บทที่ 4 เปิดใจกับสหายคนใหม่
บทที่ 4
เปิดใจกับสหายคนใหม่
"สหายเช่นนั้นทางที่ดีเลิกคบไปจะดีกว่า นางไม่ได้หวังดีกับเจ้าหรอกนะลี่จู" มู่เสี่ยวชิงเข้ามากระซิบใกล้ ๆ โดยที่ไม่ต้องการให้ผู้ใดได้ยิน "ลูกเพิ่งเจอลี่จู เช่นนั้นลูกขอพานางไปยังที่นั่งเลยนะเจ้าคะ" ประโยคหลังหันมาเอ่ยกับบิดาเสียงหวาน
"ได้สิ ๆ ดีเลย พวกเจ้าทั้งสองก็พูดจากันดี ๆ หน่อยเล่า"
มู่อู๋ซวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม หวังเจิ้งเทียนเองก็พยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่พวกเขาจะเดินไปแยกคุยกันอีกทางหนึ่ง ส่วนสตรีทั้งสองก็เดินไปคุยไปเช่นกัน
"ที่เจ้าพูดออกมาเมื่อครู่หมายความว่าอย่างไร"
หวังลี่จูจับแขนของมู่เสี่ยวชิงเอาไว้แน่น นี่คือสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของนาง นอกจากท่าทางที่ดูเปลี่ยนไปของมู่เสี่ยวชิงจะทำให้นางสงสัยแล้ว อีกฝ่ายยังพูดจาให้นางชวนสงสัยด้วย นางไปรู้อะไรมาเช่นนั้นหรือ
"เพราะข้าเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับสหายหน้าเนื้อใจเสืออย่างไรเล่า การแต่งกายของเจ้าเช่นนี้ช่างชวนให้ผู้อื่นขบขันมากกว่าจะชื่นชม เจ้าดูสิว่ามีคุณหนูตระกูลใดแต่งกายเช่นเจ้าบ้างหรือไม่"
หวังลี่จูชะงักไปกับคำพูดของมู่เสี่ยวชิง นางค่อย ๆ หันไปมองยังที่นั่งที่มีคุณหนูจากชนชั้นสูงนั่งอยู่อย่างพิจารณา เป็นจริงที่อีกฝ่ายพูด ในที่นี้ทุกคนล้วนแต่งกายด้วยอาภรณ์สีใดสีหนึ่งเท่านั้น แต่หากมีสีอื่นก็จะเป็นสีที่ใกล้เคียงกัน ไม่ใช่โดดเด่นดังเช่นนาง
"นี่ข้า... ถูกหลอกงั้นหรือ"
"ผิวกายเช่นเจ้าสมควรแต่งกายด้วยชุดสีชมพูอ่อน สีฟ้าสดใส หรือสีเหลืองมากกว่า"
"เช่นนั้นหรือ..."
หวังลี่จูตอบรับอย่างเหม่อลอย นางกำลังคิดถึงสหายที่แนะนำให้นางแต่งกายเช่นนี้เพื่อเพิ่มความโดดเด่นให้กับตนเอง เหตุใดถึงได้ร้ายกาจกับนางเช่นนี้กัน ทั้งที่นางนั้นจริงใจต่ออีกฝ่ายแท้ ๆ
"เจ้าไม่ต้องนึกหาเหตุผลจากสหายผู้นั้นหรอก แค่นี้ก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องการให้เจ้าเป็นตัวตลกของทุกคน คนเช่นนี้หลีกหนีให้ห่างเป็นดีที่สุด"
"เป็นข้าที่เชื่อคนง่ายไป ขอบใจเจ้ามาก" หวังลี่จูมองมู่เสี่ยวชิงในสายตาที่เปลี่ยนไป
ความจริงนางก็ไม่ถึงกับเกลียดชังมู่เสี่ยวชิงนักหรอก เพียงแต่รู้สึกไม่ชอบใจในความหัวอ่อนและความเรียบร้อยของอีกฝ่ายมากกว่า เกิดในตระกูลแม่ทัพควรจะห้าวหาญดุดัน และไม่ยอมให้ผู้ใดมารังแกมากกว่ามิใช่หรือ
แต่หลายปีที่ผ่านมานี้ดูเหมือนว่ามู่เสี่ยวชิงจะเปลี่ยนไปแล้ว ขนาดนางยังรู้สึกได้เลยว่ามู่เสี่ยวชิงนั้นดูเย็นชามากกว่าแต่ก่อนมากนัก! ความอ่อนหวานที่อีกฝ่ายเคยมีดูเหมือนจะหลงเหลือเพียงน้อยนิดเท่านั้น
