บทที่ 4 หล่อแต่สถุล !!
"ตู๊ด ตู๊ด..." ปาริตากดตัดสายที่ตัวเองได้ตัดสินใจอยู่หลายวัน ว่าจะโทรไปดีหรือไม่...หากแต่การตัดสินใจนี้กลับต้องพังลงอีกหน เมื่อเธอไม่อาจจะสงบสติอารมณ์โทรหาผู้ชายที่เธอไม่เคยคิดมาก่อนในชีวิตว่าจะต้องโทรหาเขาก่อน
"ตั้งใจยิงมาเหรอวะ" คนใส่เสื้อกล้ามสีขาวนอนเอกเขนกอยู่บนเตียงกว้าง หรี่ตามองหน้าจอที่เหมือนจะมีสายเข้า แล้วก็วางไปแบบไม่เข้าใจ
"ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด...ตุ๊ด" เมื่อเธอโทรกลับไปรอบที่สอง กลับไม่มีใครรับจนต้องตัดสายลงอีกหน
"อ้าว รับไม่ทัน" คนถือขนมในตู้เย็นออกมากิน พร้อมกดเลื่อนช่องรายการโทรทัศน์ โยนโทรศัพท์ทิ้งอีกครั้ง ก่อนหย่อนกายเอนลงบนเตียงดังเดิม ผู้ชายห่ามๆ ที่กินอยู่แบบง่ายๆ อาจจะดูสถุลไปสักหน่อย
"โทรอีกทีดีกว่า ตู๊ด...ตุ๊ด ไม่เอาดีกว่า" ปาริตากดโทรออกและกดวางสายเป็นว่าเล่น โดยที่ไม่รู้เลยว่าปลายสายกำลังจ้องหน้าจอเขม็งอยู่
"อย่าให้รู้นะว่าใคร พ่อจะจับปล้ำให้เข็ด...เออ แต่ถ้าเป็นผู้ชาย ขอถอนคำพูดว่ะ" ความเหนื่อยเมื่อยล้าทำให้เขา ไม่สนใจหน้าจอโทรศัพท์อีก
ขนดกดำใต้วงแขนล่ำ เผยให้เห็นเด่นชัด เมื่อเขาเอามือก่ายหน้าผาก นอนมองรายการมวยไทยที่ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างใจจดจ่อ
"ตื๊ด..."
"อย่าวางเชียวนะ รับทันแล้วเว้ย!" ปาริตาชะงักนิ้วที่กำลังจะตัดสินใจจิ้มวางลงอีกรอบ เธอสูดลมหายใจลึก เมื่อเสียงโผงผางดังทะลุมาจนเธอสะดุ้ง
"เออ...ไม่วางแล้ว" น้ำเสียงคุ้นเคย ทำเอาธนากรหรี่ตามองหน้าจอแบบไม่แน่ใจ
"เดี๋ยวนะ ไปเอาเบอร์พี่มาจากไหน" คนเผลอยิ้มแบบไม่รู้ตัว ผ่อนเสียงโทรทัศน์ลง...พร้อมตั้งใจที่จะฟังเสียงปลายสาย
"ทำไม เบอร์โทรนายมันเป็นความลับระดับชาติหรือไง" คนแอบหมั่นไส้ เบ้ปากใส่โทรศัพท์แบบหงุดหงิด
"ก็ไม่รู้สิ ถ้าไม่มีใจให้...ก็คงหาไม่เจอได้ง่ายๆ หรอก"
"ขอโทษทีเถอะ หยุดความคิดวิปริตแบบนี้เอาไว้สักครู่ ฉันไม่ได้โทรมาเพราะอยากโทร" เธอโวยวายลั่นและรู้สึกขนลุกไปหมด กับความคิดเข้าข้างตัวเองแบบผิดๆ ของเขา
"แปบ...ขออ้วกแปบ รับไม่ได้เหมือนกันที่เราจะมาคิดแบบนั้นกับพี่" เขาหัวเราะลั่น พร้อมโยนถั่วลิสงคั่วอย่างดีจากไร่ของเขา เข้าปากไปแบบอารมณ์ดีสุดๆ ที่ได้เย้าเธอเล่น
"อี๋! นายนี่มัน!" คนไม่รู้จะสรรหาอะไรมาโต้ ทำได้แค่ด่าและทุบหมอนระบายอารมณ์ ปึงปัง
"เอาเถอะ เข้าเรื่องเถอะ...มีธุระอะไร" เขาว่าเสียงเรียบเปลี่ยนโหมด จนเธอต้องเปลี่ยนด้วย เมื่อระลึกได้ว่า ที่เธอลงทุนโทรหาเขา เพราะว่าเรื่องอะไร
"สวัสดีค่ะคุณธนากร ดิฉันชื่อปาริตา...เป็นนักเขียนคอลัมน์ของวารสารออนไลน์ครอบจักรวาลอย่างFFP..."
