#4
“นังลูกกำพร้าอัปลักษณ์ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!” เสียงตะโกนของนางฮุ่ยดังแสบแก้วหูจนเลิ่งยี่ที่กำลังวาดฝันต้องยกนิ้วก้อยขยี้หูตัวเอง ไม่เพียงแค่เลิ่งยี่เท่านั้น แม้แต่เจิ้งซูที่กำลังหลับใหลยังลืมตาตื่น ลู่ปิงตกใจรีบลุกไปยืนข้างพี่สาว
เจิ้งซูค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง “พี่ใหญ่ เกิดอันใดขึ้น”
“พวกเจ้ารออยู่ในนี้นะ เดี๋ยวพี่ใหญ่ออกไปดูเอง” เลิ่งยี่สาวเท้าตรงไปยังประตู
ครั้นก้าวพ้นประตูออกมา นางฮุ่ยพลันถลาเข้ามาหมายจะกระชากผม ทว่ากลับคว้าเพียงอากาศ เลิ่งยี่เบี่ยงตัวหลบเพียงนิด ก็สาวเท้าผ่านร่างนางฮุ่ยไปอย่างง่ายดาย ก่อนจะหยุดยืนห่างกลุ่มคนไปราวห้าจั้ง
นางฮุ่ยได้สติรีบเดินปรี่เข้ามาคิดจะลงมืออีกครั้ง
“ข้าขอเตือน อย่าได้ทำให้ข้าหมดความอดทน” เลิ่งยี่กล่าวโดยไม่หันกลับไปมอง เสียงของนางแม้จะเรียบนิ่ง ทว่ามันกลับแฝงไว้ด้วยแรงกดดัน ทำให้พวกชาวบ้านเริ่มหายใจลำบาก นิ้วมือของนางฮุ่ยชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ผ่านไปหลายอึดใจพวกเขาถึงได้หายใจปกติ
ทุกคนมองเด็กสาวเบื้องหน้าอย่างฉงน ครู่หนึ่ง หัวหน้าหมู่บ้านก็ถามขึ้น “จางหวั่นอี้ พวกชาวบ้านมาฟ้องร้องกับข้าว่า เจ้าเป็นสาเหตุทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทใช่หรือไม่”
เลิ่งยี่กวาดมองทุกคนปราดหนึ่ง เห็นสายตาหลายคู่มองมาอย่างโกรธแค้นก็พอคาดเดาเรื่องได้เลาๆ นางตอบกลับเสียงเรียบ “ไม่ใช่”
สิ้นเสียงของนาง พวกชาวบ้านก็พากันโวยวายเสียงดัง
“จะไม่ใช่ได้อย่างไร หากเจ้าไม่นำปลานั่นมา เรื่องคงไม่เกิด!”
“ใช่ๆ นังเด็กนี่ไปขโมยปลาของตระกูลสุ่ยมา แล้วมาโยนทิ้งไว้กลางหมู่บ้าน พวกเราเลยทะเลาะวิวาทแย่งกัน ลุงเถียน ข้าต้องการให้นางชดใช้ให้สามีที่บาดเจ็บของข้า!”
มารดาของสุ่ยหว๋ากังกล่าวอย่างมีโทสะ “เสี่ยวกังของข้าอุตส่าห์จับปลามาอย่างยากลำบาก แต่กลับถูกนังเด็กอัปลักษณ์นี่ขโมยไป หากวันนี้นางไม่ได้รับโทษ คนบ้านสุ่ยของข้าจะไม่ยอมกลับเด็ดขาด!”
ใบหน้าของเถียนจงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ยกมือขึ้นปรามชาวบ้าน รอให้ทุกคนเงียบเสียงลง เขาก็กล่าวเสียงดุดัน “จางหวั่นอี้ เจ้ายังไม่ยอมรับผิดอีกหรือ!”