"งานเลี้ยงใกล้จะเริ่มแล้ว เจ้าไปนั่งที่ก่อนเถิด"
"ขอบใจเจ้ามาก ข้ามองเจ้าผิดไปจริง ๆ เสี่ยวชิง"
หวังลี่จูเดินยิ้มไปนั่งยังที่นั่งของตน ในขณะที่มู่เสี่ยวชิงรู้สึกสะท้อนใจกับคำพูดของหวังลี่จู ในชาติก่อนเป็นนางที่ผลักไสความหวังดีของอีกฝ่าย ในตอนนั้นนางหลงเชื่อคำพูดหวานหูของจางหลิงฟาง มากกว่าคำพูดที่ตรงไปตรงมาของหวังลี่จู
งานเลี้ยงของจวนตระกูลมู่ได้รับเสียงชื่นชมจากแขกเหรื่อในงานอย่างล้นเหลือ มู่อู๋ซวนก็เอ่ยบอกกับทุกคนว่าเป็นฝีมือการจัดงานเลี้ยงของบุตรสาว ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เหล่าฮูหยินที่มีบุตรชายในวัยออกเรือนต่างเริ่มสนใจในตัวมู่เสี่ยวชิง อายุยังน้อยแต่สามารถจัดงานได้อย่างเหมาะสม ทั้งที่มารดาเสียไปตั้งแต่ยังเล็ก ดูท่าตระกูลมู่คงจะมีอาจารย์ดีคอยอบรมบุตรสาวเป็นแน่!
โรงน้ำชา
หลังจากพบกันในงานเลี้ยง มู่เสี่ยวชิงก็ได้เขียนจดหมายเชิญหวังลี่จูออกมาพูดคุยกันที่นอกจวน ด้วยในวันนี้จะเกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นซึ่งนางต้องการมีหวังลี่จูผู้เก่งวรยุทธ์มาอยู่ข้างกายด้วย ตัวนางแม้ไม่เก่งวรยุทธ์แต่เรื่องการใช้ยาสมุนไพรนั้น นางสามารถพูดได้เลยว่าเก่งกาจไม่แพ้หมอหลวงในวัง
"ขอโทษด้วยที่ให้เจ้าต้องรอนาน"
หวังลี่จูเข้ามาในห้องรับรองส่วนตัวแล้วทรุดนั่งบนเก้าอี้ทันทีด้วยความเหน็ดเหนื่อย ในตอนขามานี้นางมีเรื่องนิดหน่อยกับสหายผู้นั้น
"วันนี้เจ้าแต่งกายดีขึ้นมากเลยนะ"
มู่เสี่ยวชิงเอ่ยชมด้วยความจริงใจ ครั้งนี้หวังลี่จูสวมอาภรณ์สีเหลืองอ่อนที่ปักลายดอกไห่ถัง บนมวยผมก็ปั่นปิ่นระย้าที่ทำจากหยก นางจึงดูน่ารักสมวัย งดงามราวกับสตรีแรกแย้ม
"เพราะคำแนะนำของเจ้านั่นแหละ แต่ทำไมเจ้าถึงชอบสวมอาภรณ์สีแดงนักเล่า มันไม่ดูฉูดฉาดเกินไปหรือ เมื่อก่อนเจ้าชอบแต่งกายสีขาวกับสีกลีบบัวนี่น่า"
"ความชอบของข้าได้เปลี่ยนไปแล้วล่ะ" มู่เสี่ยวชิงยกน้ำชาขึ้นมาดื่ม นางเสเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น "วันนี้ข้าจะไปซื้อเครื่องเขียนให้กับน้องชาย เจ้าช่วยแนะนำร้านให้ข้าได้หรือไม่"
"ย่อมได้ หากอยากได้เครื่องเขียนชั้นเลิศก็ต้องเป็นร้านเฉิงไฉที่ถนนทางทิศเหนือ"
"งั้นทานขนมเสร็จเราค่อยไปกัน"
"อืม"
หวังลี่จูพยักหน้ารับ ทั้งสองทานขนมกุ้ยฮวาและดื่มชาด้วยความผ่อนคลาย ในระหว่างนี้ก็เอ่ยเล่าเรื่องราวของตนเองไปด้วย เพียงไม่นานทั้งสองก็เริ่มจะสนิทสนมกันเพิ่มมากขึ้น
หลังจากใช้เวลาในโรงน้ำชากว่าครึ่งชั่วยาม ทั้งสองก็เดินออกมาจากห้องรับรองเพื่อไปร้านเฉิงไฉ แต่ว่าในระหว่างทางนั้นมีสตรีกลุ่มหนึ่งเข้ามาขวางทางทั้งสองเอาไว้