"ผมไม่สะดวก" เขาตอบจริงจังทั้งๆ ที่เธอยังพูดให้ฟังไม่จบ
"นี่ฉันยังไม่ได้บอกเลยนะ ว่าจะมาทำอะไร"
"ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ไม่สะดวกครับ" ปาริตา กำหมัดแน่นในความหยิ่งยโสโอเวอร์นี้ เป็นอย่างที่บอสบอกจริงๆ ด้วย เขาคนนี้ไม่ค่อยเปิดเผยอะไรกับใคร หึ เธอไม่ก็ได้...ถ้าเป็นแบบนั้นได้!!
"คิดว่าตัวเองโด่งดังมาจากไหนนักหนาฮะ เป็นเกียรติแค่ไหนแล้วที่ฉันยอมมาสัมภาษณ์ นายอ่ะ!" ปาริตาไม่อาจควบคุมเรื่องส่วนตัว ให้เหนือเรื่องงานได้
"ถ้าคุณจะมาพูดจาแบบนี้ กับคนที่คุณอยากสัมภาษณ์แล้วล่ะก็ คุณวางสายไปดีๆ แล้วผมจะไม่ติดใจอะไร" แล้วความเป็นเขาที่เวลาจริงจังก็จริงจังไม่มีเล่น โดยเฉพาะเรื่องงาน...ก็ทำเอาเธอสงบปากลงไปได้
"ฉันขอโทษ" เธอว่าเสียงอ่อย จนเขาแอบยิ้มมุมปาก ที่กลั่นแกล้งเธอได้สำเร็จ
"ไม่ใช่แค่วารสารของคุณเป็นที่แรก...ที่อยากจะสัมภาษณ์ผม และผมก็ไม่เคยตอบสนองความต้องการนั้นของใครมาก่อน หวังว่าคุณจะเข้าใจนะ" เขาหมายความตามที่พูดจริงๆ แต่ถ้าปาริตาได้เห็น เขาที่ค่อยๆ ลงไปนอนที่พื้นแล้วก่ายขาขึ้นมาบนเตียงแทนตอนนี้ เธอจะหมดความเชื่อถือในตัวเขาไปอย่างหมดสิ้นแน่!
"แล้วคุณรู้ได้ยังไง ว่าวารสารของฉันจะเหมือนกับสื่ออื่นที่อยากจะสัมภาษณ์คุณ" ปาริตาว่าอย่างจริงจังมากขึ้น
จนเขาต้องพยักหน้า...นี่เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่เขาเคยเห็นมุมนี้ของเธอ น้ำเสียงเข้มชัดเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ
"แล้วไม่เหมือนยังไงล่ะ"
"คุณเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารมากที่สุด แต่...ทำไมคุณถึงไม่ยอมเผยแพร่สิ่งที่ตัวเองมี ให้กับชาวโลกเขาได้รับรู้ และนำไปปฏิบัติตามบ้าง การแชร์มุมมองของผู้คนในสมัยนี้ ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของคนได้นับแสนนับล้าน ทำไมจะต้องเก็บกักสิ่งดีเหล่านั้นเอาไว้กับตัวคนเดียวด้วย" การร่ายยาวแบบมีน้ำโหของเธอ ทำเอาเขาพยักหน้าอย่างยอมรับอีกหน
"แล้วรู้ได้ยังไง ว่าพี่ไม่ได้เผยแพร่สิ่งที่ตัวเองมีให้คนอื่น" แล้วเขาก็คืนร่างเป็นพี่ชายเพื่อน แบบไม่ห่างเหินอีกต่อไป
"ก็เพราะไม่รู้ไง ก็เลยมาสัมภาษณ์ ถ้าเผยแพร่จริง เผยแพร่ยังไง...แล้วสิ่งที่เผยแพร่นั้น สร้างประโยชน์อะไร กับใคร ก็อยากรู้"
"บางครั้งเนี่ย เวลาเราจะทำอะไรสักอย่าง...เราไม่จำเป็นต้องประกาศให้ใครรู้ว่าเราทำก็ได้ การสัมภาษณ์มันก็เหมือน ไปพูดโพนทะนาข้อดีของตัวเองให้ชาวบ้านฟัง มันน่าเบื่อทำไมต้องไปพูด" เขาว่ามุมมองตัวเองให้เธอฟังแบบไม่มีกั๊ก เมื่อเริ่มผ่อนคลาย พร้อมกระดิกเท้าที่ชี้ขึ้นไปด้วย
"แล้วถ้าไม่อยากพูด แล้วจะทำยังไง...ไม่พูดแล้วจะเผยแพร่ยังไง?"
