#6
เลิ่งยี่เดินลัดเลาะไปตามป่าสนได้ระยะหนึ่ง ก็เจอเข้ากับกลุ่มคนที่กำลังมุ่งหน้าตรงมายังทิศทางเดียวกัน มิหนำซ้ำคนกลุ่มนั้นยังถูกไล่ล่า
เสียงวัตถุแหวกอากาศดังขึ้นหลายคราติด เสี้ยวลมหายใจหลังจากนั้น กลุ่มคนที่กำลังวิ่งโซซัดโซเซก็ล้มตายประหนึ่งใบไม้ร่วง เหลือเพียงบุรุษที่สวมอาภรณ์หรูหราเพียงคนเดียวที่กำลังวิ่งตรงมาหานาง ตามหลังมาด้วยกลุ่มคนชุดดำอีกมากมาย
เลิ่งยี่พลันก่นด่าสาปแช่งสวรรค์อีกระลอกใหญ่ ทว่านางยังด่าไม่ทันจบ ลูกธนูดอกหนึ่งก็พุ่งตามชายผู้นั้นมาติดๆ และที่น่าเดือดดาลยิ่งไปกว่านั้น คือคนผู้นั้นดันสะดุดล้ม เมื่อไม่มีเขาขวางทางลูกธนูจึงพุ่งมาหานางอย่างรวดเร็ว
“บัดซบเอ๊ย!” นางสบถออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะเบี่ยงหลบลูกธนูอย่างฉิวเฉียด คนชุดดำรีบกรูกันเข้ามาล้อมบุรุษผู้นั้นเอาไว้อย่างแน่นหนา
เลิ่งยี่พยายามปรับลมหายใจเข้าออกเพื่อระงับโทสะ กำลังจะเดินเลี่ยงกลับสู่เส้นทางหลัก ทว่ายังมิทันได้ก้าวเท้า ดาบเล่มใหญ่ก็ตวัดเข้าหาลำคอ ครานี้ โทสะของเลิ่งยี่ปะทุขึ้นมาจริงๆ แล้ว นางทั้งโกรธสวรรค์ที่ทำให้มาเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ทั้งโกรธคนเหล่านี้ที่ไม่ไปฆ่ากันที่อื่น ดาบเล่มนั้นยังมิทันจะบั่นคอนางจนขาด เสียง ‘เพี้ย’ ก็ดังขึ้น ตามมาด้วยร่างชายชุดดำปลิวกระเด็นไปกระแทกต้นสนจนหัก
เลิ่งยี่หันไปจ้องคนชุดดำที่เหลืออย่างเอาเรื่อง พลางยืนเท้าสะเอว ก่นด่าด้วยความโมโห “บิดามันเถอะ! ข้าขออยู่อย่างสงบบ้างมิได้เชียวหรือ เวลาอื่นมีตั้งมาก เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่ลงมือ ไยต้องมาลงมือตอนที่ข้าผ่านทางมา หรือว่าอยากทดสอบความอดทนของมารดาผู้นี้นัก!”
เหล่านักฆ่าไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้ จึงพากันตกตะลึงไปชั่วขณะ ทว่าครู่เดียวหนึ่งในนั้นก็ชี้ดาบมาที่เลิ่งยี่ “ฆ่านาง!”