เลิ่งยี่มิได้สนใจหัวหน้าหมู่บ้าน นางเพ่งมองไปยังเด็กหนุ่มวัยราวสิบหกที่ยืนอยู่ในกลุ่มคนบ้านสุ่ย จากนั้นถามขึ้นว่า “คงเป็นเจ้ากระมัง ที่ทำร้ายน้องชายข้า”
หว๋ากังได้ยินอย่างนั้นก็แค่นเสียงดังเฮอะ เอ่ยอย่างดูแคลน “ไอ้เด็กตัวเหม็นนั่นมันคิดมาขโมยปลาข้า ที่ข้าไม่ตีมันจนตายก็นับว่ามีน้ำใจมากแล้ว”
ริมฝีปากของเลิ่งยี่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม พลางสาวเท้าเข้าไปหยุดยืนเบื้องหน้าหว๋ากัง มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะถามเสียงเรียบ “เจ้าจับปลามาได้อย่างไร”
หว๋ากังไม่คิดว่าจะถูกถามเช่นนี้ เลยมีท่าทีอึกๆ อักๆ นางสุ่ยเห็นว่าบุตรชายกำลังจะเสียท่า รีบยกมือชี้หน้า ทว่าเลิ่งยี่กลับมิรอให้นางได้อ้าปากก็กล่าวต่อไปว่า “ไหนเจ้าลองจับปลาให้ข้าดูหน่อยเถิด”
เอ่ยจบเลิ่งยี่ก็หันไปกล่าวกับหัวหน้าหมู่บ้าน “ลุงเถียน ท่านอายุปูนนี้แล้ว เป็นถึงหัวหน้าหมู่บ้าน แยกแยะไม่ออกหรือว่าสิ่งใดความจริง สิ่งใดความเท็จ พวกเขากล่าวหาว่าข้ากับน้องชายไปขโมยปลา ท่านก็เชื่อหรือ ท่านเคยสงสัยหรือไม่ ว่าบ้านสุ่ยมีปลาได้อย่างไร หว๋ากังจับปลามาได้อย่างไร”
เถียนจงใบหน้าแข็งค้าง รู้สึกหน้าชาที่ที่ถูกย้อนถาม ไม่ใช่ว่าเขาไม่สงสัย แต่ระหว่างบ้านสุ่ยกับเด็กกำพร้าบ้านจาง เขาย่อมต้องเอนเอียงไปทางบ้านสุ่ย
เลิ่งยี่อ่านความคิดของเขาออก ใบหน้าจึงเผยรอยยิ้มเยาะ กล่าวอย่างไม่ไว้หน้า “ท่านเห็นว่าบ้านสุ่ยมีอันจะกินเลยเข้าข้างพวกเขาโดยไม่คิดไต่ถามหาความจริงใช่หรือไม่ ขอถามสักคำเถิด ที่พวกท่านพากันมารุมรังแก รุมใส่ร้ายเด็กกำพร้าที่ไร้บิดามารดาปกป้อง ไม่นึกละอายใจกันบ้างหรือ?”
นางฮุ่ยทนฟังไม่ไหว รีบปรี่เข้ามาชี้หน้า “นังเด็กอกตัญญูกล้าตำหนิพวกเราหรือ ตอนหิมะถล่มทับบ้านเจ้า ถ้าไม่ได้พวกเรา พวกเจ้าสามพี่น้องจะมีที่ซุกหัวนอนหรือ เจ้าว่าบุตรชายบ้านสุ่ยจับปลาไม่ได้ แล้วเจ้าจับได้หรือ อย่าได้คิดโยนความผิดให้ผู้อื่น! ไม่เช่นนั้น ข้าในฐานะป้าสะใภ้จะทุบตีเจ้า!”