"ไม่เคยได้ยินคำว่า การกระทำสำคัญกว่าคำพูดเหรอฮึ สมัยนี้เขาไม่พูดเยอะกันหรอก...เจ็บคอ"
"แล้วจะกระทำยังไงล่ะ" เธอเริ่มหงุดหงิดกับความอ้อมค้อมของเขา
"สาธิต"
"หือ สาธิต...สาธิตอะไร?"
"ก็พูดเองไม่ใช่เหรอ...ว่าอยากจะให้พี่เผยแพร่ความรู้ที่มีให้ชาวโลก อย่าไปคิดไกลถึงชาวโลกเลย แค่ตัวคนที่สัมภาษณ์ก่อนดีกว่า ว่าสามารถเข้าใจมันได้จริงๆ มั้ย
ถ้าเข้าใจจริงได้ ก็เอาข้อมูลนั้นน่ะไปเผยแพร่ คำว่าอาหารเนี่ยมันพูดให้ฟังกันวันเดียวไม่จบหรอก แล้วไม่ใช่ว่าแค่ใส่จานมาก็คืออาหารแล้ว มันมีที่มามากกว่านั้น" แล้วคำสาธยายยืดยาวที่ไม่เคยพูดให้ใครฟังมาก่อน ก็ออกจากปากเขาในฉบับที่เขาเองก็แปลกใจว่าทำไมถึงยอมเปิดกับเธอง่ายดายนัก
"ไหนบอกว่าไม่ชอบพูดเยอะ...มันเจ็บคอไง" เธอเล่นเข้าให้ จนเขาต้องทำเสียงจิ๊จ๊ะใส่
"ว่าไง ใจหรือเปล่า"
"ใจอะไร"
"นี่เป็นข้อเสนอเดียว ที่ผมจะให้คุณได้ครับ...คุณปาริตา" แล้วเขาก็เข้าสู่โหมดคุยงานอีกหน เธอขมวดคิ้วครุ่นคิด...แบบไม่แน่ใจ
"แล้วจะไปสาธิตอะไรนี่ที่ไหน"
"แปลงสาธิตสิ"
"แล้วแปลงสาธิตมันอยู่ที่ไหนล่ะ"
"เดี๋ยวส่งวิธีการเดินทางไปให้"
"อย่าบอกนะว่าเป็นป่าเขา สถานที่ที่มันธุรกันดานอ่ะ" ปาริตาว่าอย่างขยาด คนรักความสะดวกสบายอย่างเธอ จ้างให้ตายก็ไม่มีวันจะไปทำอะไรแบบนั้นแน่นอน!!
"ผมอนุมัติ" ชาตรีบอสใหญ่ วางปากกาในมือลงพร้อมยิ้มกว้าง หลังจากที่ลูกน้องที่เขาฝากความหวังไว้ได้นำความสำเร็จมาสู่ รอยยิ้มจากริมฝีปากดำคล้ำ เผยฟันขาวขนเต็มปากทำเอาปาริตาแทบอยากจะร้องไห้
"บอสจะไม่ถามปริมหน่อยเลยเหรอคะ ว่าปริมจะไปทำอะไรแบบนั้นได้รึเปล่า" เธอส่งสายตาอ้อนวอนให้อย่างสุดฤทธิ์
"ผมเคยบอกคุณไปแล้วนะ เรื่องเคล็ดลับความสำเร็จ... ถ้าเจออะไรที่รู้สึกว่า ไม่! ให้ทำยังไง"
"ให้ถอย"
"ให้ลุุย!" เขาว่าพร้อมตบลงที่โต๊ะอย่างโมโห ที่ลูกน้องผู้แสนดื้อ มาแปลคำสอนของเขาไปอีกทาง
"แต่ว่าบอสก็รู้ว่าปริมไม่เคยไปใช้ชีวิตต่างจังหวัด แล้วแปลงสาธิตอะไรนั่นก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้ชีวิตอยู่ยังไงด้วย" เธออธิบายเสียงอ่อย ดวงตาวิตกกังวล
"ปริม...หัวใจของสื่ออย่างเราคืออะไร ถึงเธอจะไม่ใช่นักข่าว แต่การนำเสนอความจริง ในคอลัมน์ที่นำแต่สาระดีๆ มาฝากผู้คน มันยังเป็นความสุขสูงสุดอยู่ไหม" ปาริตาชะงักกับสิ่งที่บอสพูด ความจริงนี้เธอตระหนักอยู่กับตัวเองมาตลอด
"นี่แค่เป็นวิธีที่ต่างออกไป ที่จะได้มาซึ่งข้อมูลเท่านั้น มันไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย...เจตนาและจิตวิญญาณของเรายังเหมือนเดิม ฉะนั้น...ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวสักนิด" การปลุกพลังของบอส ทำให้เธอ สูดลมหายใจเรียกพลังฮึดสู้ ลืมใบหน้ายียวนและน้ำเสียงกวนหูของคนบางคนออกไปชั่วครู่ เธอจะต้องทำงานนี้ให้สำเร็จให้ได้!!
