บทที่ 6 พระเอกมีใจให้นางร้าย
"เหยาเหยาบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่" เสียงนุ่มทุ้มที่ดังอยู่ข้างหูทำให้ฉินเพ่ยเหยารีบเงยหน้าขึ้น ทันทีที่เห็นว่าเป็นใครนางก็ถอนหายใจออกมาเบาๆด้วยความโล่งอก
"จวิ้นอ๋อง" หญิงสาวใช้มือดันแผงอกแกร่งพร้อมดันร่างหนาออก หวังเป่าชุยจำต้องปล่อยมือออกจากร่างบางอย่างเสียมิได้ หลี่ซินเห็นเช่นนั้นจึงรีบปรี่เข้ามาประคองเจ้านายสาวขึ้น
"ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะจับตัวคนร้ายได้แล้ว ตอนนี้ส่งตัวไปให้ทางการแล้วพ่ะย่ะค่ะ" จิ่งเทาวิ่งกลับเข้ามารายงาน ก่อนจะยื่นถุงผ้าสีชมพูให้เจ้านายหนุ่ม
หวังเป่าชุยผงกศีรษะรับเบาๆ หวนนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ เขากับจิ่งเทียนปลอมตัวเป็นชาวบ้านออกมาเดินตลาด แต่ได้ยินเสียงคนร้องโวยวายจึงเร่งฝีเท้าเข้ามาและได้เห็นชายผู้หนึ่งผลักใครบางคนตกสะพาน เมื่อมองดูดีๆจึงเห็นว่าเป็นคนคุ้นเคยกันนั่นเอง
"ในถุงผ้านี้มีของมีค่าอะไรงั้นหรือ เหตุใดคนร้ายจึงได้เข้ามาแย่งชิงมันไปเล่า"
ฉินเพ่ยเหยาโคลงศีรษะไปมา นางเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าในถุงผ้านี้มีอะไรอยู่
"หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ หม่อมฉันได้มันมาจากคุณหนูกวนเสี่ยวผิง"
คิ้วหนาเลิกขึ้นเชิงตั้งคำถามพลางยื่นส่งถุงผ้าสีชมพูคืนให้ฉินเพ่ยเหยา เมื่อนางรับมาและเปิดออกจึงพบว่ามันเป็นทองคำหนึ่งแท่ง หรือเพราะเหตุนี้คนร้ายจึงคิดแย่งชิง
'แต่เอ๊ะ! เหตุใดคนร้ายถึงรู้ล่ะว่าในถุงผ้านี้มีทองคำอยู่' ฉินเพ่ยเหยาได้แต่คิดในใจด้วยความสงสัย
"ขอบพระทัยจวิ้นอ๋องมากนะเพคะที่มาช่วยหม่อมฉันไว้" หญิงสาวเก็บถุงผ้าคืนเหน็บที่ข้างเอวและหันมาหาผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าแทน
"เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว" เขาส่งยิ้มให้นางบางๆ แววตามีความเอ็นดูอยู่มากทีเดียว ฉินเพ่ยเหยารับรู้ได้ถึงความรู้สึกของเขาที่ฉายชัดออกมาทางแววตา เป็นเวลาสิบกว่าปีที่รู้จักกันมา เขาแสดงออกว่าชอบพอนาง แต่ด้วยนางร้ายไม่คิดจะไปขัดขวางวาสนาของนางเอกจึงแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ถึงความรู้สึกนั้น
"หม่อมฉันออกจากจวนมานานแล้ว ป่านนี้ท่านพ่อกับท่านแม่คงเป็นห่วงแย่ ขอตัวก่อนนะเพคะ รีบกลับกันเถิดหลี่ซิน"
"ข้าจะไปส่ง"
"ไม่ต้องเพคะ" หญิงสาวรีบกล่าวคำปฏิเสธ แต่หวังเป่าชุยหาได้ฟังนางไม่ เขาหันไปคว้ามือบางขึ้นมา เพราะรู้จักกันมานานจึงทำให้มีความสนิทสนมกันอยู่ไม่น้อย
