บทที่ 9 ผู้มากด้วยความลับ
เช้าวันใหม่เวียนมาถึงแล้ว
ฉินเพ่ยเหยานอนหลับๆตื่นๆเกือบทั้งคืนเพราะมัวแต่ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เจอเมื่อคืนนี้ หลี่ซินที่เดินเข้ามาในห้องถึงกับเปล่งเสียงอุทานขึ้นมาเบาๆเมื่อเห็นใต้ตาดำคล้ำของเจ้านายสาว
"ตายแล้ว! เมื่อคืนนี้คุณหนูไม่ได้นอนหรือเจ้าคะ"
"ข้านอนไม่ค่อยหลับน่ะหลี่ซิน"
"เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าเจ้าคะ" หลี่ซินถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง ฉินเพ่ยเหยาได้แต่โคลงศีรษะไปมาเป็นการปฏิเสธ แม้จะสงสัยแต่หากยังไม่อยากมีหลักฐาน นางจึงไม่อยากกล่าวออกไปเดี๋ยวจะเป็นการใส่ร้ายโจวจื่อหานเอาได้
"ไม่มีอะไรหรอก เจ้าไปเตรียมขนมหมาฮัวให้ข้าทีสิ"
"คุณหนูอยากกินหรือเจ้าคะ"
"เปล่า ข้าจะเอาขนมไปให้พี่ใหญ่เสียหน่อย"
คำตอบของฉินเพ่ยเหยาทำให้หลี่ซินถึงกับอ้าปากค้าง เดิมทีคุณหนูพยายามตีตัวออกห่างไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคุณชายจื่อหาน แต่เหตุใดจู่ๆนางถึงเปลี่ยนไปเล่า
"ไม่ต้องทำเป็นตกใจไปหรอก" ฉินเพ่ยเหยากล่าวกับสาวใช้ ก่อนจะยกยิ้มขึ้นมาบางๆ
"ข้ารู้ตัวว่าที่ผ่านมาทำไม่ดีกับพี่ใหญ่ไว้เยอะ ข้าเลยอยากจะไปขอโทษเขาเสียหน่อย" อันที่จริงนางอยากไปดูท่าทีของเขาต่างหากว่าเขาจะพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้หรือไม่
ทว่าเมื่อเดินไปถึงก็พบว่าประตูเรือนถูกปิดไว้ราวกับไม่มีผู้ใดอยู่ หญิงสาวหันไปพยักหน้าให้หลี่ซิน สาวใช้คนสนิทจึงเดินไปเคาะประตู แต่จนแล้วจนเล่าก็ไม่มีใครเปิด
"คุณชายจื่อหานคงไม่อยู่กระมังเจ้าคะคุณหนู"
ดวงตากวางหันไปเห็นผ้าม่านถูกดึงให้ปิดอย่างรวดเร็ว ฉินเพ่ยเหยานิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะตัดใจเดินกลับไปยังหอนอน ครั้นเมื่อเดินเข้ามาถึงหลังจากหลี่ซินปิดประตูจนสนิทแล้ว ฉินเพ่ยเหยาจึงเดินไปยังหน้าต่างบานใหญ่
"หลี่ซิน ห้ามผู้ใดเข้าออกหอนอนข้า หากท่านแม่ถามหาให้บอกว่าข้ายังนอนไม่ตื่น"
คิ้วเรียวของหลี่ซินขมวดเข้าหากัน แต่ยังไม่ทันจะได้ถามไถ่ นางก็ต้องหวีดร้องด้วยความตกใจเมื่อเห็นคุณหนูปีนออกไปทางนอกหน้าต่าง เมื่อตั้งสติได้จึงรีบวิ่งไปดูพบร่างเล็กของเจ้านายกำลังวิ่งลิ่วตรงไปยังเรือนเล็กแล้ว!
"โธ่ คุณหนูนะคุณหนูจะทำอะไรกันแน่นะ" นางบ่นอุบ แต่กระนั้นก็ยอมไปนั่งรอที่ประตูเพราะเกรงว่าจะมีคนมาเห็นเสียก่อน
ร่างเล็กของฉินเพ่ยเหยาเดินลัดเลาะมาตามพุ่มไม้พร้อมกับชะโงกหน้าแอบมองไปยังบานประตูไม้หน้าเรือนเล็กไปด้วย นางไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่อยู่ข้างใน แต่เป็นเพราะไม่อยากเปิดประตูต้อนรับนางมากกว่า
"โอ๊ะ!" หญิงสาวอุทานขึ้นมาเสียงด้วยความตกใจ เมื่อเห็นบานประตูไม้ถูกผลักให้เปิดออกจึงรีบวิ่งลิ่วไปหลบอยู่หลังต้นไม้ขนาดสามคนโอบ และแอบมองจึงได้เห็นหวงซวนเดินออกมาจากข้างใน
'นั่นไง มีคนอยู่ข้างในจริงๆด้วย' แต่ทำไมพวกเขาต้องทำตัวลับๆล่อๆด้วยเล่า หญิงสาวรอจนกระทั่งหวงซวนเดินจากไป นางจึงเดินสำรวจรอบตัวบ้าน แลเห็นหน้าต่างที่อยู่ข้างประตูหลังจวนเปิดอยู่จึงรีบสาวเท้าเดินตรงเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ตุ้บ!
