ตอนที่ 2 ข่าวร้าย
เสียงประตูไม้เก่าดังขึ้น หลินเยว่หันขวับไปตามเสียงโดยสัญชาตญาณและสบตากับน้องชายของเธอ หลินอวี่เด็กหนุ่มร่างเล็ก หน้าตาซีดเซียวแต่แฝงรอยยิ้มอ่อนโยนที่เธอคุ้นเคยมาตั้งแต่จำความได้
“พี่สาว… วันนี้อาการเป็นอย่างไรบ้าง?”
เสียงของเขาแผ่วเบาแต่เปี่ยมด้วยความห่วงใย หลินเยว่ลอบถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ดีขึ้นมากแล้ว… แล้ว… ท่านแม่เล่า?”
หลินอวี่ยกยิ้มบาง ๆ ดวงตาสีดำหม่นยังคงฉายแววอบอุ่น “ท่านแม่ไปซักผ้าก่อน…ท่านคงหิวแล้วมาสิ ข้า… ได้หมั่นโถวมาด้วยนะ”
เด็กหนุ่มพูดจบก็ยื่นหมั่นโถวลูกกลมสีขาวนวลออกมาให้พี่สาว มือของเขาสั่นน้อย ๆ จากความอ่อนแรง แต่น้ำใจกลับมั่นคง
หลินเยว่เห็นหมั่นโถวแล้วก็รู้ทันที นี่คงเป็นของที่น้องชายได้รับตอนออกไปช่วยทำนากับคนอื่นๆ
หญิงสาวยิ้มจาง ๆ ส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนตอบเสียงอ่อน
“ท้องข้ายังปั่นป่วนอยู่มาก… เจ้ากินเถอะ”
ดวงตาของน้องชายสะท้อนความเป็นห่วงลึกซึ้ง แต่ก็พยักหน้าเบา ๆ ยอมรับคำของเธอ หลินเยว่มองภาพนั้นด้วยความรู้สึกอบอุ่นเจือเศร้า…
เด็กหนุ่มร่างเล็กที่สวมเสื้อผ้าเก่าและบางจนเห็นได้ชัดว่าต้องทนกับความหนาวเย็นอย่างยากลำบาก ฤดูหนาวปีนี้… คงจะโหดร้ายสำหรับพวกเขาแน่นอน
ในหัวหลินเยว่ผุดขึ้นมาทันทีถึงของจำเป็นสี่อย่าง ที่เธอสามารถเรียกออกมาจากมิติได้อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค สิ่งเหล่านี้คือความหวังเดียวที่จะปกป้องครอบครัวเล็ก ๆ ของเธอในโลกที่โหดร้ายนี้
นางมองหลินอวี่ค่อย ๆ กัดหมั่นโถวทีละคำด้วยความเงียบนัยน์ตาสะท้อนความหิวโหยแต่ก็พยายามไม่แสดงออกมา
หลินเยว่เม้มริมฝีปากแน่น รู้สึกอยากจะหยิบบะหมี่ร้อน ๆ จากมิติออกมาให้น้องชายได้อิ่มบ้าง
แต่… เธอไม่อาจทำเช่นนั้นได้
“มันไม่มีเหตุผลพอ… ไม่มีคำอธิบายที่จะทำให้ทุกอย่างดูไม่แปลกประหลาด…”
หลินเยว่ได้แต่ลอบถอนหายใจเงียบ ๆ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความกังวลและตระหนัก นี่คือโลกใหม่ที่เธอจะต้องเรียนรู้จะอยู่กับมัน…
เสียงโวยวายเอะอะจากข้างนอกดังขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้ทั้งหลินเยว่และหลินอวี่ต่างชะงักงัน หลินอวี่เขาหันมามองพี่สาวพลางกล่าวเสียงเบา
“ข้าจะออกไปดู…”
ลางสังหรณ์บางอย่างบีบหัวใจหลินเย่ว นางลุกขึ้นตามน้องชายโดยไม่รั้งรอ ทั้งสองเดินออกไปนอกบ้านด้วยความกังวล
เพียงก้าวพ้นประตู หลินเยว่ก็เห็นภาพที่ทำให้หัวใจหล่นวูบ
ท่านย่า ยืนอยู่ด้วยใบหน้าตื่นตระหนก ข้าง ๆ กันคือมารดาของเธอที่ทรุดนั่งบนพื้น มือสั่นเทาจนเห็นได้ชัด
หลินเยว่รีบก้าวเข้าไปประคองร่างมารดาขึ้นมา น้ำเสียงแผ่วสั่นสะท้อนความห่วงใย
“ท่านแม่… เกิดอะไรขึ้น…”
มารดาของเธอเงยหน้าขึ้นมา
