บท
ตั้งค่า

บทที่ 8 ตัวร้ายกลับมาแล้ว!

"ท่านแม่หลี่ฟานขอรับ"

หลิวหลี่ฟานน้ำตาคลอมองบุตรชายบุญธรรมที่เติบใหญ่มาเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามด้วยความดีใจ มือบางแตะลงไปบนแก้มสากกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

"หานเอ๋อร์จริงๆหรือลูก"

"ข้าเองขอรับท่านแม่" ร่างสูงคุกเข่าลงทำท่าจะคำนับบุพการี แต่แล้วหลิวหลี่ฟานรีบร้องห้ามพลางพยุงร่างสูงให้ลุกขึ้นยืน นางโผเข้ากอดบุตรชาย ต่อให้จะไม่ได้เลี้ยงดูเขามากนักในวัยเยาว์ แต่นางก็รักเขาดั่งบุตรในอุทรของนางจริงๆ

หลังจากทักทายกันจนพอใจแล้ว ดวงตาคู่สวยก็หันไปมองบุรุษร่างสูงอีกคนหนึ่งที่ติดตามมาด้วยกันด้วยความแปลกใจ

"ชายผู้นี้มีนามว่าหวงซวนเป็นสหายและผู้ติดตามของข้าเองขอรับท่านแม่"

หวงซวนก้าวเข้ามาพร้อมคารวะฮูหยินของสกุลฉินด้วยความนอบน้อม หลิวหลี่ฟานจึงขานรับดังอ้อไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร เมื่อบุตรชายบอกว่าหวงซวนเองก็เป็นเด็กกำพร้าไม่มีครอบครัวจึงขอติดตามมารับใช้ที่นี่ด้วย

"ดีแล้ว มาอยู่ด้วยกันที่นี่เถิด ขอแค่เจ้าดูแลหานเอ๋อร์ให้ดี ข้าก็กับคนสกุลฉินก็พร้อมต้อนรับเจ้า"

"บ่าวสาบานว่าจะดูแลปกป้องคุณชายจื่อหานไปตราบชั่วชีวิตจะหาไม่ขอรับ" หวงซวนรับคำอย่างหนักแน่น ทั้งฉินหมิงเจ๋อและหลิวหลี่ฟานต่างพยักหน้ารับด้วยความพอใจ

"มาเหนื่อยๆกลับเข้าไปพักผ่อนก่อนเถิด แล้วค่อยออกมาทานข้าวด้วยกัน วันนี้ท่านแม่ถึงกับลงครัวทำอาหารไว้ต้อนรับลูกด้วยตัวเองเลยนะ" ฉินหมิงเจ๋อกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

"ข้าคิดถึงอาหารฝีมือของท่านแม่ยิ่งนักขอรับ" โจวจื่อหานส่งยิ้มให้นางบางๆ ไม่ได้พูดเกินจริงไปเลยแม้แต่น้อย เพราะในยามที่เขายังอยู่ที่จวนสกุลฉิน นางมักจะลงครัวทำอาหารให้เขากินอยู่บ่อยครั้ง

ทว่าในขณะที่ทุกคนกำลังก้าวขึ้นบันไดเพื่อเดินเข้าไปภายในจวน โจวจื่อหานก็ผินหน้าหันไปมองยังหลังประตูไม้บานใหญ่ เขาเห็นร่างบางของใครบางคนรีบหลบเข้าไปที่หลังประตูไม้ ชายหนุ่มกระตุกยิ้มร้ายที่มุมปาก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนผู้นั้นคือฉินเพ่ยเหยานั่นเอง

ในขณะที่คนที่หลบอยู่หลังประตูต้องรีบยกมือขึ้นกอบกุมหน้าอกซ้ายของตนเอาไว้ เมื่อรับรู้ได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจที่มากเกินควรราวจะหลุดออกมานอกอก เขารู้ได้อย่างไรว่านางแอบมองเขาอยู่ตรงนี้ สายตาของเขาพร้อมด้วยรอยยิ้มที่เขาส่งมาให้นางเมื่อครู่นี้ยังคงเหมือนเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วไม่เคยเปลี่ยน มันน่าหวาดกลัวจนนางรู้สึกเสียวสันหลังวาบอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว

ฉินเพ่ยเหยาโดนท่านพ่อกับท่านแม่บังคับจึงจำใจต้องมานั่งร่วมโต๊ะกับโจวจื่อหาน ร่างบางเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูพลางสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเองเฮือกใหญ่ ก่อนจะชะโงกหน้าไปมองจากหลังประตูพบว่าตอนนี้ทุกคนนั่งอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว แต่ยังไม่มีผู้ใดแตะต้องอาหารคล้ายกับว่ากำลังรอนางอยู่

"เข้าไปเถิดเจ้าค่ะคุณหนู หาไม่ท่านแม่ทัพกับฮูหยินจะเป็นกังวลได้นะเจ้าคะ" หลี่ซินเห็นเจ้านายยืนละล้าละลังอยู่นานจึงเอ่ยกระตุ้น ฉินเพ่ยเหยาขานรับดังอืม จากนั้นจึงยอมเดินเข้าไปในห้องอาหารแต่โดยดี

