแล้ว ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงอายุวิญญาณ นางคือนางเฒ่าดีๆ นี่เอง พอมาถูกเด็กรุ่นหลานเรียกว่าพี่จึงรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
เจิ้งซูเห็นว่าพี่สาวเอาแต่มองเหม่อ จึงยื่นมือไปโบกเหนือใบหน้า “พี่ใหญ่ ท่านได้ยินข้าหรือไม่”
“อืม” เลิ่งยี่ขานรับในลำคอ คว้ามือเขาเอาไว้ ก่อนจะถามขึ้นว่า “ยามใดแล้ว”
เด็กทั้งสองพากันส่ายหน้า พวกเขาเองก็พึ่งรับรู้ถึงบรรยากาศรอบกายตอนที่ฟ้าผ่า ตั้งแต่ที่พี่สาวหมดสติ ความสนใจของพวกเขาจดจ่ออยู่แต่กับร่างของนาง ไม่รับรู้แม้กระทั่งฝนตกฟ้าร้อง
เลิ่งยี่ยันกายลุกขึ้นนั่ง ปรับเปลี่ยนน้ำเสียงตามความทรงจำของจางหวั่นอี้ที่พึ่งได้รับมา “พี่ใหญ่ไม่เป็นอันใดแล้ว พวกเจ้าไปนอนเถิด ฝนตกอากาศเย็นยิ่งนัก เดี๋ยวจะพากันป่วยเอา”
“ขอรับพี่ใหญ่” เจิ้งซูรับคำจูงมือน้องชายไปที่เตียงอย่างเชื่อฟัง ไม่นานก็หลับไปอย่างง่ายดาย
ฝ่ามืออันสั่นเทาของเลิ่งยี่ค่อยๆ ทาบลงบนอกด้านซ้ายครั้นเห็นว่ามันขยับ ถึงได้วางใจ แปดร้อยปีที่ผ่านมา นางต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย จนเกือบจะกลายเป็นวิญญาณเลอะเลือน ความทรมานนั้นช่างสาหัสนัก เมื่อแน่ใจว่าตนได้มาเกิดใหม่ ย่อมต้องตื่นเต้นดีใจเป็นธรรมดา
หลังจากที่ตั้งสติได้แล้ว เลิ่งยี่ก็กวาดตามองไปรอบๆ ต่อให้มืดมิด นางยังเห็นได้ชัดเจน ว่ากระท่อมหลังนี้ซอมซ่อเพียงใด หลังคามุงหญ้าคาแทบจะกันลมกันฝนมิได้ ผนังลำไผ่ผุพัง คล้ายสร้างไว้พักพิงชั่วคราว ยังเรียกว่าบ้านไม่ได้ด้วยซ้ำ เตียงไม้ตั้งชิดผนังคนละมุม อีกมุมหนึ่งมีผ้าเก่าขาด กางกั้นไว้สำหรับผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ มีโต๊ะเก้าอี้เก่าๆ ตั้งอยู่กลางบ้าน
เลิ่งยี่เห็นแล้วไม่ได้รู้สึกอันใด เพราะการได้กลับมามีชีวิตย่อมดีกว่าเป็นวิญญาณโดดเดี่ยว ต่อให้ยากจนข้นแค้นกว่านี้นางก็ไม่กังวล คิดได้ดังนั้น เลิ่งยี่จึงล้มตัวลงนอน