ตอนที่ 3 ฝันร้าย
หลิวเยว่ลืมตามองเพดานในความมืด นางรู้ดีว่าอนาคตคงไม่ราบเรียบนักแต่ยังไม่คาดคิดว่าตัวเองจะถูกขายให้เป็นอนุผู้อื่น นางไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนจะหลับตาลงแล้วก็แสร้างร้องเสียงสะอื้น
“ท่านพ่อ… ท่านพ่อ… ทำไมท่านถึงทิ้งข้าไป…”
เสียงสะอึกสะอื้นนั้นปลุกชุนเสวี่ยให้สะดุ้งตื่น นางลุกขึ้นอย่างตื่นตระหนก “เยว่เอ๋อร์.. เจ้าฝันร้ายหรือ…”
หลินเยว่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น แสร้งให้ดวงตาฉ่ำน้ำตา ก่อนจะเอ่ยเสียงสั่นเครือ “ท่านแม่… ข้าฝันเห็นท่านพ่อ… ท่านมาในฝัน บอกว่าเป็นห่วงพวกเรา กลัวว่าพวกเราจะลำบาก… ท่านเลยมอบของบางอย่างให้”
ชุนเสวี่ยขมวดคิ้วอย่างสงสัย แต่หลินเยว่ไม่รอช้า เธอหลับตาครู่หนึ่งแล้วเอื้อมมือไปคว้ากล่องเล็ก ๆ จากอากาศบะหมี่พรีเมี่ยมรสทะเล ปรากฏขึ้นในมือของเธอราวกับปาฏิหาริย์
หลินอวี่ที่พึ่งตื่นขึ้นมาเบิกตากว้าง ตะลึงพรึงเพริด
“พี่สาว… มันคืออะไรน่ะ…”
หลินเยว่แสร้งทำเป็นแปลกใจพอกัน ก่อนบอกด้วยเสียงแผ่ว ๆ
“ท่านพ่อบอกว่า… ขอเพียงใส่น้ำ ก็จะกลายเป็นอาหารที่ทำให้เราอิ่มท้อง…” จากนั้นนางก็ลุกขึ้นเทน้ำใส่
ไม่นานไอร้อนหอมกรุ่นลอยขึ้นมา กลิ่นทะเลสดใหม่ปะทะจมูก สองแม่ลูกมองกล่องบะหมี่ด้วยดวงตาเบิกกว้าง ชุนเสวี่ยมองกล่องบะหมี่ร้อนในมือบุตรสาว น้ำตาซึมจากความตื้นตันปนตกใจ มือเธอสั่นขณะที่ยื่นมาสัมผัสกล่องประหลาดนั้น
“ของวิเศษ… หรือว่า… ท่านพ่อของเจ้าจริง ๆ มอบสิ่งนี้มา…”
หลินอวี่ตักบะหมี่เข้าปากอย่างกระตือรือร้น เคี้ยวด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ บนใบหน้าซีดเซียว
“ข้ารู้… ท่านพ่อไม่มีทางทอดทิ้งพวกเรา…”
หลังจากที่ทั้งสองแม่ลูกกินบะหมี่จนรู้สึกอิ่มท้อง ความอบอุ่นเล็ก ๆ ในอกทำให้พวกเขาผ่อนคลายได้ชั่วครู่ หลินเยว่จ้องมองมารดาและน้องชายด้วยแววตาจริงจัง
“อย่างไร… เรื่องนี้คงให้คนอื่นรู้ไม่ได้…”
น้ำเสียงของเธอเรียบเย็นแต่หนักแน่น หลินอวี่พยักหน้ารับ ริมฝีปากเม้มแน่น เขารู้ดีว่าของวิเศษเช่นนี้ ถ้าแพร่งพรายออกไป อาจนำภัยใหญ่หลวงมาสู่ครอบครัว
หลินเยว่มองดูความกังวลในดวงตาน้องชาย ก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง ๆ “ท่านพ่อบอกว่า…จะไปหาของวิเศษมาให้พวกเราอีก…แต่อาจต้องใช้เวลา…”
ชุนเสวี่ยที่ฟังเงียบ ๆ อยู่นานเอ่ยขึ้นเสียงอ่อนๆ
“แล้วเหตุใด… ท่านพ่อของเจ้าถึงไม่มาหาแม่บ้าง…”
คำถามนั้นทำให้หลินเยว่ชะงักไปชั่วครู่ นางคิดอย่างรวดเร็ว ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“วิญญาณ…อาจจะติดต่อกับคนอย่างเราทุกคนไม่ได้ง่ายดายนัก บางที…อาจมีเงื่อนไขบางอย่างที่พวกเราไม่รู้”
คำตอบนั้นเรียบง่ายแต่ชวนให้เชื่อถือ ชุนเสวี่ยพยักหน้าช้า ๆ ดวงตาแดงก่ำแต่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในคำพูดของบุตรสาว
“แม่เข้าใจแล้ว…”
นางพึมพำเบา ๆ ราวกับกำลังพูดปลอบตัวเองไปด้วย
ชุนเสวี่ยก็เอื้อมมือไปลูบศีรษะของหลินอวี่เบา ๆ แล้วหันไปมองบุตรสาวคนโตด้วยแววตาอ่อนโยน
“ดึกแล้วพวกเรา..พักผ่อนกันก่อนเถอะ”
น้ำเสียงนั้นแผ่วนุ่มแต่เต็มไปด้วยความรัก หลินเยว่กับหลินอวี่สบตากันแล้วค่อย ๆ พยักหน้ารับคำสั่งของมารดา แม้จะยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนแต่ก็มีความอบอุ่นเล็ก ๆ แทรกอยู่ในค่ำคืนหนาวเหน็บนี้
ร้านอาหารหลงฮวา
เสียงหัวเราะเฮฮาดังคลอไปรอบห้องโถงของ ร้านหลงฮวา ขณะที่ บุตรชายนายอำเภอโจว และกลุ่มเพื่อนจากสำนักศึกษาเข้าใช้บริการในมื้อเย็น ห้องชั้นบนสุดของร้านถูกเปิดต้อนรับขุนนางหนุ่มเหล่านั้นด้วยชุดอาหารพิเศษ หรูหราตามที่เจ้าตัวสั่งไว้
“น้ำซุปเป็ดตุ๋นของร้านนี้ รสชาติดีจริง ๆ” หนึ่งในข้ารับใช้ออกปากชม ขณะยกช้อนขึ้นซดอีกคำ
ลู่ซ่าง เจ้าของร้านหลงฮวา ยืนส่งยิ้มอยู่ด้านข้าง เขาไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าคืนนี้ จะเปลี่ยนชีวิตทั้งตระกูลไปตลอดกาล
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “เดี๋ยวก่อน... นี่มันตัวอะไร?”
ทุกสายตาหันไปที่จานผัดเห็ดหอม เมื่อ บุตรชายนายอำเภอใช้ตะเกียบเขี่ยสิ่งแปลกปลอมขึ้นจากจานอาหาร หนอนสีขาวซีดดิ้นอยู่เพียงครู่ก่อนจะนิ่งไป ท่ามกลางแสงตะเกียงและความเงียบงันชั่วขณะ
เสียงโวยวายเกิดขึ้นทันที
“นี่เจ้าจะให้ข้ากินของสกปรกแบบนี้หรือ”
ไม่นาน เพื่อนคนหนึ่งของเขาก็ทรุดลงกับพื้น มือกุมท้อง น้ำเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด “ข้า... ท้อง... ไม่ไหวแล้ว...”
ข้ารับใช้ของนายอำเภอรีบพาตัวผู้ป่วยออกไป ในขณะที่ทหารเวรเข้าตรวจสอบทันที บรรยากาศในร้านเต็มไปด้วยความโกลาหล
ลู่ซ่างถูกควบคุมตัวไปสอบสวน โดยไม่ทันได้หาคำแก้ตัว
น้ำเสียงของเขาสั่นเครือเมื่อเห็นกลุ่มทหารเข้าค้นครัวหลังร้านและพบ เศษเนื้อไม่ทราบที่มาและของสดที่เน่าเสีย ปะปนอยู่กับของปรุงอาหาร
“นี่ไม่ใช่เนื้อของที่ร้าน!” เสียงของลู่ซ่างดังลอดความโกลาหลในห้องครัว เขาเอ่ยด้วยใบหน้าขาวซีดน้ำเสียงสั่นระคนตกใจ
“ใต้เท้าโปรดสอบสวน ข้าทำอาหารโดยเคร่งครัดที่สุดในเรื่องความสะอาด ขอให้สอบสวนให้ละเอียด!”