ปาริตานั่งอยู่ในร้านอาหารที่เธอจองไว้ เพื่อออกมาคุยรายละเอียดเรื่องงานกับคนที่เธอตัดสินใจว่าจะสัมภาษณ์ในแบบฉบับที่เขากำหนดซะด้วย
"นี่ผ่านไปตั้งสิบนาทีแล้ว ยังไม่มาอีก" เธอบ่นอุบพร้อมมองนาฬิกาข้อมือขนาดเล็กของตัวเองไปด้วย
แต่แล้วภาพผู้ชายร่างสูงผิวสีเข้มกร้านแดด ก็เดินมาในชุดกางเกงยีนส์สีซีดขาดเข่า เสื้อแจ๊คเก็ตยีนส์ที่ตัวสั้นจนเสื้อยืดตัวในโผล่พ้นออกมา บวกกับทรงผมยุ่งๆ ที่เรียบลู่แบบไร้ระเบียบ ทำเอาคนมองเขาเป็นตาเดียว
แต่คนที่ไม่ได้แคร์อะไร ก็เดินผิวปากเข้ามาอย่างอารมณ์ดี เขาหยิบดอกกุหลาบดอกเล็กที่ยัดใส่กระเป๋ากางเกงด้านหลัง มาแบบลวกๆ ยื่นมาตรงหน้าคนที่แทบอยากจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนี
การแต่งกายของเขา...ช่างไม่ให้เกียรติชุดเดรสสุภาพลุคคุณหนูที่หลุดออกมาจากดงผู้ดีของเธอเอาเสียบ้าง
"รับไปสิ เสียมารยาทนะถ้าไม่รับ" กิริยาถ่อยๆ ของเขานั้น มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เขาไม่เหมือนโจรห้าร้อย คือใบหน้าคมคร้ามที่ยังเปล่งประกายความหล่อเหลา
ความจริงข้อนี้ปาริตาก็รับรู้ได้ พอๆ กับพวกผู้หญิงที่กำลังมองมายังเขาแบบระริกระรี้ หากแต่เธอผู้รังเกียจเขา...ไม่ยอมรับในสิ่งที่เห็นเพราะยังมีกำแพงทิฐิสูงลิ่วอยู่!
"ผู้ชายอย่างนาย รู้จักด้วยเหรอคำว่ามารยาทน่ะ!" เธอหันไปรับดอกกุหลาบในมือเขามาแบบอยากให้มันจบๆ ไป แล้วเข้าเรื่องงานสักที โดยที่ไม่รู้เลยว่า...แววตายียวนเต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาด แท้จริงดอกไม้ที่เธอกำลังมองอย่างดูหมิ่นอยู่นี้ เขาปลูกเองกับมือ...แถมกำลังออกดอกบานสะพรั่ง
เขาเด็ดมันติดมือมาเพียงเพราะนึกถึงใบหน้าของคนที่เขาลงทุนขับรถมอเตอร์ไซค์ออกมาเจอ เขาขับจากบ้านมากรุงเทพหลายชั่วโมง โดยอ้างว่ายังอยู่ในกรุงเทพอยู่ เหตุผลที่ทำแบบนี้เขาเองก็ยังไม่ได้ถามตัวเองเลย
"รู้ใจอีกซะด้วย" เขาว่าเชิงแกล้งใส่ พร้อมมองประเมินคนแต่งกายอย่างเป็นทางการ เป็นเชิงล้อ
"มองอะไร!" เธอถลึงตาใส่ทันที
"มองคนไม่สวย"
"ตัวเองหล่อตายแหละ!"
