5 หนี
5
หนี
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของรัชชุ อนาคินก็ถอนตัวเองออกจากจุดเชื่อมระหว่างเขาและพราวตะวันอย่างหัวเสีย เขาลงจากเตียงแล้วหยิบกางเกงขึ้นมาใส่อย่างลวกๆ ก่อนจะเดินไปเปิดประตู
“มีเรื่องอะไร?!!”
รัชชุมองอนาคินที่อยู่ในสภาพไม่พร้อมรับแขก ก่อนจะลอบมองพราวตะวันที่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม พราวตะวันเป็นผู้หญิงคนแรกที่อนาคินพามาที่บ้านหลังนี้ อาจจะเรียกว่าเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ อนาคินพูดคุยด้วยจะดีกว่า ถึงแม้ว่าเขาจะจับเธอมาทำนางบำเรอหรือตัวประกัน แต่หากไม่นึกอยากหรือสนใจจริงๆ ไม่มีทางที่คนอย่างอนาคินจะร่วมรักด้วยเป็นแน่…
หรือนายจะสนใจพราวตะวันขึ้นมาจริงๆ
“ว่าไงรัชชุ?!”
“คุณเอพริล เพื่อนของคุณพราวตะวันกำลังโวยวายอยู่ที่โรงแรมครับ เธอบอกจะแจ้งความหากไม่ได้พบเพื่อนภายในสองชั่วโมงนี้”
“เรื่องแค่นี้ทำไมจัดการไม่ได้?!”
“เอ่อ…คุณเอพริล เป็นลูกสาวของนายพลปราชญ์ ครับ”
“นายพล ปราชญ์” อนาคินทวนชื่อบุคคลที่เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับอัคราพ่อของเขา และปัจจุบันก็คือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ดูแลหมู่เกาะอริมันตรา
“อย่าให้เรื่องถึงหูคุณพ่อเด็ดขาด!”
“ครับนาย”
“พาฉันไปหาเอพริล”
จบคำนั้น อนาคินเดินตามรัชชุออกไปโดยที่ไม่ลืมคล้องกุญแจล็อกห้องจากด้านนอก พราวตะวันเด้งตัวขึ้นจากที่นอน เธอได้ยินทุกอย่าง และเธอก็ต้องหาทางออกจากที่นี่ให้ได้ก่อนที่อนาคินจะกลับมา เพราะเธอรู้ดีว่ายังไงเอพริลก็ไม่ยอมแน่ถ้าไม่ได้เจอเธอ
ปัง! ปัง! ปัง!
พราวตะวันทุบประตูห้องอย่างแรงเพื่อเรียกเล็กน้อย หลังจากที่รอเวลาจนแน่ใจว่าอนาคินได้ออกไปจากบ้านหลังใหญ่นี้แล้ว
“เธอ! คนดูแลบ้าน! เปิดประตูให้ฉันที!” พราวตะวันตะโกนสุดเสียง เพื่อให้เล็กน้อยให้เปิดประตู
“คุณมีอะไรหรือคะ? ต้องการอะไรคะ?” เล็กน้อยวิ่งมาหยุดที่ประตูหน้าตาตื่น
“เปิดประตูให้ฉัน! ข้างในห้องมีแมลงสาป ฉันกลัว! ว๊าย! ว๊าย! ออกไปนะ!” พราวตะวันแกล้งทำเสียงไล่แมลงสาป ในเวลาแบบนี้…ถ้าจะทาวิธีออกไปจากที่นี่ได้…มันก็มีแค่การทำตัวน่าสงสารเท่านั้น
“จริงหรือคะคุณ?! ในห้องมีแมลงสาปจริงหรือคะ?!”
“ก็จริงน่ะสิ! เธออยากให้ฉันโดนมันฆ่าตายก่อนหรือไง!”
“แมลงสาปฆ่าคุณไม่ได้หรอกค่ะ!”
ยัยบ้าเอ้ย…ทำไมถึงไม่ซื่อแบบนี้
พราวตะวันเดินวนไปมาคิดหาวิธีให้เล็กน้อยเปิดประตูให้เธอ อย่างแรกต้องสร้างความมิตรเพื่อให้เกิดความเห็นอกเห็นใจก่อน พอนึกหนทางพราวตะวันก็ยิ้มออกมาอย่าเจ้าเล่ห์
“นี่เธอชื่ออะไร?”
“เล็กน้อยค่ะ หนูชื่อเล็กน้อย”
“ดี แล้วเธออายุเท่าไหร่?”
“ยี่สิบปีค่ะ คุณถามทำไมหรือคะ?”
“รู้ไหมเล็กน้อย เมื่อสี่ปีที่แล้วฉันก็อายุยี่สิบเหมือนกับเธอนี่แหละ ตอนนั้นฉันเพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นลูกเมียน้อย…เมียที่ไม่ได้แต่งงานน่ะ เธอรู้ใช่ไหม” พราวตะวันแสร้งทำเสียงเศร้า
“รู้ค่ะ…”
“ตั้งแต่เกิด ฉันสงสัยมาตลอดว่าทำไม ฉันถึงต้องมาอยู่ที่บ้านหลังเล็กในสวน ทั้งๆที่คุณพ่ออยู่บ้านหลังใหญ่ แล้วทำไมพี่สาวของฉันถึงเกลียดฉันนัก แล้วไหนจะป้าที่วันๆก็เอาแต่จิกหัวใช้ แล้วก็พูดจาด่าทอฉันทุกครั้งที่เจอ ที่แท้เพราะแม่ฉันเป็นลูกเมียน้อยนี่เอง…” พราวตะวันปาดน้ำตาแล้วยิ้มมองประตูห้อง
“คุณน่าสงสารจังค่ะ”
“แล้วรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงกลัวแมลงสาป”
“ทำไมหรือคะ?”
“เพราะวันนั้นตอนฉันเจ็ดขวบ ฉันจำไม่ได้หรอกว่าฉันทำอะไรผิดแต่คุณป้าที่เป็นเมียคนแรกของพ่อเขาโกรธมาก แล้วจับฉันไปขังในห้องเก็บของ ทั้งคืนฉันต้องอยู่ในนั้นพร้อมกับแมลงสาปเต็มไปหมด มันทั้งบินทั้งคลานผ่านหน้าฉัน ร้องเท่าไหร่ก็ไม่มีใครกล้ามาช่วย ฉันตะโกนบอกคนพวกนั้นว่าถึงแม่จะเป็นเมียน้อย แต่ฉันก็เป็นลูกคนนึงของพ่อ รู้ไหมยังไง…ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งเมียแรก ฉันถูกขังอยู่ในนั้นทั้งคืน ทั้งๆที่ฉันเพิ่งเจ็ดขวบเท่านั้น เจ็ดขวบเองเล็กน้อย” น้ำตาไหลรินอาบสองแก้มของพราวตะวันราวกับว่าเรื่องที่เธอเล่านั้นเป็นเรื่องจริง
“เอาล่ะ…ทีนี้เธอจะเปิดประตูให้ฉันได้หรือยัง ได้โปรดเถอะเล็กน้อยฉันไม่หนีหรอกสัญญา”
“ค่ะคุณ…เล็กน้อยจะเปิดเดี๋ยวนี้แหละค่ะ ฮึกๆ” เล็กน้อยเช็ดน้ำตาสะอื้นแล้วไขกุญแจให้พราวตะวัน
ทันทีที่ประตูเปิดออก พราวตะวันใช้ช่วงโอกาสที่มีอยู่น้อยนิดก้าวเท้าออกมาจากห้อง แล้วผลักเล็กน้อยเข้าไปในห้องทันที
“คุณจะทะอะไรคะ?!” เล็กน้อยที่ฉุดกระชากลากถูประตูห้องกับพราวตะวันถามขึ้นหน้าตาตื่น
“ฉันขอโทษเล็กน้อย! ฉันไม่มีทางเลือก!”
พลั่ก!
พราวตะวันถีบเล็กน้อยจนกระเด็นเข้าไปในห้อง ก่อนจะปิดประตูแล้วคล้องกรล็อกกุญแจอย่างรวดเร็ว
ร่างบางในชุดเดรสผ้าฝ้าย วิ่งออกมาที่ลานจอดรถหน้าบ้าน เธอมองรถสี่ห้าคันที่จอดเรียงกันอยู่ ก่อนจะวิ่งออกมาอย่างไม่แยแสรถเหล่านั้น เธอรู้ดีว่าที่นี่ต้องมาระบบเตือนภัยที่แน่นหนา ทางเดียวที่จะหนีออกไปได้คือปีนรั้วแล้ววิ่งลูกเดียว
เวลาห้าทุ่มครึ่ง อนาคินยืนประจันหน้ากับเอพริลที่โรงแรมซึ่งเขาเป็นเจ้าของ ด้านหลังของอนาคินคือรัชชุและลูกน้องอีกคน ส่วนด้านของเอพริล…ไม่มีใคร…
“ว่ายังไง…ไหนว่าจะแจ้งตำรวจ” อนาคินถามเอพริลเสียงแข็ง เมื่อมาถึงโรงแรมแต่กลับไม่มีแม้ตำรวจสักคน
“เอ่อ…”
จริงอยู่ที่คนตรงหน้าหล่ออย่างไม่บันยะบันยังจนทำให้เอพริลแทบจะพูดออก แต่ที่ไม่พูดเพราะจริงๆแล้วเธอแค่จะขู่เฉยๆ เพราะเธอแจ้งตำรวจไม่ได้ หากแจ้งไปที่บ้านบุลันตราก็จะรู้ว่าพราวตะวันแอบมาเที่ยวที่นี่ และ…พ่อของเธอก็ต้องรู้ด้วยแน่…แบบนี้ไม่ดีแน่
“ว่าไงครับ? หรือจะให้ทางโรงแรมแจ้งความให้…ว่าแต่ข้อหาอะไรนะ?”
“เพื่อนฉันหายตัวไป”
“หายไปตั้งแต่กี่โมง…? ถ้าไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงตำรวจไม่รับแจ้งความ คุณรู้ใช่ไหม?”
“นี่! คุณเป็นเจ้าของโรงแรม เพื่อนฉันหายไปก็น่าจะแสดงความรับผิดชอบกันบ้าง”
“ผมไม่ใช่แค่เจ้าของโรงแรม เกาะทั้งเกาะนี้เป็นของผม แล้วรู้ไหมว่าวันๆนึงคนบนเกาะเข้าๆออกๆเกาะโน้นเกาะนี้กันนับไม่ถ้วน ใครมันจะไปตามหาเพื่อนคุณเจอ”
“คุณเป็นเจ้าของเกาะ?”
“วันพรุ่งนี้จะมีคนพาคุณไปส่งในที่ที่คุณมา ส่วนเรื่องเพื่อนของคุณ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ผม”
“ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้นถ้าไม่มียัยพราวไปด้วย”
“งั้นก็ตามใจ…แต่ถ้าผมเป็นคุณ คงจะกลับบ้านไปรอให้ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วค่อยแจ้งความ” รัชชุมองอนาคินอย่างไม่เข้าใจเหตุผลที่เขาพูดแบบนั้น
“คุณจะไม่รับผิดชอบอะไรเลยหรือไง?!”
“คุณจะให้ผมรับผิดชอบยังไง อยากให้ผมติดต่อที่บ้านเพื่อนคุณให้ไหมล่ะ ว่าลูกสาวพวกเขาหายตัวไป”
“ไม่ได้!” เอพริลตะโกนอย่างไม่ทันตั้งตัว
อนาคินหรี่ตามอง เอพริลที่มีท่าทีตื่นตัวทุกครั้งเมื่อพูดถึงบุลันตรา ราวกับว่าเธอไม่อยากให้ฝั่งนั้นรู้ว่าพราวตะวันอยู่ที่นี่…เขาคิดถูกเสียด้วย…
“นายครับ…” รัชชุก้าวเท้าขึ้นมากระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูอนาคิน ดวงตาของเขาเบิกโตขึ้นก่อนจะขบกรามแน่น เป็นสัญญาณให้เขาจบเรื่องงี่เง่าตรงหน้าสักที
“มีรถมารับเพื่อนคุณไปนี่…เพื่อนคุณคือบุลันตราหรือไง?”
“ชะ…ใช่ คุณรู้ได้ยังไง?”
“เมื่อกี้คนของผมเพิ่งบอกว่ากล้องวงจรปิดบันทึกภาพเพื่อนคุณขึ้นรถของบุรันตราไป”
“ตาย…”
“ว่าไงนะครับ…ถ้าคุณไม่เชื่อจะเช็กกล้องดูก็ได้”
“มะ…ไม่เป็นไรค่ะ คุณบอกว่าพรุ่งนี้จะพาฉันไปส่งใช่ไหม”
“ครับ”
“งั้นเอาเป็นว่าฉันจะกลับก็แล้วกัน” เอพริลเอียงคอพูดด้วยนำเสียงติดขัด
“ไม่ตามหาเพื่อนแล้วหรือครับ?”
“ก็ไหนคุณว่าพราวไปกับรถบุลันตราแล้วไง”
“พูดแค่นี้คุณก็เชื่อแล้วเหรอ?”
“ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่เชื่อ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราหนีเที่ยวแล้วถูกจับได้…ขอตัวนะคะ” ว่าแล้วเอพริลก็เดินสะบัดบ๊อบหนีออกจากตรงนั้นทันที
“ปล่อยให้หนีไปได้ยังไง… บอกคนของเราให้ออกตามหาให้เจอ ถ้าไม่เจอก็ไม่ต้องกลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีก!” อนาคินหันตัวกลับ…รอยยิ้มของเขาหายลับไปทันที เขาก้าวเดินไปที่รถอย่างรวดเร็วอย่างไม่สบอารมณ์ โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมาที่เขา อโณณาที่จับตามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด อยู่ที่ระเบียงชั้นสองของโรงแรม นึกสงสัยว่าพี่ชายของเธอกำลังทำอะไรอยู่กันแน่
“พี่คิน…คิดจะทำอะไรกันแน่?”