นักฆ่าคนหนึ่งพุ่งเข้าจู่โจมนางอย่างรวดเร็ว เสียง เพี้ย ดังขึ้นอีกครา ร่างคนผู้นั้นกระเด็นไปไกล หลังจากนั้นไม่นาน เสียงเดียวกันก็ดังขึ้นอีกหลายคราติด เพียงสิบลมหายใจ ชายฉกรรจ์ร่วมยี่สิบคนก็พากันลงไปนอนกองอยู่ที่พื้น
เลิ่งยี่มองผลงานตัวเองก่อนจะยืนปัดไม้ปัดมือ อารมณ์เริ่มดีขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าพอสายตาเหลือบไปเห็นบุรุษในอาภรณ์หรูหราสีดำนางพลันนิ่วหน้าอีกครั้ง
หลี่มู่ฉีจ้องมองเด็กสาวเบื้องหน้าอย่างระแวดระวัง ดวงตาคมเข้มที่เย็นชาอยู่เป็นนิจพลันเยียบเย็นขึ้นอีกหลายส่วน หญิงสาวที่เป็นวรยุทธเขาย่อมเคยเห็น แต่หญิงสาวที่ใช้เพียงมือเปล่าตบบุรุษร่างกำยำยี่สิบกว่าคนจนสลบนี่เขาพึ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ต่อให้เป็นยามที่เขาแข็งแรงที่สุดก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ พลังยุทธของนางต้องสูงส่งเท่าใดกัน
ในขณะที่หลี่มู่ฉีกำลังมองประเมินนางอยู่นั้น เลิ่งยี่ก็กำลังมองประเมินเขาอยู่เช่นกัน รู้สึกสนใจบุรุษตรงหน้าขึ้นมาเล็กน้อย เพราะนางอ่านความคิดเขาไม่ออก แต่เพียงครู่เดียวนางก็ถอนสายตากลับ เลิกสนใจเขาอย่างสิ้นเชิง หมุนตัวเตรียมจะจากไป ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวเท้า บุรุษเบื้องหลังพลันหมดสติไปเสียก่อน
เลิ่งยี่ถอนหายใจคราหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมามอง กำลังชั่งใจว่าจะช่วยดีหรือไม่ช่วยดี สุดท้ายนางก็เลือกที่จะเดินเข้าไปดู พลางบ่นในใจอย่างเหนื่อยหน่าย ‘ช่างเถิด คิดเสียว่าเป็นโชคชะตาก็แล้วกัน’
เลิ่งยี่กวาดมองไปทั่วร่างเขาปราดหนึ่ง เมื่อไม่เห็นอาการบาดเจ็บภายใน สายตาจึงมาหยุดอยู่ตรงบาดแผลที่ท้อง บาดแผลไม่ได้สาหัส น่าจะแค่ถูกลูกธนูถาก แต่เป็นพิษในร่างนั่นต่างหากที่ทำให้เขาสลบ
อันที่จริงวิธีถอนพิษนั้นมีอยู่หลายวิธี เพียงแต่ในเวลาเช่นนี้ เลิ่งยี่ไม่อาจใช้วิธีถอนพิษธรรมดาได้ นางกวาดสัมผัสไปรอบๆ เห็นว่าไม่มีใครแล้วจริงๆ ถึงได้พยุงร่างของเขาขึ้น จากนั้นลงนั่งขัดสมาธิทาบสองมือลงบนหลัง ถ่ายพลังปราณเข้าไปขับพิษ
ยามนี้หน้าซุ้มประตูอำเภอหานชี ขุนนางน้อยใหญ่รวมถึงชาวบ้านต่างมายืนตั้งแถวรอรับขบวนเสด็จตัวแทนพระองค์กันอย่างเนืองแน่น บุรุษในชุดขุนนางที่ยืนอยู่หน้าสุด ชะเง้อคอมองสลับกับก้มมองเงาตัวเองเป็นระยะๆ ทว่ารอแล้วรอเล่า บนเส้นทางยังคงว่างเปล่า มีเพียงลมฤดูใบไม้ผลิพัดฝุ่นผงลอยไปในอากาศ นานเข้าชาวบ้านที่แต่เดิมพูดคุยกันจ้อกแจ้กจอแจก็พากันเงียบเสียงลง ขุนนางทั้งสี่เริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดี
ในขณะที่หลายคนเริ่มกังวล เงาร่างสายหนึ่งพลันปรากฏขึ้นบนเส้นทางว่างเปล่า เสียงกุบกับจากฝีเท้าม้าค่อยๆ ดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
