บทที่ 5 คุยงานยังไงให้เหมือนออกเดท
ปาริตาเอาใบหน้าซบลงบนเสื้อแจ็คเก็ตสีซีดที่เธอไม่แน่ใจว่าเขาได้ซักมันบ้างหรือเปล่า แต่ความเร็วสูงของบิ๊กไบค์ที่เขาพาเธอแล่นมาตามท้องถนน ทำให้เธอต้องเกาะเขาแน่นแบบเลี่ยงไม่ได้
กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่โชยมาจากเสื้อของเขาทำเอาเธอรู้สึกประหลาดเพียงนิด ไม่ได้เหม็นอย่างที่คิดแฮะ
เธอแยกเขี้ยวให้เขาจากทางด้านหลัง ชุดเดรสที่ใส่มา...นำพาเธอต้องนั่งเกร็งจากท่านั่งพาดบนเบาะนี่
“ถึงละ” ปาริตากระโดดลงจากรถด้วยสภาพโซเซเล็กน้อย...เธอถอดหมวกกันน็อคออก มองสถานที่ผ่อนคลายที่เขาพามาให้เต็มตา ผมเผ้ายุ่งเหยิงถูกจัดให้เป็นระเบียบ
“ฮะ? พามาห้างเนี่ยนะ?” เธอหันกลับมามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเขา คนหยิบไม้จิ้มฟันขึ้นมาเขี่ยฟันต่อแบบอารมณ์ดี ทำเอาเธอรู้สึกขยะแขยงขึ้นอีกครั้ง
“เห็นเป็นเถียงนาหรือไงล่ะ” เขามองเธอแบบยียวน ก่อนเดินนำเข้าไป...โดยไม่สนใจว่าเธอจะตามไปหรือเปล่า แต่มีหรือคนที่กำลังง้อเขาเรื่องงานอยู่จะไม่ตามเข้าไป
“แล้วพามาที่นี่ทำไม!” เธอแหวตามหลังไป แต่เขาก็ ไม่ยอมตอบ
เครื่องเล่นบนชั้นพิเศษของห้าง ถูกคนตัวโตในสภาพเหมือนไอ้หนุ่มจิ๊กโก๋...จับลูกบอลในมือปาออกไปอย่างมันส์มือ คนที่ไม่เคยมาทำกิจกรรมอะไรแบบนี้อย่างเธอ กระโดดหลบเป็นพัลวันเมื่อลูกบอลในมือเขาที่ขว้างไป กระเด็นกลับมา
“เออ มีเรื่องงานอะไรจะพูดบ้างนะ” อยู่ๆ คนบางคนก็เอ่ยลอยๆ ขึ้น เมื่อไล่เล่นเครื่องเล่นจนหนำใจจนจะครบทั้งชั้น ปาริตาผู้ทำหน้าบึ้งตึง...มองตาเขียวไปยังคนที่กำลังตั้งใจคีบตุ๊กตาเล่นอยู่แบบแสนจะจริงจัง
“อ๋อ นี่รู้ตัวอยู่สินะ...ว่ากำลังออกมาคุยงาน” เธอกัดฟันถามเขา ขณะหยิบซองเอกสารที่เตรียมมาออกมา
“ไม่รู้อ่ะ ลืมแล้ว” เขาทำเป็นเหมือนจะไม่สนใจแบบแกล้งๆ อีกครั้ง จนเธอต้องคว้าหมับเข้าที่แขนเขาเข้าให้ การสัมผัสร่างกายกันแบบไม่ตั้งใจ
ทำเอาแววตาสองคู่สะดุดกึก มองมาที่กันและกันแบบไม่มีความหมาย...คนรู้สึกตัวอย่างปาริตา รีบปล่อยมือออกจากแขนเขาทันที
“นี่คือรายละเอียดคร่าวๆ ที่ฉันเตรียมมาสำหรับการไปสัมภาษณ์นาย ในรูปแบบที่นายสะดวก”
“โอย ไม่ชอบอ่านหนังสือ...ไม่ต้องเอามาให้หรอก” เขาว่าขณะที่ยังคงมุ่งมั่นสุดพลังกับการคีบตุ๊กตาตัวที่เขาตั้งใจจะหยิบ
“ไม่ชอบอ่าน แล้วจะเข้าใจรายละเอียดได้ยังไง”
“แล้วทำไมต้องเข้าใจ” เขาว่าหน้าตายใส่ จนเธอชักจะหมดความอดทนขึ้นมา
“ก็ทำงานร่วมกัน ไม่ทำความเข้าใจแล้วจะเข้าใจในงานได้ยังไง”
“ก็ทำมันแบบไม่เข้าใจนี่แหละ” เขาหรี่ตาเล็งไปที่ตุ๊กตาที่เขากำลังจะหยิบได้อย่างหมายมาด ไม่ได้สนใจท่าทีคนที่กำลังจะกรี๊ดกร๊าดให้ลั่นเลยสักนิด
“แล้วจะนัดฉันออกมาคุยงานเพื่อ? หลอกให้ฉันเตรียมรายละเอียดให้ทำไม!”
“เหรอ...พี่เป็นคนบอกให้เราทำแบบนั้นเหรอ” เขาพูดเหมือนไม่ได้สนใจเธอมากไปกว่า ตุ๊กตาที่เขาหนีบมันมาได้สำเร็จ
“นี่นายจงใจจะแกล้งฉันใช่ไหม!” ปาริตาผู้ความอดทนได้ขาดผึง หลับตากัดฟันถามเขาออกไปอย่างโมโห
“น่ารักมั้ย” แล้วมวลความโกรธที่ได้ปะทุขึ้น ก็ได้ชะงักหยุดอยู่กับสิ่งที่ถูกยื่นมาตรงหน้า...ตุ๊กตาโพนี่สีชมพูตัวขนาดพอดีมือ ตัวที่เขาพยายามจะหนีบมันขึ้นมาหลายต่อหลายรอบนั่นเอง
“มาถามฉันทำไม” คนรู้สึกประหลาดจากการที่ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนมายื่นตุ๊กตาให้มาก่อน ทำเอาเธอทำสีหน้าไม่ถูก
“ถือว่า...ให้เป็นการไถ่โทษ ที่ยอมสละเวลาพาพี่มาผ่อนคลาย” เขาไม่ต้องการคำตอบจากคนยืนอึ้งตรงหน้า ไออุ่นจากมือกร้านสัมผัสแผ่วเบาไปยังฝ่ามือเรียวนุ่ม...ที่ตอนนี้เขาได้ยัดเจ้าตุ๊กตาที่เขาเห็นว่ามันน่ารักเหมือนเธอส่งให้
คนห่ามๆ ที่แสดงออกไม่ค่อยเป็นอย่างเขา...แอบหน้าแดงซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ความเข้มของสีผิวจนเธอเองก็สังเกตไม่ได้
“นี่นาย!” คนเพิ่งได้สติตะโกนตามหลัง คนแก้เก้อที่เดินนำไปก่อนแบบไม่ยอมรอ
หญิงวิ่งสาวเท้าตามเขาไปทั้งๆ ที่ในมือยังกำเจ้าตุ๊กตาในมือแน่น เธอคงจะไม่ใจร้ายพอที่จะทิ้งมันลง...แม้จะไม่อยากได้เพราะที่มาของตุ๊กตามาจากตัวเขาก็เถอะ
“ป๊อบคอร์นถังหนึ่ง...เป๊บซี่สองแก้ว” เขาสั่งหลังจากที่ได้ซื้อตั๋วหนังมาไว้ในมืออย่างเสร็จสรรพ ไม่ได้ถามความสมัครใจคนที่วิ่งตามเขาแทบไม่ทันเลยสักนิด
“จะรีบไปตามควายที่ไหนฮะ” เธอเอ่ยถามขึ้นเมื่อวิ่งมาถึงตัวเขา ผู้ที่เดินเร็วจนเธอเองก็ตามไม่ทัน
“เดี๋ยวก็รู้ว่าวิ่งตามควายจริงๆ เนี่ย มันต้องเร็วกว่านี้”เขาว่าพร้อมดูดน้ำอัดลมในมือที่รับมาจากพนักงานขาย ก่อนยื่นอีกแก้วให้เธอช่วยถือ เพราะตัวเองต้องรับป๊อบคอร์นถังใหญ่อีกข้าง เธอจำต้องรับแก้วนั้นมาจากมือเขาแบบงุนงง ความรวดเร็วจากทุกอย่างที่เขากระทำเอาเธอปวดหัวไปหมด
“พาฉันมาเข้าโรงหนังทำไม” เธอกระซิบกระซาบเมื่อเข้ามานั่งข้างๆ เขา ในที่นั่งบนสุดตามที่เขาเลือก และเหมือนว่าหนังรอบนี้จะมีผู้คนเบาบางเหลือเกิน
“เงียบๆ หน่อย ไม่รู้เหรอว่าเขาให้งดคุยในโรงหนัง” เขาปรามอย่างตำหนิ ก่อนโยนป๊อบคอร์นเข้าปากจนเธอต้องเบ้หน้ารังเกียจความไร้มารยาทไปทุกหย่อมร่างของเขา
ภาพยนตร์เรื่องที่เธอเองก็ไม่ทราบว่าชื่ออะไร กำลังนำเสนอเรื่องราวหาชมยาก...มันไม่ใช่หนังผี หนังรักโรแมนติค หรือหนังตลกคอมเมดี้
แต่มันคือหนังสะท้อนเรื่องราวชีวิตของต้นไม้ใบหญ้า ที่เธอเองก็ไม่ทราบมาก่อนว่ามีหนังแนวนี้ในโรงด้วย
“หนังเรื่องนี้เขาฉายฟรี เพื่อให้คนเข้ามาดูความจริงจากธรรมชาติ...วัฏจักรการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าต้นไม้ พืช หรือแม้แต่ดอกหญ้า แต่ดูสิ...มีคนนั่งอยู่ในโรงตอนนี้ถึงห้าคนมั้ย” อยู่ๆ น้ำเสียงเรียบก็เอ่ยขึ้นมา เมื่อภาพยนตร์ได้ดำเนินมาจนถึงภาพชาวบ้านกำลังทำเกษตรกรรม
“ฉันไม่เห็นเคยรู้เรื่องนี้เลย”
“ก็นี่แหละเหตุผลที่พามาที่นี่” เธอมองเขาอย่างฉงน ภายใต้แสงสลัวในโรง...แววตาคมกริบฉายแววจริงจังของเขา ไม่มีคำว่าล้อเล่นใดปรากฏให้เห็น
“ยังไง”
“ก็พามาให้เห็นกับตาไง ว่าวิธีการเผยแพร่ในรูปแบบของพี่มันเป็นยังไง” แล้วป๊อบคอร์นก็ถูกโยนขึ้นไปจนสูง ก่อนตกลงมายังปากที่อ้ารับแบบเชี่ยวชาญ จนเธอไม่แน่ใจว่า...เขากินแบบปกติเป็นหรือเปล่า
“อย่าบอกนะ...ว่าภาพยนตร์นี้มีส่วนมาจากนาย”
“ทุกอย่างที่ฉายอยู่ตอนนี้...คือสถานที่ที่เราจะต้องไป” คำตอบของเขาทำเอาเธอเบิกตากว้าง ถึงมันจะสวยงามแค่ไหน แต่สถานที่ในป่าลึกแบบนี้ มันจะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรสักอย่างเลยสิ
“ในป่าเนี่ยนะ?” เธออุทานเป็นเชิงถามพร้อมกลืนน้ำลายลงคอแบบยากลำบาก
“จะปฏิเสธก็ได้นะ พี่ไม่ชอบไปฝืนใจใคร” เขาว่าพร้อมยักไหล่ โยนป๊อบคอร์นใส่ปากไม่หยุด
“ไม่มีวัน ฉันยอมให้นายลากฉันไปโน่นมานี่ตามอำเภอใจได้ขนาดนี้แล้ว ฉันจะไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปเลยนั้น ไม่มีวันซะหรอก” เขายิ้มอย่างพึงพอใจให้กับท่าทีมุ่งมั่นจริงจังปนน้ำโหนิดๆ ของเธออย่างชอบใจ ก่อนชูนิ้วกลางให้จนเธอตาโต
“เอ้ย โทษที...จะชูนิ้วโป้ง จำนิ้วผิดตลอดไม่รู้ทำไม” คนรู้ความหมายนิ้วกลางแยกเขี้ยวใส่แบบเหลืออด ถ้านี่ไม่ใช่โรงหนัง เธอจะกรี๊ดให้ลั่นเลยคอยดู!
“อ๊าย!!” และแล้วสถานที่เธอกรี๊ดลั่นได้ ก็ทำเอาเธอใจแทบวายแม้จะรู้สึกโล่งใจมากที่สุด กว่าทุกสถานที่ที่เขาพาไปมาหมดทั้งวัน
รถไฟเหาะในสวนสนุกสถานที่สุดท้ายที่เขาสัญญาว่าจะหยุดการออกมาคุยงานกันได้เสียที เธอยอมรับข้อตกลงเพราะเด็กเก็บกดแบบเธอ อยากจะระบายอารมณ์กับเครื่องปลดปล่อยพลังนี้เต็มที่เช่นกัน
“มาบ่อยเหรอ ดูชำนาญเหรอเกิน” คนหน้ามืดจากการเล่นไปหลายรอบเพราะเธอท้า และอยากเอาคืนเขาบ้าง ดมยาดมจนหน้าเข้มสีออกไปทางซีดเผือด
“เรื่องของฉัน ทีนี้ก็ถึงเวลาแยกย้ายของเราสองคนซะที!” เธอจัดเสื้อผ้าเผ้าผมให้เข้าที่อย่างรีบด่วน
“อยากไปจากกันขนาดนั้นเลย” เขาหรี่ตามองเธอแบบขำๆ ถึงเธอจะดูไม่ชอบการพามาของเขาวันนี้เท่าไหร่ หากแต่ก็กอดตุ๊กตาที่เขาให้ในมือไม่ยอมปล่อย คนมองตามสายตาเขา...หยุดลงที่เจ้าโพนี่สีหวานในมือแบบแอบเก้อนิดๆ
“เอาของนายคืนไป ฉันถือจนเมื่อยแล้ว” เขาปัดมือใส่พร้อมส่ายหน้า
“ให้แล้วคืนมะรืนนี้ตาย พี่ยังไม่อยากตาย” เขายื่นตั๋วหนังที่เก็บเอาไว้ส่งให้เธอจนเธอต้องขมวดคิ้วให้แบบไม่เข้าใจ
“ตั๋วหนังเรื่องแรกที่มาดูด้วยกัน เผื่อจะเอาไปเก็บสะสมไว้ดูตอนวัน Anniversary” เขายิ้มกว้างพูดจนเธอร้องหยีใส่
“ฝันไปเถอะ! อี๋พูดมาได้ขนลุก” แล้วเขาก็ยัดตั๋วนั้นใส่กระเป๋าเธอ พร้อมออกวิ่งหนี...เธอคว้าตั๋วที่หล่นลงไปในซอกกระเป๋าออกมา พร้อมจะขว้างทิ้งแต่พนักงานกวาดขยะที่เดินมากวาดใบไม้ตรงนั้นพอดีมองหน้า เธอก็เลยทำได้แค่กำตั๋วหนังที่ถูกขยำไว้ในมือนิ่ง ก่อนยัดลงใส่กระเป๋าไปแบบจำยอม