"จวิ้นอ๋อง หม่อมฉันเดินเองได้" ฉินเพ่ยเหยาดึงมือออกพลางกล่าวด้วยใบหน้าบูดบึ้งคล้ายกำลังไม่พอใจ
"ไยต้องโกรธ ที่ผ่านมาตอนเด็กๆเจ้าชอบให้ข้าจับมือ อีกทั้งยังชอบขี่หลังข้าด้วย จำไม่ได้หรือ"
"จำได้แต่ตอนนี้หม่อมฉันโตแล้วนะ" นางเอ่ยแย้ง นางโตจนพ้นวัยปักปิ่นมาแล้ว ขืนท่านแม่มาเห็นว่านางจับมือถือแขนกับบุรุษคงโดนตำหนิแย่
"ข้ารู้ว่าเจ้าโตพอที่จะมีสามีแล้ว เพราะข้าเองก็โตพอที่จะมีชายาแล้วเช่นกัน" ชายหนุ่มยกยิ้มที่มุมปาก แววตาของเขาเป็นประกายเจิดจ้าราวกับกำลังสื่อความนัยบางอย่างให้ ฉินเพ่ยเหยาถึงกับหน้าแดงซ่าน นางรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร หญิงสาวรีบสะบัดหน้าหนีพร้อมเดินลิ่วจากไป ทั้งโกรธและอับอายในคราวเดียวกัน
หวังเป่าชุยกระทำอย่างที่บอกไว้จริงๆ เขาควบม้าติดตามรถม้าของนางไปจนถึงจวนสกุลฉิน เมื่อไปถึง ฉินหมิงเจ๋อกับหลิวหลี่ฟานเห็นบุรุษหนุ่มผู้สูงศักดิ์จึงได้เชิญเข้ามานั่งจิบน้ำชาที่จวน หลังจากพูดคุยจนเวลาผ่านไปสักพัก ฉินเพ่ยเหยาเห็นว่าเขายังไม่มีทีท่าว่าจะกลับไปเสียที นางจึงแสร้งกล่าวขึ้น
"จวิ้นอ๋องรั้งอยู่นี่จนตะวันจะตกดินแล้ว เมื่อไหร่จะกลับตำหนักเพคะ"
วาจาของนางทำให้ฉินหมิงเจ๋อกับหลิวหลี่ฟานหันมาสบตากัน ก่อนที่คนเป็นแม่จะหยิกหมั่บเข้าที่แขนเรียวของบุตรสาวหนึ่งหน
"โอ๊ย! ท่านแม่หยิกข้าทำไมเนี่ย"
"พูดอะไรของลูกน่ะ นี่จวิ้นอ๋องนะ" หลิวหลี่ฟานกระซิบบุตรสาวเสียงดุ
"ข้าก็แค่ถามนี่นา" หญิงสาวแสร้งทำหน้าเศร้า เสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้นจากคนตัวโตที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม นางจึงขึงตาใส่เขาทันที จะมาหัวเราะอะไรกัน นางพูดจริงนี่
"เหยาเหยาไล่ข้ากลับแล้ว ข้าคงต้องขอตัวก่อน" ร่างสูงของหวังเป่าชุยผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ ฉินหมิงเจ๋อจึงอาสาเดินออกไปส่งผู้สูงศักดิ์
"รบกวนท่านแม่ทัพแล้ว เหยาเหยาวันหลังข้าจะกลับมาเล่นกับเจ้าใหม่นะ" เขาหันไปส่งยิ้มพลางโบกมือให้นาง ฉินเพ่ยเหยาจึงส่งยิ้มกลับอย่างขอไปที ทั้งๆที่ในใจอยากจะบอกเขาว่าไม่ต้องมา เพราะนางรู้ว่าท่านแม่ต้องการให้นางกับเขาจับคู่กัน
คล้อยหลังจากที่หวังเป่าชุยกับฉินหมิงเจ๋อเดินออกไป หลิวหลี่ฟานก็รีบหันมาสบตากับบุตรสาว
"เหยาเหยา จวิ้นอ๋องแวะเวียนมาหาเจ้าบ่อยถึงเพียงนี้ ท่านอ๋องต้องมีใจให้ลูกอย่างแน่นอน แม่คิดว่า..."
หลิวหลี่ฟานยังพูดไม่ทันจบ ฉินเพ่ยเหยาก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน
"ท่านแม่คิดว่าจวิ้นอ๋องเป็นคนดีเหมาะสมกับข้าทุกประการ หากข้าได้แต่งเป็นชายาของจวิ้นอ๋องก็นับเป็นวาสนา" หญิงสาวลอบกลอกตามองบน ท่านแม่หลิวหลี่ฟานพูดกับนางเช่นนี้มาหลายครั้งจนนางจำขึ้นใจแล้ว
"ก็ที่แม่บอกเจ้า เพราะแม่หวังดีกับเจ้านะเหยาเหยา อีกอย่างลูกก็พ้นวัยปักปิ่นมาแล้วด้วย"
"ข้ารู้เจ้าค่ะว่าท่านแม่หวังดี แต่ข้ายังไม่อยากคิดเรื่องนั้น" นางยังรู้สึกมีความสุขกับชีวิตแบบนี้ ยังอยากอยู่เป็นเด็กน้อยของท่านพ่อกับท่านแม่ตลอดไป
"แต่ว่า..."
"ฮ้าว ง่วงนอนยิ่งนัก ข้าไปเอนหลังเสียหน่อยดีกว่า หลี่ซินตามเข้าไปนวดให้ข้าทีสิ" มือบางแกล้งยกขึ้นปิดปากหาว ก่อนจะหันไปสบตากับหลี่ซิน และรีบเดินลิ่วออกไปจากห้องทันที หลิวหลี่ฟานได้แต่ส่ายศีรษะมองตามบุตรสาวไปอย่างเอือมระอา ฉินเพ่ยเหยาดื้อดึงยิ่งนัก หวังเป่าชุยมีศักดิ์เป็นถึงจวิ้นอ๋อง อีกทั้งยังแสดงท่าทีสนอกสนใจนางอย่างเปิดเผย แต่ฉินเพ่ยเหยากลับวางท่าเฉยเมย นางจะทำอย่างไรกับบุตรสาวคนนี้ดีนะ
ฉินเพ่ยเหยารั้งอยู่ที่จวนไม่ยอมออกไปไหนเป็นเวลากว่าสามวันแล้ว ทุกๆวันนางจะเห็นท่านแม่ยืนคุมบรรดาบ่าวรับใช้ทำความสะอาดเรือนเล็กที่อยู่ทางด้านหลังจวนใหญ่ เพื่อเตรียมพร้อมรอการกลับมาของโจวจื่อหาน
ในสายตาของหลิวหลี่ฟาน โจวจื่อหานเป็นเด็กที่น่าสงสาร เพราะนางเองก็กำพร้าท่านแม่มาตั้งแต่เด็กจึงหวังจะชดเชยความรู้สึกที่ขาดหายไปของโจวจื่อหานได้บ้าง
"คุณหนูขอรับ องค์หญิงไป๋จื่อส่งจดหมายเทียบเชิญคุณหนูไปเล่นที่สวนบุปผชาติในตำหนักหรงจิ้งขอรับ" พ่อบ้านกงเดินเข้ามารายงาน ดวงตาของฉินเพ่ยเหยาลุกวาวขึ้นด้วยความดีใจ นางกับองค์หญิงไป๋จื่อเป็นสหายกัน อีกทั้งยังเคยเล่นสนุกกันอยู่บ่อยๆ เพราะนางเป็นบุตรสาวคนเดียวของตระกูลฉินเหมือนกับองค์หญิงที่เป็นบุตรีเพียงคนเดียวของหวังฮ่องเต้กับซ่งฮองเฮา