ดวงตาแดงก่ำเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา ก่อนจะโผเข้ากอดหลินเยว่แน่น ตัวสั่นเทาด้วยความเศร้าจนหญิงสาวสัมผัสได้
ขณะเดียวกัน เสียงของลุงใหญ่หลินจ้าวซานดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเงียบงัน “เมื่อสักครู่… มีคนจากทางการมาแจ้งข่าว… หลินอันเสียชีวิตในสนามรบแล้ว…”
ถ้อยคำนั้นเหมือนฟ้าผ่าลงมากลางใจ หลินเยว่รู้สึกตัวชาไปทั้งร่าง ดวงตากะพริบช้าเหมือนกำลังพยายามเข้าใจ ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น
หลินอวี่เงียบไปเขาเพียงยื่นมือมากุมมือพี่สาวแน่น ไม่เอ่ยวาจาใด ๆ
สายตาของหลินเยว่เหลือบไปเห็นในมือเหี่ยวย่นของท่านย่า ถุงเงินก้อนหนึ่ง นางรู้ทันทีว่านั่นคงเป็น เงินชดเชยที่ทางการมอบให้ครอบครัวทหารผู้ล่วงลับสิ่งเดียวที่หลงเหลือจากชีวิตของบิดา…
ป้าสะใภ้ใหญ่ซือซิน เดินเข้ามาด้วยสีหน้าฉายแววเห็นใจแม้ดวงตาจะไม่สะท้อนความเศร้าเท่าใดนัก
“น้องสะใภ้… ทำใจเถิด เจ้าต้องเข้มแข็งเพื่อลูกชายและลูกสาวที่ยังอยู่กับเจ้านะ”
ถ้อยคำนั้นแฝงความห่างเหินและเสแสร้ง หลินเยว่รับรู้ถึงรอยร้าวในน้ำเสียงนั้นทันที นางปรายตามองป้าสะใภ้ใหญ่ด้วยแววตาเย็นชา ก่อนหันไปประคองมารดา
“ท่านแม่… ไปพักข้างในกันเถอะเจ้าค่ะ”
ชุนเสวี่ยพยักหน้าอย่างเชื่องช้า น้ำตายังคงเปียกแก้ม นางลุกขึ้นให้หลินเยว่ประคองก้าวออกไปจากวงล้อมของคนในตระกูล
ซือซินลอบเหยียดมุมปากบางเบา แต่แล้วก็กลับมายิ้มจาง ๆ พลางหันไปพูดกับย่า
“ท่านแม่… โปรดระงับความโศกเศร้าเถิดเจ้าค่ะ จะไม่ดีต่อสุขภาพ”
บรรยากาศในลานบ้านแผ่คลื่นเย็นยะเยือกชั่วขณะ ก่อนที่ทุกคนจะค่อย ๆ แยกย้ายกลับไปทำหน้าที่ของตน ราวกับข่าวร้ายเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น
ในเรือนหลัก
ซือซินจ้องมองสามีด้วยแววตาคาดคั้นเสียงของนางแผ่วแต่แฝงความคมกริบ “ในเมื่อน้องสามเสียชีวิตไปแล้ว เช่นนั้นต่อไปนี้เราจะไม่ได้เบี้ยหวัดอีก อย่างนี้…มิใช่ว่า..พวกเราต้องเลี้ยงดูสตรีกับเด็กสองคนนั้นตลอดไปอย่างนั้นหรือ”
หลินจ้าวซาน ขมวดคิ้วริมฝีปากเม้มแน่นกล่าวด้วยความลังเล
“นี่เจ้าจะให้ข้าขับไล่พวกนางออกไป...จะทำอย่างนั้นได้อย่างไร”
ซือซินแสร้งถอนหายใจมือเรียวลูบชายเสื้อช้า ๆ ราวกับไม่อยากจะพูด “ข้าพูดก็เพื่อครอบครัวของเราเอง…เหออวี่ก็กำลังจะสอบซิ่วไฉ ต้องใช้เงินจำนวนมาก พวกเราจะมีเงินพอเลี้ยงดูผู้อื่นไปพร้อมกันได้หรือ…”
นางเว้นวรรคลมหายใจแผ่วลงเพียงครู่ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราวกับกระซิบ “แต่ว่า… เยว่เอ๋อร์ รูปร่างหน้าตาไม่เลวเลยนะ ข้าเห็น… ท่านนายอำเภอชอบเด็กสาววัยนี้อยู่ไม่น้อย หากขายนางไป… คงได้เงินมาช่วยครอบครัวของเราพอให้ผ่านไปได้”
หลิวจ้าวซานสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
“น้องสะใภ้สาม… ไม่มีทางยินยอม”
ซือซินหรี่ตามองสามี
“ท่านเป็นประมุขของตระกูล…นางไม่ยอม…ก็ต้องยอม”