"ทั้งสองโปรดหยุดก่อน ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับหวังลี่จู"
คุณหนูโจวที่มีใบหน้าน่ารักก้าวออกมาตรงหน้า นางมองหวังลี่จูด้วยความไม่พอใจ
"เจ้ามีอะไรจะพูดกับข้าเช่นนั้นหรือ" หวังลี่จูเข้ามาเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายอย่างไม่หวั่นเกรง
ที่แท้นี่ก็คือสหายที่ให้คำแนะนำในเรื่องการแต่งกายของนางนั้นเอง ก่อนมาที่นี่นางก็ได้ต่อว่าอีกฝ่ายและตัดความสัมพันธ์ไปแล้ว แต่ดูท่าฝ่ายนั้นจะไม่ยอมง่าย ๆ
"เราไปคุยกันในห้องส่วนตัวดีหรือไม่ ข้าอยากอธิบายเรื่องที่เจ้าเข้าใจข้าผิดไป"
ใบหน้าน่ารักพลันเสแสร้งขึ้นมาทันที สายตาก็ปรับเปลี่ยนเป็นอ่อนลงจนแม้แต่มู่เสี่ยวชิงยังขมวดคิ้วมุ่น ที่แท้การที่สตรีในเมืองหลวงปรับเปลี่ยนสีหน้าของตนนั้นช่างง่ายราวกับพลิกฝ่ามือนั่นเอง
"เจ้าจะพูดอะไรก็พูดมาเถิด ข้ามีธุระกับเสี่ยวชิง"
"ข้า... ข้าไม่ได้ตั้งใจให้เจ้าเป็นตัวตลกเลยนะ ข้าก็แค่ล้อเล่นกับเจ้าเท่านั้นเอง ผู้ใดจะคิดเล่าว่าเจ้าจะถือคำพูดของข้าเป็นจริงเป็นจัง" นางเอ่ยแก้ตัว โยนความผิดให้กับหวังลี่จูอย่างหน้าตาเฉย
"ที่แท้ภายในใจของเจ้าก็คิดกับข้าแบบนี้จริง ๆ สินะ ได้! เพราะข้าโง่เขลาไม่เท่าทันเจ้า เรื่องที่ข้าแต่งกายราวกับสตรีวิปลาสก็ให้ถือว่าเป็นค่าโง่ของข้าก็แล้วกัน ต่อไปเราสองก็อย่ามาได้พบปะกันอีกเลย แม้เจอหน้าก็อย่าได้เข้ามาทักทายกันอีก!"
"หวังลี่จู! เหตุใดเจ้าถึงไร้เหตุผลเช่นนี้กันเล่า เรื่องเพียงแค่นี้เองนะ"
"เรื่องเพียงแค่นี้ แต่ทำให้ข้ามองใจจริงของเจ้าออกเลยล่ะ "
หวังลี่จูสะบัดหน้ากลับไปอย่างไม่แยแส นางหันมาจูงมือมู่เสี่ยวชิงแล้วลากเดินออกไปจากตรงนี้ทันที หากใครกล้ามาขวางนางก็ผลักออกไปโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น และด้วยพละกำลังที่มากกว่าสตรีทั่วไป ทำให้อดีตสหายของนางถึงกับกระเด็นออกไปไกล ร่างบอบบางที่อยู่แต่ในห้องหอเจ็บหนักเพียงแค่ฝ่ามือเดียวของหวังลี่จู
"เจ้า! จะ เจ้าทำร้ายข้า ข้าจะฟ้องท่านพ่อ"
"เอาสิ ถ้าเจ้าอยากให้ตระกูลของเจ้ามีปัญหากับตระกูลหวังของข้า ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะลงไปเล่นกับตระกูลเล็ก ๆ ของเจ้าหรอกนะ"
"รังแกกันเกินไปแล้ว เจ้ามันสตรีหยาบช้า!"
"เจ้าน่ะสิสตรีเสแสร้ง!"
เพียะ!!
หวังลี่จูสะบัดฝ่ามือเข้าไปตบใบหน้าของอดีตสหายเพื่อเป็นการสั่งการ ทุกคนได้แต่อ้าปากค้างตะลึงกับภาพตรงหน้า ไม่มีใครกล้าเข้ามาขวางนางอีกเลย ผู้ใดก็รู้ว่าตระกูลหวังนั้นใกล้ชิดสนิทสนมกับเชื้อพระวงศ์ มีเรื่องด้วยคุ้มแล้วหรือ...