ฉินเพ่ยเหยาออกเดินทางไปยังตำหนักหรงจิ้งซึ่งตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นใน อันที่จริงคนนอกไม่มีสิทธิ์เข้าไปเยือนในที่แห่งนั้น แต่ฉินเพ่ยเหยาคือข้อยกเว้น องค์หญิงไป๋จื่อได้ทูลขอฮ่องเต้เอาไว้ หวังฮ่องเต้รู้ว่านางกับองค์หญิงไป๋จื่อเป็นสหายกันจึงทรงอนุญาตให้นางสามารถเข้าออกเขตพระราชฐานชั้นในได้ตามสะดวก
ครั้นเมื่อไปถึง ฉินเพ่ยเหยาถูกเชิญให้ไปนั่งรอองค์หญิงไป๋จื่ออยู่ที่ศาลาข้างสระบัว ไม่นานร่างหงส์ขององค์หญิงผู้สูงศักดิ์ก็เดินเข้ามา ฉินเพ่ยเหยาจึงลุกขึ้น แต่เมื่อเห็นใบหน้าหมองเศร้าของสหายรักก็อดที่จะถามไถ่ไม่ได้
"องค์หญิงไป๋จื่อ"
"เหยาเหยา" นางขานเรียกชื่อสหายก่อนจะโผเข้ามากอดร่างบางของฉินเพ่ยเหยาเอาไว้แน่น
"องค์หญิงเป็นอะไรหรือไม่" ในยามที่อยู่ด้วยกันตามลำพัง ฉินเพ่ยเหยาได้รับคำอนุญาตจากองค์หญิงไป๋จื่อให้เรียกนางอย่างสนิทสนมได้
"เสด็จแม่ร้องไห้เรื่องเสด็จพี่อีกแล้ว ข้าไม่ชอบเลย" องค์หญิงไป๋จื่อผละออกจากฉินเพ่ยเหยาพร้อมถอนหายใจออกมาเบาๆด้วยความกลัดกลุ้มใจ
"ฮองเฮาคงยังหักพระทัยจากองค์รัชทายาทไม่ได้กระมัง"
องค์หญิงไป๋จื่อผงกศีรษะรับ นับตั้งแต่วันที่เสด็จพี่หวังจิ้งข่ายหายตัวไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน ซ่งฮองเฮาก็ทรงประชวร หมอหลวงวินิจฉัยว่าเกิดจากการตรอมพระทัยที่หวังจิ้งข่ายไท่จื่อหายตัวไป หลังจากนั้นซ่งฮองเฮาก็ทรงเจ็บป่วยออดๆแอดๆ ร่างกายไม่แข็งแรงเท่าใดนัก บางวันนางก็เอาแต่นอนร้องไห้ คร่ำครวญหาโอรสที่หายไป
ตามกฏของราชวงศ์แล้วองค์ชายหวังจิ้งข่ายคือรัชทายาทอันดับ 1 แต่หากมีเหตุที่ไม่สามารถสืบทอดบัลลังก์ต่อได้ บัลลังก์มังกรทองก็จะต้องตกไปอยู่ที่เชื้อพระวงศ์ลำดับ 2 ในที่นี้คือหวังเป่าชุยจวิ้นอ๋องนั่นเอง
"อืม ข้าก็คิดเช่นนั้นแหละ แต่เวลาผ่านไปนานจนป่านนี้แล้วยังหาตัวไม่พบ ไม่แน่ว่าเสด็จพี่คงไม่มีพระชนม์ชีพอยู่แล้วกระมัง"
"นั่นสินะ ข้าเองก็เห็นด้วย" ฉินเพ่ยเหยาผงกศีรษะรับอย่างเห็นด้วย เพราะนางยังอ่านนิยายเรื่องนี้ไม่จบ เลยไม่รู้ว่าจะหาตัวองค์ชายหวีงจิ้งข่ายเจอหรือไม่ ลางทีนักเขียนเรื่องนี้อาจจะวางบทให้หวังเป่าชุยพระเอกของเรื่องได้รับตำแหน่งองค์รัชทายาทแทนก็เป็นได้