เลิ่งยี่จูงม้าเดินตรงเข้าไปหาฝูงชน หยุดม้าห่างจากพวกเขาไปราวห้าจั้ง จากนั้นยอบกายคำนับ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “นายท่านทั้งหลาย บนเส้นทางจากหมู่บ้านเฮ่อเข้าเมืองมีศพอยู่เกลื่อนกลาด ข้าเห็นว่าคนผู้นี้ยังมีลมหายใจอยู่ จึงช่วยเขาเอาไว้ แต่ข้าไม่รู้ว่าเขาคือผู้ใด รบกวนพวกท่านช่วยดูหน้าเขาหน่อยได้หรือไม่ บางทีพวกท่านอาจรู้จัก”
ผู้ว่าเมืองเจียงตูเพ่งมองไปยังอาชาสีดำตัวใหญ่ ครั้นเห็นร่างที่พาดอยู่หลังม้า หัวใจพลันกระตุกวูบ รีบสาวเท้าเข้าไปดู เพียงแค่ยกใบหน้าขึ้น หนังหัวก็ชาวาบ “อวิ้นอ๋อง!” สิ้นเสียงของเขา ความโกลาหลพลันบังเกิด
เลิ่งยี่ถูกผู้คนวิ่งชนจนเกือบจะล้ม เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนางแล้ว จึงเดินตรงเข้าไปยังตัวอำเภอ
ทว่าหลังจากนั้น นางกลับมิได้ชื่นชมเมืองอย่างที่คิด เพราะเรื่องการลอบสังหารอวิ้นอ๋อง ทำให้ทหารสั่งปิดเมือง ซ้ำยังประกาศหาตัวนางจนวุ่นวาย เลิ่งยี่เลยจำต้องเดินกลับไปยังซุ้มประตูเมืองอีกครั้ง มีทหารบางคนจำนางได้ ไม่รอให้นางเดินไปถึงก็รีบวิ่งเข้ามาหา
“แม่นางน้อย เจ้าหายไปที่ใดมา รู้หรือไม่ว่าท่านผู้ว่าเกือบจะสั่งให้จับตัวเจ้าอยู่แล้ว เร็วเข้ารีบไปที่ว่าการกับข้า”
เลิ่งยี่เดินตามเขาไปด้วยท่าทางเรื่อยเฉื่อย รู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย นางแสนจะไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดการใช้ชีวิตเยี่ยงเด็กสาวธรรมดามันถึงได้ยากเย็นนัก เพราะตั้งแต่มาอยู่ในร่างนี้ ยังไม่มีวันไหนที่นางได้อยู่อย่างสงบเลยสักวัน
ที่ว่าการอำเภอหานชี เวลานี้คลาคล่ำไปด้วยทหารนับร้อยราวกับกำลังจะเกิดสงคราม เพราะอวิ๋นอ๋องได้รับแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนพระองค์มาเชิญนักพรตเสียงไท่กลับวังหลวงไปดูอาการประชวรของฮ่องเต้ เมื่อมีคนคิดสังหารเขา ก็ไม่ต่างอันใดกับคิดปลงพระชนม์ฮ่องเต้ หากเรื่องนี้ขุนนางในเมืองเจียงตูจัดการไม่ดี คงได้หัวหลุดจากบ่าเป็นแน่ ด้วยเหตุนี้ภายในเมืองจึงมีแต่ความตึงเครียด มีเพียงเลิ่งยี่เท่านั้นที่ไม่รับรู้สถานการณ์รอบข้าง
ทหารยามที่พาเลิ่งยี่มารีบเข้าไปรายงาน จากนั้นไม่นานพวกเขาก็ออกมาตามนางเข้าไป
ที่ว่าการเป็นสถานที่ใช้ตัดสินคดีความ โถงเบื้องหน้าจึงค่อนข้างกว้างยาวพอสมควร ในตอนที่เลิ่งยี่เดินพ้นประตูเข้ามา ก็เห็นว่าบัลลังก์เบื้องหน้าและที่นั่งรองลงมามีคนนั่งอยู่หลายคน แต่ละคนมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก แม้แต่ทหารที่ยืนเรียงแถวอยู่สองฟากข้างยังมีท่าทางเคร่งเครียด
ครั้นผู้ที่นั่งบนบัลลังก์หันมาเห็นนาง พลันตะคอกเสียงดัง “ยังไม่รีบไสหัวเข้ามาอีก!”
