บทที่ 3 งานเลี้ยงตระกูลมู่
บทที่ 3
งานเลี้ยงตระกูลมู่
ทันทีที่มู่เสี่ยวชิงกลับมาถึงเรือนหยกงาม นางก็ปิดประตูเรือนขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง ไม่ยอมให้ผู้ใดเข้ามาเป็นอันขาดแม้แต่ชงเหยาก็ยังต้องรออยู่ด้านนอก
"ชงเหยา พี่ใหญ่เล่า" มู่ห่าวหรานเอ่ยถามสาวใช้ที่ยืนกระสับกระส่ายไปมาด้วยความสงสัย
"คุณหนูอยู่ในเรือนเจ้าค่ะ บ่าวรู้สึกไม่ดีเลยเหมือนคุณหนูกำลังปิดบังอะไรอยู่ แววตาของคุณหนูก็น่ากลัวมากเจ้าค่ะ"
"เช่นนั้นเจ้าก็ไปทำอย่างอื่นก่อนเถิด"
"เจ้าค่ะ"
คล้อยหลังที่ชงเหยาเดินจากไปแล้ว มู่ห่าวหรานมองไปยังประตูที่ยังปิดสนิทด้วยความกังวลใจ เพียงไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงร่ำไห้ที่ดังเล็ดลอดออกมา แม้จะเบาบางแต่เพราะเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์จึงได้ยินอย่างชัดเจน
"พี่ใหญ่... เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับท่านกันแน่ เหตุใดในแววตาของท่านถึงได้มีความเศร้าหมองแฝงเอาไว้อยู่ตลอดเวลา" มู่ห่าวหรานเอ่ยกับตัวเอง แล้วจึงเดินล่าถอยออกไปอีกคน
เขาคิดมานานแล้วว่าตั้งแต่มาถึงเมืองหลวงพี่สาวของเขาก็เปลี่ยนไป ทุกคนต่างสังเกตได้โดยเฉพาะท่านพ่อที่ถึงกับเรียกเขาไปพบในห้องส่วนตัว
"แววตาของเสี่ยวชิงและอุปนิสัยที่ร่าเริงอ่อนโยนของนางเปลี่ยนไปราวกับมีเรื่องอะไรในใจ เจ้าที่ใกล้ชิดกับนางมากที่สุดรู้หรือไม่"
"เรื่องนี้ลูกเองก็สงสัยเหมือนกันขอรับ ท่านพี่ดูเย็นชามาก แม้แต่ชงเหยายังแอบมาพูดกับลูกว่าท่าทางของท่านพี่ราวกับก้อนน้ำแข็งเดินได้กระนั้นเลยขอรับ"
"น่าแปลกจริง ๆ เสียด้วย หรือว่าเสี่ยวชิงจะรู้สึกไม่ดีที่ต้องย้ายมาที่เมืองหลวงกัน"
"อาจจะเป็นไปได้ขอรับ ท่านพี่อาจจะกำลังวางตัวให้สมกับเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ของเราก็ได้ ในเมืองหลวงล้วนมีแต่อสรพิษร้ายทั้งนั้น"
มู่อู๋ซวนลูบเคราของตนเองพลางคิดวิเคราะห์ตามคำพูดของบุตรชายไปด้วย "อาจจะเป็นจริงดั่งที่เจ้าว่ามาก็เป็นได้ เช่นนั้นพ่อฝากเจ้าดูแลเสี่ยวชิงด้วยเล่า หากว่านางต้องการอะไรก็รีบมาบอกพ่อ แต่ถ้ากล้ามีผู้ใดมารังแกนางทำให้นางต้องคับข้องใจก็อย่าได้ลังเล หากมีเรื่องใดตามมาพ่อจะจัดการเอง"
"ท่านพ่อโปรดวางใจ ลูกจะดูแลพี่ใหญ่ด้วยชีวิตเลยขอรับ"
มู่ห่าวหรานยืดอกอย่างหนักแน่น ท่าทางของเขาราวกับผู้ใหญ่ที่รู้ความที่พร้อมจะปกป้องคนที่ตัวเองรัก
"ดีมาก เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ"
"ขอรับท่านพ่อ"
มู่ห่าวหรานค้อมศีรษะแล้วเดินออกไปจากห้อง ลับหลังที่เขาไปแล้วมู่อู๋ซวนก็ได้เรียกคนสนิทเข้ามา พร้อมกับส่งคนให้ไปเฝ้าระวังความปลอดภัยของมู่เสี่ยวชิงด้วย ด้วยคนที่ได้รับหน้าที่นี้ล้วนเป็นยอดฝีมือทั้งสิ้น!
