บทที่ 2 แม่ทัพใหญ่ผู้กระหายเลือด
บทที่ 2
แม่ทัพใหญ่ผู้กระหายเลือด
ครอบครัวตระกูลมู่ได้เข้าไปสำรวจในเรือนหลังใหม่ด้วยความตื่นเต้น มู่อู๋ซวนพักยังเรือนหลักอันเป็นเรือนของท่านประมุขตระกูล ส่วนมู่ห่าวหรานนั้นได้พักยังเรือนฝั่งขวาข้างเรือนหลักของบิดา ทว่ามู่เสี่ยวชิงที่ควรจะพักเรือนฝั่งซ้ายกลับขอไปพักยังเรือนที่อยู่เกือบหลังจวน เนื่องจากนางไม่ต้องการจะเดินซ้ำรอยกับอดีตของตน นางจึงคิดจะเริ่มใหม่ตั้งแต่การเลือกเรือนพักของตน ซึ่งเรือนนี้ถือว่าใหญ่โตโอ่อ่ามิต่างกัน ทั้งยังมีแมกไม้ล้อมรอบเรือนที่ให้ความร่มรื่นเป็นอย่างมาก ถือว่าสงบเป็นอย่างยิ่ง
"เสี่ยวชิง เจ้าแน่ใจหรือที่จะพักเรือนหลังนั้น" มู่อู๋ซวนเอ่ยถามเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง
"เจ้าค่ะท่านพ่อ ลูกชอบเรือนหลังนั้นมาก ทั้งสงบและร่มรื่นเป็นที่สุดเลยเจ้าค่ะ" มู่เสี่ยวชิงเอ่ยตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
"แต่พ่อคิดว่ามันไกลจากเรือนหลักมากไปนะ ให้พ่อจ้างช่างมาต่อเติมเรือนฝั่งซ้ายดีหรือไม่"
"หรือพี่ใหญ่จะเอาเรือนของข้าก็ได้นะขอรับ" มู่ห่าวหรานเอ่ยขึ้นมาบ้าง
"ข้าพอใจเรือนหลังนี้เจ้าค่ะ และข้าก็ตั้งชื่อเรือนว่าเรือนหยกงามแล้วเจ้าค่ะ" มู่เสี่ยวชิงหันมาลูบศีรษะน้องชายด้วยความเอ็นดู "เรือนฝั่งขวาเหมาะสมกับเจ้าแล้ว อย่าได้คิดมากกันไปเลยนะเจ้าคะ"
"เอาตามที่เจ้าว่ามาก็ได้ เช่นนั้นพ่อจะเพิ่มเวรยามทางด้านนู้นก็แล้วกัน" ในที่สุดมู่อู๋ซวนก็ยอมแพ้บุตรสาว
"ขอบคุณท่านพ่อเจ้าค่ะ"
หลังจากนั้นบทสนทนาของทั้งสามก็เปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น เรื่องงานเลี้ยงที่มู่อู๋ซวนคิดจะจัดที่จวน ด้วยถือเป็นการเปิดตัวสู่แวดวงชนชั้นสูงในเมืองหลวง ฉะนั้นมู่เสี่ยวชิงจึงถือโอกาสที่จะช่วยจัดงานนี้ให้ดีที่สุด นางจำได้ว่าชาติก่อนพวกนางถูกคนตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงดูแคลน เนื่องจากไม่รู้จักธรรมเนียมของเมืองหลวง ฉะนั้นนางจะทำให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้ผู้ใดกล้ามาต่อว่าตระกูลมู่ของนางได้อีก!
ไกลออกไปพันลี้ทางทิศเหนือที่ค่ายทหารของแม่ทัพใหญ่ผู้ได้สมญานามว่า 'แม่ทัพใหญ่ผู้กระหายเลือด' ไม่ว่าเขาจะออกรบไปยังที่แห่งหนใด ที่นั่นย่อมเต็มไปด้วยเลือดของศัตรูทั้งสิ้น ด้วยการรบของเขานั้นดุดันราวกับสัตว์ร้าย ไม่ว่าศัตรูจะเก่งกาจเพียงใดก็มิอาจต้านทานแผนการรบอันแยบยล และการพุ่งรบราวกับสัตว์ป่าของเขาไปได้
"นายท่าน นกพิราบสื่อสารขอรับ"
'ซานเย่' คนสนิทผู้รู้ใจเจ้านายเดินเข้ามาพร้อมกับนกพิราบสื่อสาร เขายื่นให้กับผู้เป็นเจ้านายก่อนจะเดินถอยหลังจากไป
ชายหนุ่มผู้อยู่ในชุดนักรบที่เปื้อนเลือดของศัตรู รีบตรงเข้ามาแกะสารจากขาของนกพิราบ เขาไล่สายตากวาดอ่านถึงสามรอบเพื่อให้แน่ใจแล้วจึงเผาสารนั้นทิ้งไปเสีย
'เมืองหลวง ปลอดภัย'
"ซานเย่" น้ำเสียงทุ้มต่ำอันทรงพลังเอ่ยเรียกลูกน้องคนสนิทให้เข้ามาอีกครั้ง
"ขอรับ"
"ไปสั่งคนของเราให้เตรียมพร้อม อีกหนึ่งชั่วยามข้าจะนำทัพออกไปรบอีกครั้ง โดยครั้งนี้จะต้องเอาหัวของหัวหน้าเผ่าหู่เป่ยให้จงได้!"
ใบหน้าอันหล่อเหลาเอ่ยเสียงเรียบ ทว่ากลับแผ่กลิ่นอายสังหารออกมาอย่างเข้มข้น ชวนให้ซานเย่รู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก
"ขอรับ!"
ซานเย่รีบรับคำแล้วจากไปทันที คำสั่งของท่านแม่ทัพถือว่าเป็นที่สิ้นสุด ไม่มีการโต้แย้งใด ๆ ทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าเมื่อไม่กี่ชั่วยามที่ผ่านมานี้ พวกเขาเพิ่งจะออกไปรบมาเองก็ตาม ในเมื่อท่านแม่ทัพต้องการจะพิชิตเผ่าหู่เป่ยในเร็ววัน พวกเขาที่ถือว่าเป็นทหารติดตามก็ต้องทำตามความประสงค์ของท่านแม่ทัพให้จงได้!
แม่ทัพใหญ่ผู้กระหายเลือดใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามก็สามารถปลิดชีพหัวหน้าเผ่าหู่เป่ยได้สำเร็จ เขานำศีรษะของหัวหน้าเผ่าเก็บไว้ในกล่องไม้อย่างดี ทั้งยังใช้น้ำแข็งเอามาแช่แข็งศีรษะหัวหน้าเผ่าหู่เป่ยเป็นอย่างดีด้วย
ในตอนนั้นเองที่บุตรสาวของหัวหน้าเผ่าถูกควบคุมตัวมายังกระโจมที่พักของท่านแม่ทัพใหญ่ สตรีผู้นั้นอายุเพิ่งจะ 17 หนาว หน้าตางดงามหมดจดทว่ากลับไม่สามารถทำให้ผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ชายตาแลได้เลย เขาเพียงมองนางราวกับเป็นเพียงสตรีทั่วไปเท่านั้น ทั้งที่ตัวนางมั่นใจว่าเขาจะต้องหลงใหลในรูปโฉมของตน และอาจจะยอมปล่อยนางรวมถึงครอบครัวของนางไปด้วย
"นำตัวนางไปขังคุกเชลยแล้วเตรียมนำกลับไปยังเมืองหลวง"
"ทะ ท่านแม่ทัพ ได้โปรดเถิดเจ้าค่ะ โปรดไว้ชีวิตของข้าด้วย ฮือ ๆ ข้ายอมท่านทุกอย่างเลย ขอเพียงปล่อยน้องชายที่อายุแค่ 5 หนาวของข้าไปก็พอเจ้าค่ะ" นางเอ่ยต่อรองด้วยสีหน้าที่ชวนให้ผู้คนรู้สึกสงสารจับใจ
"เจ้าไม่ต้องคิดมาใช้แผนหญิงงามกับข้า ตัวเจ้าหาได้งดงามจนข้ารู้สึกพิศวาสไม่ เอาตัวนางไปขังคุก!!"
"ทะ ท่านแม่ทัพ..."
สตรีผู้นั้นผงะไปด้วยความตกตะลึง นางงามไม่พอหรือ... เหตุใดเขาถึงไม่แม้แต่จะชายตาแลนางเลยสักนิด หรือว่าเขามีสตรีในดวงใจเสียแล้ว?
ซานเย่ที่รู้ดีว่าท่านแม่ทัพกำลังจะเกิดโทสะ เขาจึงรีบลากตัวสตรีผู้นั้นออกไปทันที นางทำได้แต่มองแม่ทัพใหญ่ผู้มีใบหน้าหล่อเหลาด้วยความเสียดายและเสียใจ การเป็นอนุของเขาย่อมดีกว่าการต้องเป็นเชลยที่มิอาจจะรู้ได้ว่าชีวิตของนางจะไปยังจุดไหน อาจจะต้องตกต่ำอย่างถึงขีดสุด จนแม้แต่ตัวนางเองอยากตายก็เป็นได้...