ฉินเพ่ยเหยาหย่อนกายลงบนพื้นด้วยความระมัดระวัง หลังจากที่ส่งสายตากวาดมองโดยรอบแล้วไม่เห็นผู้ใด ทั้งประตูและผ้าม่านถูกปิดเอาไว้จนแทบมองไม่เห็นสิ่งใด สัญชาตญาณของนางบอกว่าโจวจื่อหานต้องมีเรื่องอะไรปิดบังอยู่เป็นแน่
หญิงสาวเดินสำรวจข้างใน ตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้ นางไม่เคยย่างกรายเข้ามาที่เรือนเล็กเลยสักหน พบว่าถึงแม้ภายในจะไม่ได้กว้างขวางเท่าใดนัก แต่ข้าวของเครื่องใช้ก็ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบดูสะอาดตา
ร่างบางเดินตรงไปยังประตูหอนอนที่เปิดอ้าออกเล็กน้อย เมื่อลองชะโงกหน้าเหลือบมองเข้าไปข้างในจึงเห็นว่าไม่มีผู้ใดอยู่ แต่ในตอนที่ผลักประตูให้เปิดออก คนตัวเล็กก็ถูกดึงไปปะทะอกแกร่งทันที
"เจ้าเข้ามาทำอะไรที่นี่!" โจวจื่อหานถามเสียงดุดันและแข็งกร้าว
ฉินเพ่ยเหยารู้สึกเจ็บจี๊ดที่ต้นคอเมื่อสัมผัสได้ถึงปลายแหลมของกริชที่ทิ่มแทงเข้ามา ทว่ายามนี้ทั้งเขาและนางอยู่ใกล้กันมากจนได้กลิ่นกายจากคนตัวโตทำให้นางหวนนึกถึงชายชุดดำปริศนาที่ลักลอบเข้ามาในวังหลวงเมื่อหลายวันก่อน
'หรือว่าจะเป็นเขา'
ฉินเพ่ยเหยาอยากจะใช้มือตบเข่าเสียงดังฉาดยิ่งนัก ก็ว่าแล้วว่าเหตุใดถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับน้ำเสียงนั้น แต่สิ่งที่รู้สึกประหลาดใจนั่นคือทั้งเขาและนางไม่ได้เห็นหน้าค่าตากันเป็นสิบปีแล้วเหตุใดวันนั้นที่วังหลวง เขาถึงรู้ว่าเป็นนางเล่า ฉินเพ่ยเหยาได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ
"พี่ใหญ่ใจเย็นก่อน ข้าแค่เอาขนมมาให้ท่านเท่านั้นเอง" กล่าวเสียงสั่น ใครจะไปรู้เล่าว่าเขาจะแอบอยู่หลังประตูและเล่นงานนางทีเผลอเช่นนี้
"ไหนล่ะขนมที่เจ้าว่า"
"เอ่อ ข้าลืมถือมาน่ะ แต่ถ้าหากพี่ใหญ่ปล่อยข้า ข้าจะรีบไปเอาขนมมาให้ท่าน"
โจวจื่อหานเปล่งเสียงหึออกมาเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยอมปล่อยมือจากนางแต่โดยดี แต่การปล่อยฉินเพ่ยเหยาไม่ต่างอะไรจากการปล่อยงูเข้าป่า เพราะสุดท้ายแล้วนางก็หันมาแว้งกัดเขาจนได้
ผลั่ก!