ทุกสายตาล้วนจับจ้องมองมายังนางไม่เว้นแม้แต่คนตัวโต ฉินเพ่ยเหยาเดินไปหย่อนกายนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆของมารดาซึ่งอยู่ตรงข้ามกับโจวจื่อหาน

"ในที่สุดเราก็ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันเสียทีนะ" ฉินหมิงเจ๋อสังเกตท่าทางของบุตรสาวพบว่านางไม่มีทีท่าจะอาละวาดใส่โจวจื่อหานแต่อย่างใด อีกทั้งยังดูเรียบร้อยเสียยิ่งกว่าตอนอยู่กับเขาและหลิวหลี่ฟานเสียอีก

"แม่ดีใจยิ่งนักที่ได้อยู่ด้วยกันเช่นนี้" หลิวหลี่ฟานเอ่ยบ้าง มือสองข้างกอบกุมมือบุตรชายบุญธรรมและบุตรสาวไว้คนละข้าง

"เอาล่ะ เช่นนั้นกินข้าวกันเถิด หานเอ๋อร์เดินทางมาไกลคงจะหิวมิใช่น้อย" ประมุขของจวนสกุลฉินกล่าว ทุกคนจึงผงกศีรษะรับอย่างเห็นด้วย

หลิวหลี่ฟานคีบเนื้อชิ้นใหญ่ให้สามี ก่อนจะยื่นส่งให้โจวจื่อหานและฉินเพ่ยเหยาตามลำดับ ทางด้านฉินเพ่ยเหยา นางรู้สึกว่าอาหารมื้อนี้ฝืดคอยิ่งนัก เพราะมีดวงตาคมกริบของใครบางคนจดจ้องนางอย่างไม่วางตา

"เหยาเหยาอาหารไม่อร่อยหรือลูก" หลิวหลี่ฟานถามบุตรสาวด้วยความแปลกใจ ปกตินางเป็นคนที่เจริญอาหารยิ่งนัก แต่เหตุใดวันนี้ถึงได้กินน้อยกว่าปกติ

"เปล่าเจ้าค่ะท่านแม่"

โจวจื่อหานเห็นคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ทันทีที่นางหันมาสบตากับเขา นางก็รีบก้มหน้างุดลงไปทันที มุมปากหยักกระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหันไปคีบอาหารวางใส่ชามกระเบื้องของนาง

"น้องสาวกินนี่เสียหน่อยเถิด"

ฉินเพ่ยเหยารู้สึกตกใจไม่น้อยที่จู่ๆเขาก็แสดงท่าทีห่วงใยนาง ปากบางแย้มขึ้นหมายจะกล่าวคำขอบคุณ แต่เมื่อเห็นของที่เขาวางใส่ชามของนางกลับต้องขมวดคิ้วมุ่นแทน

'นี่มันมีแต่กระดูกนะ ข้าจะกินได้อย่างไรกัน' หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาตาเขียวปั๊ด เรื่องอื่นนางยอมได้ แต่เรื่องอาหารนางยอมให้เขาไม่ได้จริงๆ

"พี่ใหญ่เองก็ทานด้วยกันนะเจ้าคะ" ครานี้มือบางหันไปคีบกระดูกชิ้นใหญ่ไปวางลงในชามกระเบื้องของเขาบ้าง ทั้งฉินหมิงเจ๋อและหลิวหลี่ฟานต่างหันมาสบตากันด้วยความตกใจ รู้สึกว่าสงครามขนาดย่อมกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว

"เหยาเหยาเนื้อชิ้นนั้นมีแต่กระดูก พี่ใหญ่ของเจ้าจะกินได้อย่างไรกัน"

"กินได้สิเจ้าคะท่านพ่อ เพราะพี่ใหญ่เป็นสุ..." สุนัข... เพราะความปากไวหมายจะกล่าววาจาให้คนตรงหน้าเจ็บใจเล่น แต่เพิ่งมานึกได้ว่านางไม่ควรเอาชีวิตไปสุ่มเสี่ยงกับตัวร้ายผู้โหดเหี้ยมอย่างโจวจื่อหาน ปากเล็กที่กำลังพูดด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วจึงต้องรีบหุบลงไปในทันที

"จริงด้วยเจ้าค่ะ เป็นข้าเองที่ไม่รู้ความ เพราะหวังดีเห็นว่าพี่ใหญ่คงจะหิวข้าวจึงรีบคีบเนื้อชิ้นใหญ่ไปให้ โดยที่ไม่ทันได้สังเกตดีๆว่ามันเป็นกระดูก" ฉินเพ่ยเหยาแสร้งทำหน้าเศร้า รีบคีบกระดูกชิ้นใหญ่กลับคืนมาวางไว้ในถ้วยตนเอง ก่อนจะหันไปคีบเนื้อติดมันชิ้นใหม่ส่งให้เขาแทน

