บทที่ 7 ผู้บุกรุก
"จริงสิ! ข้าให้คนไปบอกเสด็จพี่เป่าชุยว่าเจ้ามาที่ตำหนักหรงจิ้งดีกว่า"
"อย่านะ!" ฉินเพ่ยเหยารีบคว้าข้อมือบางเอาไว้พร้อมส่ายหน้าไปมายกใหญ่
"ทำไมล่ะ เสด็จพี่อยากพบหน้าเจ้าจะตาย"
"ไม่เอาหรอก ข้าไม่อยากพบเขานี่ ถ้าองค์หญิงให้คนไปบอกจวิ้นอ๋อง ข้าจะกลับจวน ไม่เล่นด้วยแล้ว" ฉินเพ่ยเหยายื่นปากออกมาเล็กน้อยอย่างงอนๆ ท่าทางของนางทำให้องค์หญิงไป๋จื่อถึงกับเปล่งเสียงหัวเราะร่าด้วยความชอบใจ
"ไม่ไปบอกก็ได้ ว่าแต่ว่าวันนี้เราจะเล่นอะไรกันดีล่ะ"
"ไปแอบดูพวกทหารองครักษ์ฝึกซ้อมกันเถอะ" ฉินเพ่ยเหยากล่าวชวนด้วยดวงตาที่เป็นประกาย องค์หญิงไป๋จื่อกับนางเคยแอบดูเหล่าทหารองครักษ์ฝึกซ้อมกันอยู่บ่อยๆ เวลาฝึกซ้อมพวกเขามักจะเปลือยท่อนบนทำให้เห็นกล้ามหน้าอกกับกล้ามหน้าท้องกำยำน่าสัมผัส
"เหยาเหยาเจ้าช่างรู้ใจข้ายิ่งนัก" องค์หญิงไป๋จื่อออกปากชม ทว่ายังไม่ทันที่คนทั้งคู่จะได้เดินออกไป นางกำนัลผู้หนึ่งก็วิ่งตรงเข้ามาหาองค์หญิงไป๋จื่อเสียก่อน
"องค์หญิงเพคะ ฮองเฮาทรงรับสั่งหาองค์หญิงเพคะ"
องค์หญิงไป๋จื่อหันมาสบตากับฉินเพ่ยเหยา นางจึงเดินไปจับมือของสหายพร้อมบีบเบาๆอย่างเข้าใจ
"ไปเถิด ฮองเฮาทรงอยากเห็นหน้าองค์หญิง"
"ขอโทษนะ วันหลังเราค่อยมาเล่นกันใหม่ก็แล้วกัน" องค์หญิงไป๋จื่อรู้สึกผิดไม่น้อย อุตส่าห์นัดหมายกันไว้แล้วแท้ๆแต่นางกลับเล่นกับฉินเพ่ยเหยาไม่ได้
ทว่าฉินเพ่ยเหยาไม่ได้โกรธองค์หญิงไป๋จื่อแต่อย่างใด นางส่งยิ้มให้สหายก่อนจะโบกมือไปมาในยามที่องค์หญิงไป๋จื่อเดินจากไป
ร่างบางหมุนตัวหมายจะหันหลังกลับ แต่แล้วหางตาพลันเหลือบไปเห็นเงาดำวูบไหวไปยังหลังตำหนักหรงจิ้ง ด้วยความแปลกใจหญิงสาวจึงเดินตรงไปทันที เพราะเกรงว่าเจ้าของเงาดำอาจเป็นเจ้ามู่อิง แมวขาวที่องค์หญิงไป๋จื่อเลี้ยงเอาไว้ ซึ่งมันมักจะหนีเที่ยวอยู่บ่อยครั้ง
"มู่อิงนั่นเจ้าหรือ" สาวเท้าเดินตรงเข้าไปหา แต่แล้วก็ไม่เห็นผู้ใด เงาดำที่อยู่ตรงนี้หายไปแล้ว ทว่ากลับได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นอยู่หลังต้นไม้ใหญ่แทน
"เมี้ยวๆๆ มู่อิงอย่าหนีนะ หากหลงทางไปที่อื่นจะแย่เอาได้นะ" ฉินเพ่ยเหยาบ่นเล็กน้อย ยามใดที่เจ้ามู่อิงหายไป องค์หญิงไป๋จื่อก็จะทรงร้องห่มร้องไห้เพราะเป็นห่วงมันทุกครั้งไป ร่างบางก้าวยาวๆเดินตรงเข้าไปถึงหลังต้นไม้ แต่แล้วนางก็ต้องหยุดชะงักฝีเท้าไปทันที เมื่อเห็นบุรุษในชุดสีดำสนิทมีผ้าคลุมปิดหน้ามิดชิดยืนอยู่