"สั่งอะไรกินกันดีกว่าหิว ไม่มีแรงจะเถียง" เขาว่าพร้อมกระดิกนิ้วเรียกเด็กเสิร์ฟมาหา เธอส่ายหน้าให้กับกิริยาเหมือน จิ๊กโก๋ของเขา
"จะกินอะไรสั่งสิ" หลังจากสั่งของตัวเองเสร็จสิ้น เขาก็เอ่ยถามเธอบ้าง
"ฉันไม่หิว นายกินไปเถอะ" เขาพยักหน้าให้ แบบไม่คะยั้นคะยอต่อ
พอผ่านไปได้สักพักใหญ่ๆ ปาริตาก็เริ่มรู้สึกตงิด
"นี่จะคุยเรื่องงานได้หรือยัง?"
"เดี๋ยวๆ ขอเข้าห้องน้ำก่อน" เขาเงยหน้าจากอาหารที่เขากินแบบมูมมาม ก่อนยกน้ำขึ้นดื่มพรวดเดียวจากขวดแบบไม่เทใส่แก้ว ก่อนเรอ ออกมาเสียงดัง...จนเธออยากจะมุดตัวหลบลงใต้โต๊ะ
"อะไรอีก" เมื่อเธอกำลังจะอ้าปากเอ่ยเรื่องงานเมื่อเขาเดินกลับมา แต่ก็ถูกยกมือยับยั้งห้ามเอาไว้เสียก่อน
"ขอจิ้มฟันก่อน ติดฟันเต็มเลยเห็นไหม?" เขาว่าพร้อมยิงฟันใส่ จนเธอต้องห้ามปรามพร้อมยื่นทิชชู่ให้
"แล้วทำไมไม่จิ้มให้เรียบร้อยจากห้องน้ำ!"
"ฮะๆ ลืม" เขาตอบหน้าตาย พร้อมทำเหมือนจะดีดขี้ฟันใส่เธอ ปาริตาอยากจะร้องเต้นออกมาให้สุดพลัง นี่เขากำลังแกล้งเธออยู่...แล้วถ้าเธอยอมไปดูเขาสาธิตถึงที่จะต้องเจอกับอะไรอีกเนี่ย!
"ตกลง จะได้คุยมั้ยเรื่องงานวันนี้น่ะ" เธอว่าขณะเดินตามหลังเขาออกมาจากร้านอาหาร โดยเขาอ้างว่า...เขาจะมีอารมณ์คุยงานก็ต่อเมื่อได้ออกไปผ่อนคลายหลังรับประทานอาหารอิ่ม
"ได้คุยสิ ผ่อนคลายเสร็จคุยเลย" เขาตอบเมื่อเดินมาถึงบิ๊กไบค์คู่ใจ เธอมองพาหนะของเขาด้วยแววตาประหลาด
"นี่อย่าบอกนะ ว่าขับไอ้คันนี้มา?" เธอว่าเหมือนคนจะเป็นลม
"อื้อ ทำไมอ่ะ"
"แล้วมาชวนให้ฉันนั่งรถไปด้วยเนี่ยนะ?"
"ทำไมอ่ะ มันนั่งได้คุณ...คุณไม่เคยนั่งเหรอ มันก็คือมอเตอร์ไซค์ชนิดหนึ่ง" เขาว่าพลางขำ
"ฉันจะไปแท็กซี่!"
"ก็ได้ แต่ไม่รับประกันน้า...ว่าพี่จะไปถึงสถานที่เดียวกับที่นัดไว้หรือเปล่า" เขาบอกเล่าเหมือนกับกำลังขู่ ปาริตาสูดลมหายใจเข้านับหนึ่งถึงร้อย
"โอเค ถ้าไปถึงที่ผ่อนคลายที่นายว่า...แล้วยังไม่ยอมคุยงาน ฉันจะฆ่านาย!!" เธอว่าพร้อมหยิบหมวกกันน็อคที่เขายื่นให้มาสวมใส่ทันที เขามองตามเหมือนกำลังรู้สึกชนะ แปลกนี่เป็นการลงทุนแกล้งคน ที่เขารู้สึกสนุกและสดชื่นอย่างประหลาด