กลับมาที่ปัจจุบันภายในห้องของเรือนหยกงาม มู่เสี่ยวชิงกำมีดสั้นในมือแน่นจนเส้นเลือดบนมือปูดโปนขึ้นมา นางจ้วงแทงมีดสั้นลงไปที่หมอนอย่างบ้าคลั่งเพื่อระบายความโกรธแค้นที่สุมอยู่ในอกของตน เสียงฉึก ๆ และเสียงร่ำไห้ของนางดังก้องกังวานไปทั่วห้อง
ฉึก ฉึก ฉึก!!
"ฮึก ๆ ตายซะเถอะนังเพื่อนสารเลว!!"
มีดสั้นในมือจมหายไปในหมอนครั้งแล้วครั้งเล่า คนทำก็จดจ่ออยู่กับความคิดที่สับสนอยู่ในหัวของตัวเองเช่นกัน น้ำตาแห่งความเสียใจและเคียดแค้นพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย เนื้อตัวของมู่เสี่ยวชิงสั่นระริกไปทั้งตัวด้วยความคั่งแค้นที่อยู่ในจิตใจ ต่อให้ตอนนั้นนางรู้ว่าอีกฝ่ายต้องจบชีวิตลงไปแล้วในชาติก่อน ทว่าเมื่อได้กลับมาพบกันอีกครั้ง และเห็นใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มแห่งการเสแสร้งนี้ นางก็รู้สึกคลื่นไส้จนอยากจะอาเจียนออกมา ใบหน้านั้นช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก!
"ฮือ ๆ ข้าขอสาบานว่าในชาตินี้ข้าจะทำให้เจ้ากับเฉิงอี้เทาอยู่มิสู้ตาย ทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสกว่าข้านับเท่าพันทวี! ต่อให้ในชาติที่แล้วพวกเจ้าจะได้รับกรรมไปแล้ว แต่มันก็ยังไม่สาสมกับสิ่งที่พวกเจ้าทำกับข้า ในชาตินี้ข้าคือกรรมของพวกเจ้า!!"
ฝ่ามือเล็กถือมีดสั้นขึ้นมาจรดที่ปลายนิ้วชี้ของตน กดลงไปให้ปลายมีดบาดลึกที่ผิวเนื้อของตนทำให้หยาดโลหิตสีแดงเข้มหยดลงมาช้า ๆ จากปลายนิ้วของมู่เสี่ยวชิง การหลั่งโลหิตครั้งนี้ถือเป็นการสาบานในคำพูดที่เอ่ยออกมาเมื่อครู่นี้ ดวงหน้างามแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมมองดูหยดเลือดสีแดงที่ไหลรินลงมาสู่พื้นด้านล่าง ดวงตาคู่เรียวสวยสว่างวาบอย่างเย็นชา
หนี้เลือดที่ทั้งสองทำไว้กับนางเมื่อชาติก่อน นางจะเอาคืนให้หมด!!
งานเลี้ยงจวนตระกูลมู่
หลังจากที่ตระกูลมู่เดินทางมายังเมืองหลวงได้เกือบ 1 เดือน มู่อู๋ซวนก็ได้จัดงานเลี้ยงเพื่อฉลองให้กับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ประจำเมืองหลวงที่เขาได้รับแต่งตั้งจากฝ่าบาท งานเลี้ยงในครั้งนี้ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย ทว่ายังคงให้ความหรูหราในเรื่องของอาหาร น้ำชา และสุราที่เอามารับรองแขก ทุกอย่างล้วนเป็นของชั้นเลิศทั้งสิ้น สิ่งนี้เองที่ทำให้ชนชั้นสูงในเมืองหลวงต้องมองตระกูลมู่ในสายตาที่เปลี่ยนไป
"คารวะท่านแม่ทัพใหญ่มู่ ยินดีด้วยนะขอรับ"
รองเสนาบดีกรมคลังนำของขวัญมามอบให้กับมู่อู๋ซวนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม สายตาที่มากเล่ห์มองเลยไปทางด้านหลังยังตำแหน่งของมู่เสี่ยวชิง เขาเห็นว่าอายุของนางใกล้เคียงกับบุตรชายของตน ภายในใจจึงกำลังดีดลูกคิดรางแก้วว่าควรจะเกี่ยวดองกับตระกูลมู่เลยดีหรือไม่
"ขอบคุณ ๆ เชิญท่านรองเสนาบดีชุนด้านใน"