ได้ยินอย่างนั้น รอยยิ้มของเลิ่งยี่พลันสว่างไสวขึ้นอีกสองส่วน หันมามองนางฮุ่ย เดิมทีนางไม่ได้ใส่ใจเรื่องสมบัติ ทว่ากลับมีคนโยนไม้มาให้ ในเมื่อมีคนกล่าวถึงแล้ว นางจะยอมปล่อยผ่านไปได้อย่างไร เลิ่งยี่กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “บุญคุณที่พวกท่านพากันมารุมทึ้งสมบัติของบิดามารดาข้า แล้วปล่อยให้ข้าพี่น้องอยู่กันอย่างลำบากยากแค้นนะหรือ ข้าจดจำได้ดีเลยทีเดียว เรื่องนั้นป้าสะใภ้มิต้องเป็นห่วง ส่วนเรื่องที่ว่าข้าโยนความผิดให้ผู้อื่นนั้น ก็ต้องรอให้หว๋ากังจับปลามาให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาใส่ร้ายปรักปรำข้า อ้อ เรื่องที่ท่านคิดใช้ศักดิ์ป้าสะใภ้มาทุบตีข้า นั่นก็ต้องถามก่อนว่าข้ายินยอมให้ท่านทุบตีหรือไม่”
“นะ..นี่เจ้า! จะ..เจ้า!” นางฮุ่ยโกรธจนสั่นไปทั้งร่าง แต่กลับเถียงไม่ออก เพราะเรื่องที่ญาติตระกูลจางพากันมาบังคับเอาสมบัติของบิดามารดาจางหวั่นอี้นั้น ไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้
ชาวบ้านพากันหันไปมองกลุ่มคนแซ่จางเป็นตาเดียว หัวคิ้วของเถียนจงถึงกับขมวดเป็นปม หากเรื่องที่จางหวั่นอี้กล่าวมาเป็นความจริง คนตระกูลจางก็ต่ำช้ายิ่ง แล้วเขาที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านปล่อยให้เด็กกำพร้าสามคนถูกรังแก ยังจะเหลือเกียรติอันใดอีก คิดแล้วเถียนจงก็หันไปถามพวกคนแซ่จางเสียงดุดัน “พวกเจ้าทำเช่นนั้นจริงหรือไม่!”
จางเถารีบออกตัวก่อนผู้อื่น “ไม่ใช่เช่นนั้นลุงเถียน ก่อนตายท่านพี่ปั้วมาหยิบยืมเงินบ้านข้าไป หลังจากที่เขาตาย ข้าเลยไปขอเงินคืนก็เท่านั้น! ส่วนเรื่องวันนี้ พวกข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง คงต้องขอตัวก่อน” เอ่ยจบจางเถาก็รีบดึงภรรยาเตรียมจะกลับบ้าน แต่เลิ่งยี่มีหรือจะยอมให้เขาจากไปง่ายๆ
“ท่านอาเถา ท่านกล่าวว่าบิดาข้าไปยืมเงินท่านมา ข้าขอถามท่าน ท่านเอาเงินจากที่ใดมาให้บิดาข้ายืม บิดาข้าเป็นช่างไม้ รับงานในเมืองหาเงินได้มากโข เงินทองมิเคยขาดมือ ในหมู่บ้านมีใครไม่รู้บ้างว่าบ้านข้านับเป็นครอบครัวมีอันจะกินครอบครัวหนึ่ง ส่วนท่าน งานการไม่เคยทำ ไร่นาไม่เคยเข้า ระหว่างท่านกับบิดาข้า ผู้ใดเป็นคนยืม ผู้ใดเป็นคนให้ยืม คงไม่ต้องเดากระมัง”
จางเถาหน้าซีดเผือด ส่วนเถียนจงยิ่งฟังก็ยิ่งมีโทสะ กวาดมองคนตระกูลจางอย่างเดือดดาล พลางกล่าวเสียงดุดัน “หากเรื่องนี้ยังไม่กระจ่าง คนตระกูลจางห้ามออกจากที่นี่!”
เสียงโอดครวญของคนตระกูลจางดังระงม จะอย่างไรก็เป็นคำสั่งหัวหน้าหมู่บ้าน พวกเขาเลยไม่กล้าโวยวาย นางสุ่ยเห็นท่าไม่ดี กลัวเรื่องจะวกมาหาตนและบุตรชายจึงคิดปลีกตัวไปเงียบๆ ทว่ามีหรือที่เลิ่งยี่จะยอมปล่อยใครไปโดยง่าย ปัญหาเหล่านี้สมควรต้องสะสางให้จบ มิเช่นนั้นนางคงไม่มีทางได้อยู่อย่างสงบแน่