"กะ กรี๊....!" ฉินเพ่ยเหยาอ้าปากหมายจะกรีดร้องด้วยความตกใจ ดูจากการแต่งกายของเขาแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่ใช่ทหารในวังหลวงอย่างแน่นอน แต่การที่มีคนนอกบุกเข้ามาถึงเขตพระราชฐานชั้นในย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่
ทว่า ยังไม่ทันจะได้ร้องขอความช่วยเหลือร่างบางก็ถูกชายชุดดำดึงเข้าไปประชิดตัว มือหนาของเขาปิดปากบางเอาไว้ ปิดกลั้นเสียงร้องของนางไปจนหมดสิ้น
"อื้อ!" มือบางระดมทุบไปบนมือใหญ่หมายจะให้เขาปล่อยมือออกจากปากของนาง คนตัวโตเห็นว่าหญิงสาวในอ้อมแขนไม่ยอมจำนนง่ายๆ อีกทั้งตอนนี้นางยังดิ้นไม่หยุด หากปล่อยไว้นางอาจสะบัดจนหลุดออกจากอ้อมแขนของเขาได้
มือข้างที่ว่างหันมากอดรัดเอวคอดเอาไว้แน่น ทำให้ตอนนี้สองร่างแนบชิดจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว การกระทำเช่นนี้ทำให้ฉินเพ่ยเหยารู้สึกตกใจมากกว่าเดิม กลิ่นกายของบุรุษเพศลอยเข้ามาแตะจมูกชวนให้ก้อนเนื้อในอกซ้ายสั่นไหว
"เงียบ! หาไม่ข้าจะหักคอเจ้าทิ้งเสีย!"
'งื้อ! ดูสิคำขู่ของเขาน่ากลัวยิ่งนัก' หัวใจของฉินเพ่ยเหยาตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม รู้สึกเสียวที่คอวูบวาบเกรงว่าเขาจะทำเช่นนั้นจริงๆ
ทางด้านชายปริศนาชุดดำเห็นว่าคนในอ้อมแขนเลิกดิ้นไปแล้ว มุมปากหยักจึงกระตุกยิ้มขึ้นที่เห็นว่าคำขู่ของเขามีผลต่อนาง
"พาข้าออกไปจากที่นี่แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า" น้ำเสียงดุดันกระซิบอยู่ที่ข้างใบหูขาวสะอาด ฉินเพ่ยเหยาพยักหน้ารับด้วยความหวาดกลัวจับใจ รอให้ออกจากวังหลวง และเขาปล่อยนางเป็นอิสระเมื่อใด นางค่อยบอกเรื่องนี้ให้ทหารยามรู้ก็ยังไม่สาย
ชายหนุ่มคลายมือออกจากปากบางแต่ยังไม่วายขู่นางเสียงแข็ง
"หากเจ้าตุกติกกริชเงินเล่มนี้จะลอยปักขั้วหัวใจเจ้าทันที"
"รู้แล้วน่าเอาแต่ขู่อยู่ได้" หญิงสาวทนไม่ไหวจึงตะโกนใส่หน้าของเขาหนหนึ่ง แต่เมื่อเห็นดวงตาคมวาวโรจน์ขึ้นมา นางจึงรีบหุบปากลงทันที
"ที่หลังตำหนักหรงจิ้งมีทางลัดออกไปที่ชายป่าท้ายวังหลวง"
"นำทางข้าไป"
ร่างบางหมุนกายหันหลังและเดินตรงไปยังหลังตำหนัก ที่นางรู้ว่าที่นี่มีทางลัดก็เพราะแต่ก่อนองค์หญิงไป๋จื่อชอบพานางแอบหนีเที่ยวบ่อยๆจึงสั่งให้คนสร้างทางลัดเอาไว้ และห้ามรายงานเรื่องนี้ให้ผู้ใดทราบ
เวลาล่วงเลยผ่านไปหนึ่งถ้วยชา ในที่สุดฉินเพ่ยเหยาก็พาชายชุดดำมาถึงกำแพงหลังตำหนักหรงจิ้งโดยที่ไม่มีผู้ใดสงสัย เพราะปกติฉินเพ่ยเหยาเข้าออกตำหนักหรงจิ้งจนกลายเป็นที่คุ้นเคยกับทหารรักษาตำหนักและนางกำนัลไปเสียแล้ว
"ถึงแล้ว" นางสะบัดเสียงใส่เขาอย่างไม่พอใจนัก เมื่อเห็นสายตาคมดุที่มองมาพร้อมกับมือหนาที่กระชับด้ามกริชเงินก็รู้สึกขนลุกซู่จึงรีบหันไปดันหินก้อนใหญ่ที่อุดปิดรูกำแพงออกอย่างรวดเร็ว
มุมปากหยักภายใต้ผ้าคลุมปิดใบหน้าสีดำยกยิ้มขึ้นอย่างพึงพอใจ หลังจากที่เขาหลงมาที่เขตพระราชฐานชั้นใน ที่ตรงนี้มีทหารรักษาการณ์อย่างรัดกุมแน่นหนา ยากที่จะหนีกลับออกไปทางหน้าวังได้
ร่างสูงปรี่เข้าไปตรงช่องว่างอย่างรวดเร็วพลันก็ต้องหยุดชะงักไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงใสของใครบางคนดังขึ้น
"ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้ารู้จักทางลัดเข้าตำหนักหรงจิ้ง" ฉินเพ่ยเหยาถามด้วยความสงสัย ชายผู้นี้ต้องเพิ่งเคยเข้ามาในวังหลวง หาไม่เขาคงหาทางออกพบ ไม่ต้องมาข่มขู่นางเช่นนี้หรอก
"ข้ารู้ทุกเรื่องของเจ้านั่นแหละคุณหนูฉินเพ่ยเหยา และอย่าคิดบอกเรื่องที่พบข้าในวันนี้ให้ผู้ใดฟัง หาไม่ข้าจะตามไปตัดลิ้นเจ้าถึงจวนสกุลฉิน" ข่มขู่เสร็จร่างสูงก็มุดกำแพงหายไป ปล่อยให้ฉินเพ่ยเหยามองตามอย่างอึ้งๆ ความคิดที่จะบอกเรื่องมีผู้บุกรุกให้ทหารยามฟังเป็นอันต้องพังทลายลงไปทันที ใครจะอยากเอาชีวิตไปสุ่มเสี่ยงกันล่ะ หากคนชั่วผู้นี้เอาจริงขึ้นมามีหวังนางคงได้เป็นใบ้ไปตลอดชีวิตแน่
คิดด้วยความหวาดกลัวและรีบยกหินปิดรูกำแพงไว้เช่นเดิม ทว่าก่อนกลับยังคิดเป็นห่วงสหายรักจึงเขียนจดหมายบอกองค์หญิงไป๋จื่อให้สั่งคนมาซ่อมแซมปิดรูกำแพงนั่นไปเสียจะได้ไม่ต้องให้ใครเข้านอกออกในได้อีกต่อไป
ในที่สุดก็ถึงวันที่คนสกุลฉินตั้งตารอคอย โจวจื่อหานเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวง ฉินหมิงเจ๋อควบม้าออกไปรอที่หน้าประตูเมืองตั้งแต่ย่ำรุ่งเพื่อรอคณะเดินทางของบุตรชายบุญธรรม สำหรับหลิวหลี่ฟานเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน วันนี้นางถึงกับตื่นแต่เช้ามาเข้าครัวเพื่อลงมือทำอาหารด้วยตนเองเพื่อเป็นการต้อนรับโจวจื่อหาน
ฉินเพ่ยเหยาได้แต่ลอบเบะปากอย่างไม่ชอบใจนักที่เห็นท่านพ่อท่านแม่ตื่นเต้นดีใจจนเกินควร ทั้งๆที่นางเป็นบุตรสาวแท้ๆของพวกเขา ไม่ใช่เด็กฝากเลี้ยงอย่างโจวจื่อหาน
"ขบวนเดินทางของคุณชายจื่อหานมาถึงแล้วเจ้าค่ะ" หลี่ซินรีบวิ่งเข้ามายังหอนอนของฉินเพ่ยเหยา สีหน้าของนางแลดูตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก
"แล้วอย่างไรล่ะหลี่ซิน" ฉินเพ่ยเหยาที่กำลังนอนกลิ้งไปมาบนเตียงถามอย่างไม่ใส่ใจนัก นางตั้งใจจะหลบหน้าเขาอยู่ในหอนอนนี่แหละ ไม่อยากออกไปพบเจอเลย
"ท่านแม่ทัพกับฮูหยินสั่งให้คุณหนูออกไปร่วมโต๊ะทานอาหารต้อนรับคุณชายจื่อหานเจ้าค่ะ"
"ไม่ไปไม่ได้หรือ" ฉินเพ่ยเหยาทำหน้ายู่ด้วยความขัดใจ
"หากไม่ไป ฮูหยินจะเสียใจได้นะเจ้าคะ"
หญิงสาวทอดถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นางรู้ว่าท่านพ่อกับท่านแม่ต้องการให้นางกับโจวจื่อหานสมานฉันท์กันมากเพียงใด
ก็ได้ นางจะลองทำตามความต้องการของท่านพ่อกับท่านแม่ดู แต่ถ้าหากอาการควบคุมตัวเองกลับมาอีกครั้ง การพบเจอกับเขาเต็มไปด้วยความขัดแย้ง เช่นนั้นนางจะไม่ขอพบเจอเขาอีกต่อไปเพื่อเป็นการปกป้องชีวิตน้อยๆของนางก็แล้วกัน
หน้าประตูจวนสกุลฉินมีร่างบางของหลิวหลี่ฟานยืนอยู่ นางส่งสายตามองไปยังอาชาตัวใหญ่ราวห้าตัวที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาก่อนที่มันจะหยุดลงพร้อมด้วยร่างสูงของบุรุษสามคนที่กระโดดลงจากหลังม้า
"ฟานเอ๋อร์" ฉินหมิงเจ๋อเดินเข้าไปส่งยิ้มให้ภรรยาที่กำลังทำหน้างุนงงเมื่อเห็นบุรุษร่างกำยำสองคนเดินมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้า
คนแรกเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งแต่ก็ดูกำยำแข็งแรงมิใช่น้อย ผิวของเขาขาวดุจหยกเรียบเนียนแม้แต่สตรียังต้องอาย ใบหน้าหล่อเหลาคมสัน ทั้งตาจมูกปากรับกันอย่างลงตัว ติดอยู่แค่ตรงดวงตาที่ดูดุดันน่าเกรงขาม อีกทั้งยังดูลุ่มลึกราวกับมีเรื่องมากมายอยู่ภายในใจ ส่วนอีกคนรูปร่างสันทัดกว่า ดวงตาค่อนไปทางขี้เล่น อายุอานามพอๆกับชายคนแรก
"ท่านพี่คนไหนคือหานเอ๋อร์ของเราหรือเจ้าคะ" นางกระซิบถามสามีที่มาหยุดยืนอยู่ข้างกาย
ฉินหมิงเจ๋อกระตุกยิ้มเล็กน้อยพลางหันไปสบตากับโจวจื่อหาน เมื่อนั้นชายร่างสูงคนแรกที่หลิวหลี่ฟานส่งสายตามองก็ก้าวออกมา ริมฝีปากหยักได้รูปแย้มออกจากกันพร้อมขานเรียกชื่อของนาง