แต่ไม่มีใครฟังคำแก้ต่างของเขา... ทหารเวรและเจ้าหน้าที่ตรวจพิษเดินเข้าออกอย่างเร่งรีบ ค้นกล่องไม้ ถังเก็บเนื้อ และเครื่องปรุงสารพัด
หนึ่งในเจ้าหน้าที่หยิบถังเก็บเนื้อขึ้น ก่อนจะส่งเสียงเย็นชา
“ในถังนี้... มีเศษเนื้อสัตว์ที่เน่าเสียปะปนอยู่ และมีร่องรอยยาเบื่อบางชนิด มีคนท้องเสียหลังจากรับประทานอาหารเมื่อครู่ คาดว่าได้รับสารพิษจากสิ่งนี่”
ลู่ซ่างแทบทรุด หัวใจเขาเต้นแรงราวกับจะระเบิดออกจากอก ขาของเขาก้าวไม่ออก ขณะที่ถูกทหารสองนายเข้าคว้าต้นแขน
“จับกุมตัวไว้ก่อน นำตัวไปสอบสวนที่ศาลาว่าการ”
ลู่เผย พุ่งตรงจากข้างนอก ใบหน้าของเขาร้อนรนอยู่บ้าง
“ท่านพ่อ...เกิดอะไรขึ้น”
สิ่งที่เห็นคือบิดาของเขาถูกจับลากออกไปจากร้านโดยไม่มีแม้แต่คำอธิบาย ท่ามกลางสายตาผู้คนที่มุงดูเต็มสองข้างทาง เสียงกระซิบกระซาบ
“ได้ยินว่ามีหนอนในจาน...”
“ว่าแต่... เขาแอบใส่อะไรลงไปกันแน่?”
ลู่เผยชะงักไปเพียงครู่ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเข้าไปเบื้องหน้าเจ้าหน้าที่ เขาค้อมศีรษะลงเล็กน้อยพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่หนักแน่น
“ใต้เท้า โปรดเมตตา สกุลลู่ของข้าประกอบกิจการโดยสุจริตมาโดยตลอด ขอท่านได้โปรดพิจารณาอย่างเป็นธรรม”
จากนั้นชายหนุ่มก็แนบถุงผ้าเล็ก ๆ ไว้ในแขนเสื้อของเจ้าหน้าที่ทั้งสองคน การกระทำราบเรียบแนบเนียนน้ำหนักของมันพอเพียงให้สีหน้าขึงตึงของเจ้าหน้าที่เปลี่ยนเป็นผ่อนคลาย
“เรื่องนี้ต้องให้นายอำเภอไต่สวนเสียก่อน...จำเป็นต้องควบคุมคน” เจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งกล่าวขึ้น
ลู่เผยพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปมองบิดา “ท่านพ่อไม่ต้องกังวล ข้าจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเอง”
ลู่ซ่างมองบุตรชายด้วยสายตาเต็มไปด้วยความแปลกใจ ไม่คาดคิดว่าบุตรที่สุภาพดูอ่อนโยนจะเผชิญเหตุเช่นนี้ได้อย่างนิ่งสงบ
เขาพยักหน้ารับเบา ๆ แล้วเอ่ย “ฝากเจ้าด้วย”
เจ้าหน้าที่ไม่กล่าวสิ่งใดอีก เพียงพาตัวลู่ซ่างออกไปตามขั้นตอนของทางการ ลู่เผยยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นมองบิดาจนลับตาก่อนจะหันหลังกลับไปสั่งการคนในร้านทีละส่วน