"ซี้ดดด" โจวจื่อหานสูดปากด้วยความเจ็บเมื่อจู่ๆคนตัวเล็กก็หันมาใช้มือผลักเขาอย่างแรง จนร่างหนากระแทกประตูไม้เสียงดัง คนที่กำลังตั้งท่าจะวิ่งหนีเมื่อได้ยินเสียงร้องจึงอดที่จะหันกลับไปดูไม่ได้
"พี่ใหญ่ท่านบาดเจ็บหรือ"
"ไม่ใช่เรื่องของเจ้า" เขาสะบัดน้ำเสียงใส่ด้วยความโมโห เพราะนางนั่นแหละที่ทำให้เขาต้องเป็นเช่นนี้
ฉินเพ่ยเหยาเบ้ปากใส่คนอวดดี ก็ไม่ได้อยากจะสนใจหรอก แต่แค่ไม่อยากให้เขาต้องมาสิ้นชีพที่จวนสกุลฉินของนางเท่านั้นเอง
"ไม่มีแรงจะเดินแล้วยังอวดดี"
"ว่าอย่างไรนะ!" ดวงตาคมกริบตวัดมองไปยังเจ้าของเสียงพูด หากเป็นในยามปกติเขาคงไม่รั้งรอที่จะเข้าไปเลาะฟันของนางออกจนหมดปาก
"เปล๊า" ฉินเพ่ยเหยาปฏิเสธเสียงสูง ก่อนจะเดินเข้ามาประคองร่างสูงให้ลุกขึ้นยืน
"จะทำอะไร" เขาถามนางเสียงห้วนด้วยความไม่เข้าใจ จริงๆก็ระแวงนั่นแหละ เพราะรู้ว่าฉินเพ่ยเหยาเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก
"จะพาท่านไปพักบนเตียงน่ะสิ หรือท่านอยากนอนบนพื้นเย็นๆนั่นเล่า" อันที่จริงนางไม่ได้อยากทำหรอก แต่โอกาสเช่นนี้ไม่ได้มีง่ายๆ เอาใจเขาหน่อยก็แล้วกัน บางทีเขาอาจจะเปลี่ยนใจไม่สังหารนางก็เป็นได้
เมื่อได้ยินเช่นนั้นโจวจื่อหานจึงเงียบไปทันที ปล่อยให้คนตัวเล็กประคองร่างสูงเขาอย่างทุลักทุเล บางทีก็แกล้งทิ้งน้ำหนักให้นางจนแทบจะล้มลงไปด้วยกัน
"ท่านไปกินวัวทั้งตัวมาหรืออย่างไร เหตุใดถึงตัวหนักเช่นนี้" หญิงสาวบ่นอุบอิบ หนักจะตายอยู่แล้วนะ
"ข้าไม่ได้ตัวหนัก แต่เจ้าต่างหากที่ตัวเล็ก" เขาเถียงข้างๆคูๆ ฉินเพ่ยเหยาได้แต่ส่ายศีรษะไปมาอย่างระอา แต่สุดท้ายก็พาเขาขึ้นไปนอนบนเตียงจนได้
"แขนของท่านไปโดนอะไรมาน่ะ" ดวงตากลมโตจดจ้องมองไปยังท่อนแขนกำยำที่พันผ้าพันแผลสีขาวเอาไว้ และยามนี้มันปรากฏโลหิตสีแดงฉานไหลซึมออกมา คงเกิดจากที่โดนนางผลักจนกระแทกกับขอบประตูเมื่อครู่นี้กระมัง
"ออกไป" หลังจากที่นอนบนเตียงเรียบร้อยแล้วก็ไม่รอช้าที่จะเอ่ยปากไล่นางทันที
ฉินเพ่ยเหยาทำหน้ายู่ หากแต่นางก็ไม่คิดที่จะรั้งอยู่ต่อ นางคิดว่าจะไปรอเฝ้าที่หน้าประตูจวนรอท่านพ่อฉินหมิงเจ๋อกลับมา และจะเปิดปากฟ้องเล่าเรื่องที่เขาบุกเข้าไปยังวังหลวงและเรื่องที่เขาได้รับบาดเจ็บให้ฟังหมดเลย คอยดูสิ!
หลังจากที่คนตัวเล็กจากไปแล้ว โจวจื่อหานจึงทอดถอนลมหายใจออกมาเบาๆ เขามั่นใจถึงสิบส่วนว่านางต้องกำลังคิดสร้างเรื่องวุ่นวายให้เขาอยู่แน่นอน
เวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม คนที่ฉินเพ่ยเหยารอคอยก็กลับมา หลิวหลี่ฟานที่เดินออกมายังหน้าประตูจวน เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าม้ากำลังวิ่งตรงเข้ามาถึงกับย่นคิ้วเข้าหากันด้วยความแปลกใจที่เห็นบุตรสาวกำลังนั่งสัปหงกพิงเสาอยู่ที่บันไดทางขึ้นประตูจวน
"เหยาเหยามานั่งทำอะไรตรงนี้"
"ข้ามีเรื่องจะฟ้อง เอ๊ย จะบอกท่านพ่อเจ้าค่ะ" หญิงสาวผวาลุกขึ้นทันทีที่ผู้เป็นพ่อกระโดดลงจากหลังม้า นางรีบตรงดิ่งเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็ว
"วันนี้เหยาเหยามานั่งรอพ่อกลับจวนงั้นหรือ น่าประหลาดใจยิ่งนัก" ฉินหมิงเจ๋อเอ่ยอย่างหยอกเย้าพลางวางมือลงบนศีรษะของบุตรสาวและลูบไปมาด้วยความเอ็นดู
"ข้ามีเรื่องจะบอกท่านพ่อเจ้าค่ะ"
"เรื่องอะไรหรือ"
ฉินเพ่ยเหยายกยิ้มขึ้นเล็กน้อย หากท่านพ่อรู้เรื่องที่นางเล่าต้องไม่ยอมปล่อยผ่านอย่างแน่นอน นางจะยุให้ท่านพ่อกับท่านแม่ไล่โจวจื่อหานออกจากจวนสกุลฉินให้ได้เลย
"เรื่องของพี่ใหญ่เจ้าค่ะ" มือบางเกาะลงไปบนท่อนแขนของผู้เป็นพ่อ วาจาของนางทำให้ฉินหมิงเจ๋อหยุดฝีเท้าลงทันที