มู่อู๋ซวนยิ้มรับทว่าหางคิ้ว กระตุกไปมา เขาที่เห็นสายตามากเล่ห์ของอีกฝ่ายจะไม่รู้เลยหรือว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใด แม้เขาจะเอาแต่กรำศึกในสนามรบ แต่ใช่ว่าเรื่องการเมือง เรื่องแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในราชสำนักเขาจะไม่รู้เรื่องเลย เพียงแต่เขายังตั้งตนอยู่ตรงกลาง ไม่ได้อยู่ฝ่ายใดทั้งสิ้น ยิ่งเพิ่งมาจากต่างเมืองยิ่งต้องระมัดระวังตัวให้ดีเสียก่อน
มู่ห่าวหรานก็รู้ใจบิดายิ่งนัก เขารีบเดินเข้ามาเชื้อเชิญอีกฝ่ายให้ไปนั่งยังที่นั่งที่จัดเตรียมเอาไว้อยู่ทันที หากชักช้าเกรงว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยเรื่องแต่งงานกับพี่ใหญ่เอาได้
"น้องอู๋ซวน ยินดีกับเจ้าด้วยนะ"
'หวังเจิ้งเทียน' แม่ทัพใหญ่แห่งทิศอุดรเข้ามาตบไหล่ของมู่อู๋ซวนด้วยความสนิทสนม ด้วยทั้งสองเคยร่วมรบกันมานานเมื่อหลายปีก่อน ทั้งยังสาบานเป็นพี่น้องกันด้วย ดังนั้นแล้วทั้งสองจึงมีความสนิทสนมกันมาก ทว่าน่าเสียดายที่บุตรสาวของพวกเขากลับไม่ชอบหน้ากันนัก
"พี่ใหญ่! ท่านก็มาด้วยหรือนี่"
"เรื่องน่ายินดีเช่นนี้ข้าย่อมต้องมาอยู่แล้ว เป็นอย่างไรบ้าง คุ้นเคยกับเมืองหลวงบ้างหรือยัง"
"ยังมีบางเรื่องที่ข้าอาจจะต้องขอให้ท่านช่วยชี้แนะ เอ๊ะ! นั่นลี่จูหรือ ช่าง... งดงามยิ่งนัก"
มู่อู๋ซวนชะงักไปครู่ด้วยความตกตะลึงกับการแต่งกายของอีกฝ่าย
"คารวะท่านอามู่เจ้าค่ะ ข้าน้อยหวังลี่จูเองเจ้าค่ะ"
'หวังลี่จู' บุตรีคนเล็กของหวังเจิ้งเทียนเข้ามาคารวะอีกฝ่าย โดยที่มู่เสี่ยวชิงที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ก้าวเข้ามาทักทายสองพ่อลูกตระกูลหวังเช่นกัน
"ฮ่าฮ่าฮ่า เสี่ยวชิงของเราโตขึ้นงดงามยิ่งนัก สมแล้วที่เป็นถึงยอดหญิงงามแห่งเมืองเหลียงซาน"
หวังเจิ้งเทียนเอ่ยทักทายหลานสาวด้วยความยินดี นางงดงามดั่งเช่นมารดาที่เสียไปมิมีผิดเพี้ยน
"ท่านลุงใหญ่กล่าวหนักเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ข้านั้นงดงามยังไม่ได้ครึ่งของลี่จูสักนิดเดียว การแต่งกายที่มากสีสันเช่นนี้ช่างเปิดหูเปิดตาข้ายิ่งนักเจ้าค่ะ" มู่เสี่ยวชิงแอบจิกกัดอีกฝ่ายเบา ๆ
อย่างไรนางกับหวังลี่จูก็ชอบพูดจาจิกกัดกันเช่นนี้อยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะความเกลียดชังที่มีให้แก่กัน แต่เหมือนกับว่านี่คือการทักทายอย่างปกติของพวกนางต่างหากเล่า
หวังลี่จูที่วันนี้แต่งกายด้วยอาภรณ์สีส้มสลับกับสีฟ้าและสีม่วง ตวัดสายตามองมู่เสี่ยวชิงด้วยความหมั่นไส้ หน็อยแน่! เจอกันในรอบ 10 ปีก็พูดจาแดกดันการแต่งกายของนางเลยนะ
"การแต่งกายของข้าเป็นแบบที่ชนชั้นสูงชอบกัน สหายของข้าเป็นคนเลือกให้ข้าเอง เจ้าเพิ่งมาเมืองหลวงคงจะไม่เข้าใจหรอก" หวังลี่จูสะบัดหน้าไปอีกทาง
มู่เสี่ยวชิงที่นึกไปถึงเรื่องของตนในชาติก่อนก็อดจะเห็นใจอีกฝ่ายไม่ได้ หวังลี่จูนั้นเป็นคนตรงไปตรงมาจึงไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของสตรีด้วยกัน ความจริงแล้วนางนั้นมีผิวกายที่ละเอียดอ่อนดั่งแพรไหม กอปรกับใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้มเช่นนี้ ควรแต่งอาภรณ์ที่มีสีสันสว่างสดใสให้เหมาะสมกับตนเองมากกว่า