คล้อยหลังที่สตรีนางนั้นจากไปแล้ว ท่านแม่ทัพใหญ่จึงได้ถอดชุดเกราะอันหนักอึ้งของตนออกไป ใบหน้าที่เคยสุขุมเย็นชาพลันยกยิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเลือนหายไปอย่างช้า ๆ
'รอข้าก่อน... แล้วข้าจะรีบกลับไปหาเจ้า เสี่ยวชิงของพี่...'
คิ้วกระบี่ที่รับกับดวงตาคมกริบดั่งใบมีดหลับตาลง เมื่อนึกถึงวันวานที่เขากับนางในดวงใจเคยใช้ร่วมกัน แม้จะเป็นความทรงจำในวัยเยาว์ที่เขาเพิ่งจะอายุ 13 หนาว ส่วนนางก็เพิ่งจะอายุ 8 หนาว แต่เขากลับจดจำความรู้สึกนั้นได้เป็นอย่างดี... ที่เมืองเหลียงซาน อันเป็นบ้านเดิมของเขาเมื่อ 10 กว่าปีก่อน!
ทางด้านเมืองหลวงนั้น มู่เสี่ยวชิงที่เอาแต่เก็บตัวเงียบในเรือนหยกงามมากว่าครึ่งเดือนจึงได้ยอมออกไปเที่ยวเล่นด้านนอก เหตุผลที่นางเอาแต่อยู่ในเรือนเป็นเพราะนางกำลังจดบันทึกความทรงจำในชาติก่อนของตนโดยละเอียด และยังต้องคอยควบคุมบ่าวไพร่ให้เร่งกันจัดงานเลี้ยงในจวนให้เรียบร้อยด้วย
วันนี้นางจึงคิดจะออกมาเดินเล่นเพื่อยืดเส้นยืดสายที่ร้านอาภรณ์เสียหน่อย แต่ใครจะคิดว่าทันทีที่นางลงมาจากรถม้าก็ได้พบปะกับคนที่คุ้นเคยเสียแล้ว...
"คุณหนูท่านนี้ ไม่ทราบว่าท่านเป็นสตรีตระกูลใดหรือ เหตุใดข้าถึงไม่คุ้นหน้าของเจ้าเลยเล่า"
น้ำเสียงแว่วหวานที่ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของมู่เสี่ยวชิง ช่างบาดลึกในความทรงจำของนางเหลือเกิน ราวกับว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้
ไม่ต้องหันหลังกลับไปนางก็รู้ว่าผู้นี้คืออดีตสหายรักของนางนั่นเอง 'จางหลิงฟาง' บุตรีคนที่สามของท่านเสนาบดีกรมพิธีการ หญิงชู้ของสามีผู้ชั่วช้าของนางนั่นเอง!
"ขออภัย แล้วมิทราบว่าคุณหนูท่านนี้มีนามว่าอะไรหรือ" มู่เสี่ยวชิงหันมาเอ่ยถามบ้าง
จางหลิงฟางชะงักไปเล็กน้อย "ข้าแซ่จาง นามว่าหลิงฟาง"
"ข้ามู่เสี่ยวชิง"
"ที่แท้ก็คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ผู้โด่งดังนี่เอง มิทราบว่าคุณหนูใหญ่อยากจะลองไปดื่มชาสนทนากับข้าบ้างหรือไม่ เรื่องการเลือกอาภรณ์นี้ข้าสามารถช่วยเจ้าได้นะ"
จางหลิงฟางเสนอตัวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม นางได้รับการไหว้วานจากเฉิงอี้เทาให้มาตีสนิทกับอีกฝ่าย ด้วยหวังว่าจะทำให้แผนการของเขาคืบหน้าได้เร็วมากขึ้น
"ข้าไม่ขอรบกวนคุณหนูจางดีกว่า เนื่องจากวันนี้ข้ามาเลือกผ้าไปตัดชุดให้กับสาวใช้ หากให้คุณหนูจางช่วยเกรงว่าจะดูไม่ดีนัก"
มู่เสี่ยวชิงบอกปัดอย่างมีมารยาท ก่อนจะรีบเดินปลีกตัวจากไปทันที ด้วยตอนนี้นางยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับจางหลิงฟาง ความเจ็บปวดที่ถูกหักหลังยังคงชัดเจน ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง รอให้นางเตรียมตัวให้พร้อมกว่านี้ก่อน แล้วนางจะเดินเข้าหาอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
นางให้สัญญาด้วยหนี้เลือดในครั้งนั้นเลย!!