"พี่ใหญ่ไม่ถือโทษโกรธเหยาเหยาหรอก มีแต่จะขอบคุณที่เหยาเหยาใส่ใจ" โจวจื่อหานส่งยิ้มไปให้นาง พลางคีบเนื้อติดมันที่นางยื่นให้เข้าปากของตน

ทั้งฉินหมิงเจ๋อและหลิวหลี่ฟานต่างพากันลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ดูเหมือนว่าฉินเพ่ยเหยาจะสำนึกได้แล้ว ต่อไปนี้ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ต้องดำเนินไปในทางที่ดีอย่างแน่นอน

"หานเอ๋อร์ไหนๆก็ไหนๆแล้ว แม่ให้คนไปขนของๆเจ้ากลับมาอยู่ที่จวนใหญ่ดีหรือไม่"

โจวจื่อหานหันมาหาคนเป็นแม่พลางส่งยิ้มให้นางบางๆ

"ข้าขออยู่ที่เรือนเล็กดีกว่าขอรับ น้องสาวคงจะไม่สะดวกใจให้ข้ากลับมาอยู่ที่จวนใหญ่เท่าใดนัก" วาจาของเขาทำให้หลิวหลี่ฟานหันไปสบตากับฉินเพ่ยเหยาทันที ทางด้านคนตัวเล็กถึงกับสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย จู่ๆก็โดนพาดพิงเสียได้ เขาจะเปิดศึกกับนางให้ได้เลยหรืออย่างไรกัน!

"ข้าไม่..." หญิงสาวกำลังจะตอบ แต่โจวจื่อหานกลับเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน

"ข้าหมายความว่าน้องสาวโตแล้ว อีกทั้งข้าเองก็ห่างหายไปนานเป็นสิบปี และที่สำคัญข้าเองก็เป็นเพียงบุตรบุญธรรมของท่านพ่อกับท่านแม่ไม่ได้มีสายเลือดใดเกี่ยวข้องกับน้องสาว ข้าเกรงว่าผู้คนจะครหาเอาได้ขอรับ"

ฉินหมิงเจ๋อได้ฟังคำอธิบายของเขาก็พบว่ามีเหตุผลอยู่หลายส่วนจึงพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ฉินเพ่ยเหยาได้ฟังเช่นนั้นจึงลอบยิ้มออกมาเล็กน้อย ให้เขาอยู่ที่เรือนเล็กต่อไปน่ะดีแล้ว หากอยู่ที่จวนใหญ่ก็ต้องพบหน้ากันทุกวัน นางไม่เอาด้วยหรอก!

ทว่าฉินเพ่ยเหยานั้นลืมไปหนึ่งอย่างว่าหน้าต่างหอนอนของนางสามารถมองเห็นประตูทางเข้าออกของเรือนเล็กได้ ค่ำวันนี้หลังจากครอบครัวร่วมทานอาหารกันเรียบร้อยแล้วก็ต่างพากันแยกย้ายเข้าหอนอน ฉินเพ่ยเหยาจึงมานั่งเอนกายรับลมอยู่ที่ตั่งนอนที่อยู่ติดกับหน้าต่างบานใหญ่ สายลมพัดเอื่อยหอบกลิ่นดอกกุ้ยฮวาลอยมาตามลม วันนี้อากาศเย็นสบายไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป หนำซ้ำฟ้ายังเปิดทำให้ได้เห็นดวงจันทร์กลมโตที่ส่องแสงสีเหลืองนวลลอยอยู่บนท้องนภา

ขณะที่กำลังส่งสายตามองหิ่งห้อยตัวหนึ่งที่กำลังบินไปเกาะดอกหลันฮวาที่ห้อยอยู่ริมหน้าต่างพลันหางตาก็เห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวผ่านไป

"อะไรแว้บๆ" ฉินเพ่ยเหยารีบหันไปเกาะขอบหน้าต่าง นางเห็นบุรุษในชุดสีดำยืนอยู่หน้าประตูของเรือนเล็ก และกำลังคุยกับเจ้าของเรือนอยู่

ทันทีที่ชายผู้นั้นปลดผ้าคลุมหน้าออก ฉินเพ่ยเหยาจึงลองเพ่งสายตามอง นางเป็นคนสายตาดีเสียด้วย และทำให้ได้เห็นว่าเขาคือผู้ติดตามของโจวจื่อหานนั่นเอง

"หวงซวนมิใช่หรือ" พึมพำเสียงเบา ก่อนจะรีบก้มศีรษะลงไปจากหน้าต่าง เมื่อเห็นสายตาคมดุเงยหน้าขึ้นมองมายังจุดที่นางแอบมองอยู่

"เห็นไหมนะ เขาจะเห็นข้าหรือเปล่า" ก้อนเนื้อในอกซ้ายเต้นแรงกระหน่ำด้วยความตื่นเต้น ในใจได้แต่ภาวนาขอให้โจวจื่อหานมองไม่เห็นนาง แม้ว่านางจะสงสัยว่าพวกเขากำลังทำลับๆล่อๆอะไรกันก็ตาม

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel