บท
ตั้งค่า

บทที่ 7

บ่อยครั้งที่โบลีนอดคิดไม่ได้ ว่าความรักที่รอนมีต่องานฝีมือนั้น คือการเร้นกายเข้าไปหาความสุขในโลกของเธอแต่เพียงลำพัง ซึ่งอาจจะเรียกว่าเป็นความเห็นแก่ตัวก็ได้ เพราะมันเป็นโลกที่ไม่มีใครสามารถเข้าไปหาความสุขร่วมด้วยได้ ยิ่งกว่านั้นรอนก็ไม่เคยสนใจว่างานที่เธอสร้างขึ้นนั้นจะขายได้หรือไม่ ความสุขของเธอไม่ได้มาจากโลกภายนอก แต่จากโลกภายในโดยตรง แม้รอนจะไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย แต่โบลีนก็ยอมรับว่าเธออดอิจฉาในความสุขของเพื่อนสาวไม่ได้

และขณะนี้รอนกำลังกรายร่างไปทั่วห้องใต้หลังคา ที่กำลังได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นสตูดิโอของจอห์นในเร็ววัน โบลีนไม่ใคร่มั่นใจเท่าไรนัก เพราะรู้อยู่ว่าจิตรกรนั้นเป็นชีวิตที่มีแต่ความเสี่ยง แต่กระนั้นเธอก็ได้แต่หวังว่าจอห์นจะประสบความสำเร็จในชีวิต อย่างน้อยก็เพื่อเห็นแก่ความสุขของรอน เธอยังมองไม่เห็นภาพว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าจอห์นไม่ประสบความสำเร็จในงานที่เขารัก เขาเป็นคนที่ตกเป็นทาสอารมณ์เสียด้วย

“เฮ้..คุณสองคนขึ้นไปทำอะไรกันอยู่บนนั้นน่ะลงมาเสียทีสิ” เสียงจอห์นตะโกนเรียกมาจากเชิงบันได “ถ้าไม่ออกไปเดินเล่นตอนนี้ เดี๋ยวก็ไม่ได้ไปกันหรอก จะค่ำอยู่แล้วนะ”

“โอเค..”รอนตอบเสียงใส “เราจะลงไปเดี๋ยวนี้ละ” เธอเอื้อมไปปิดสวิทช์ไฟก่อนเดินนำไปยังบันได

ห้องใต้หลังคายังคงสว่างแม้ปราศจากแสงไฟฟ้า เหนือแผ่นกระจกร้าวคือท้องฟ้าสีครามใส

“นี่เป็นห้องที่น่าสนใจที่สุดเลยนะ” รอนจับแขนโบลีนพาเดินลงบันไดไปทีละขั้น “เธอว่าไหม..มันน่าสนใจจริงๆนะ”

“แล้วทำไมเธอไม่ยึดไว้เป็นห้องของตัวเองล่ะ?” โบลีนหันมาถาม “บ้านหลังนี้มีห้องใหญ่ๆอยู่ตั้งหลายห้อง”

“โอ..ไม่ละ นี่มันเป็นห้องใหญ่ที่สุดของบ้านอยู่แล้ว จอห์นเขาอยากได้ห้องกว้างๆจะได้ตั้งสามขาสำหรับขึงผ้าใบได้เต็มที่” เธอกวาดนิ้วขึ้นไปข้างบนให้โบลีนหันไปดูลังใส่ผืนผ้าใบขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้อง

หนุ่มสาวทั้ง 4 ขับรถออกไปจนถึงชายหาด จากนั้นก็ลงเดินรับลมกันไปเรื่อยๆ วันนั้นเป็นวันที่อากาศแจ่มใสมาก พื้นทะเลสีครามแต่งด้วยสีขาวผ่องของยอดเกลียวคลื่น พวกผู้ชายออกเดินนำหน้าในขณะที่ผู้หญิงทั้งสองเดินตามไปช้าๆ สนทนากันอย่างมีความสุข

จอห์นกำลังบรรยายให้เพื่อนรักฟัง ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เขากำลังจะทำให้เกิดขึ้นกับบ้านหลังนี้ นอกจากจะเพิ่มไฟแสงสว่างในห้องใต้หลังคาแล้ว ก็ยังจะปรับปรุงครัวให้ทันสมัยขึ้น รวมไปถึงการตกแต่งบ้านอด้วยองค์ประกอบใหม่ๆอีกหลายอย่าง เนื่องจากบ้านหลังนี้สร้างมาตั้งแต่ปีค.ศ.1820 เพราะฉะนั้นย่อมจำเป็นต้องซ่อมแซมปรับปรุงให้แข็งแรงขึ้น นอกจากนั้นจอห์นก็ยังคิดที่จะซ่อมแซมระเบียงชั้นบนเสียใหม่เพราะเก่าคร่ำคร่าเต็มที เกรงว่าถ้ารอนออกไปยืนอาจพลัดตกลงไปได้

“คุณนี่ดูจะสร้างความแปลกใจให้ผมตลอดเวลาเลยนะ” ไมค์กล่าว

“อ้าว..ทำไมล่ะ?” จอห์นถามปนหัวเราะ

“ก็อย่างเรื่องบ้าน ผมไม่เคยเห็นคุณสนใจกับเรื่องการซ่อมแซมบ้านช่องมาก่อนเลยนี่ มันก็เลยรู้สึกแปลกๆเวลาได้ยินคุณพูดเรื่องอย่างนี้”

ซึ่งมันก็เป็นความจริงเช่นนั้น เพราะตลอดเวลา 8 ปีที่อยู่ร่วมกันมา จอห์นกับรอนพำนักอาศัยอยู่ในอพาร์ตเม้นท์เล็กๆที่ทันสมัย บนถนนมาร์ลโบโร่ในบอสตัน รอนเปลี่ยนห้องนอนสำรองเป็นห้องเย็บผ้าสำหรับตนเอง แต่บ่อยครั้งที่เธอจะเปลี่ยนแปลงแต่งบ้านตามใจชอบ ขณะที่จอห์นไม่เคยให้ความสนใจกับเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้เลย ดังนั้นการที่เขามีจิตผูกพันกับบ้านหลังนี้ จึงนับเป็นความเปลี่ยนแปลงที่น่าแปลกใจอย่างยิ่งสำหรับผู้คุ้นเคยเช่นไมค์

แต่จอห์นก็มีความสามารถในการสร้างความแปลกใจให้เกิดขึ้นกับไมค์เสมออยู่แล้ว แม้ว่าจะสนิทกันมาตั้งแต่วัยเด็ก ถึงอย่างนั้นไมค์ก็ยังคงแปลกใจกับความคิดของเพื่อนได้เสมอๆ

อย่างเช่นเรื่องการแต่งงานกับรอนเป็นต้น ไมค์แทบไม่อยากเชื่อเลยเมื่อจอห์นขอแต่งงานกับรอน ไม่ใช่เป็นเพราะว่าไมค์ไม่ชอบเธอ เพราะความจริงแล้วเขาเกือบจะรักเธอเสียด้วยซ้ำ แต่รอนเป็นผู้หญิงที่มีรูปร่างสูงใหญ่ เมื่อเปรียบกับจอห์นแล้ว เขาแทบจะเป็นแค่เด็กหนุ่มทั้งที่จอห์นก็สูงตั้ง 5 ฟุตเท่ากับรอน เพียงแต่มีรูปร่างโปร่ง มือเท้ายาว ใบหน้าคมสันแบบสมัยเก่า เป็นที่ติดอกติดใจของเพื่อนหญิงมากหน้าหลายตา ออกเดทกับเพื่อนหญิงเหล่านั้นนับครั้งไม่ถ้วน แต่พอถึงตอนแต่งงานเข้าจริงๆ เขากลับเลือกที่จะแต่งกับรอนและคงความซื่อสัตย์ต่อเธอมาจนทุกวันนี้

ครั้งหนึ่งไมค์ได้แวะเข้าไปที่ทำงานของจอห์น เพื่อจะเอาเอกสารที่จอห์นลืมไว้เมื่อคืนก่อนให้ เลขานุการคนที่พาเขาไปพบจอห์นนั้น เป็นสาวสวยผมแดง มีรูปร่างชนิดที่ผู้จัดทำนิตยสารเพลย์บอยจะต้องชอบใจอย่างยิ่งถ้าได้เห็น หล่อนรายงานให้จอห์นทราบว่า ไมค์มาหาด้วยน้ำเสียงหวานปานหยาดน้ำผึ้ง และมองจอห์นด้วยสายตาถวิลหาจนไมค์แทบจะเกิดความกระสันขึ้นมา

“ให้ตายสิ ผมจะไม่ตำหนิคุณเลยจนนิดเดียวถ้าคุณจะมีความสัมพันธ์กับยายนั่น” ไมค์เอ่ยขึ้นทันทีที่เจ้าหล่อนลับกายไปพร้อมกับปิดประตูตามหลังลง

“หือ..ว่าไงนะ?” จอห์นเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะเขียนแบบช้าๆ

“ก็ยายนั่นน่ะสิ” ไมค์ย้ำ “พุทโธ่จอห์น แม้แต่นักบุญยังทำใจลำบากเลยนะ”

“คุณพูดเรื่องอะไรไม่เห็นเป็นเรื่องเลย ไอ้วันยังงั้นน่ะมันกลายเป็นอดีตไปหมดแล้ว เวลานี้เราเป็นผู้ชายที่แต่งงานแล้วนะ คุณลืมไปแล้วหรือไง ยิ่งกว่านั้นยายนั้นก็ยังเด็กออก”

“ผมว่าอย่างดีก็อ่อนกว่าคุณไม่เกิน 6 ปีหรอกน่า” ไมค์ว่า

“คงงั้นมั้ง แต่ผมว่าเราเลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่าไมค์ ผมไม่เคยคิดนอกใจรอนหรอก”

ไมค์เดาเอาเองว่าอาจจะเป็นเพราะงานที่ทำร่วมกันอยู่นั่นเอง ที่ทำให้จอห์นไม่อาจคิดไปในทางอื่นกับผู้หญิงที่ทำงานร่วมกัน ไมค์นั้นทำงานที่เกี่ยวข้องกับเอกสารอยู่ตลอดเวลา ต้องได้ยินได้ฟังว่าจากเสียดสีเย้ยหยันอยู่เป็นประจำ ได้พบเห็นแต่ผู้คนที่มีแต่ความตื่นกลัว เพราะฉะนั้นพอมาเจอสาวสวยเข้ามันก็ทำให้เขาลานตาลานใจได้เหมือนกัน

แต่สำหรับจอห์นที่ทำงานโฆษณาอยู่กับบริษัท เขาย่อมแวดล้อมอยู่แต่สิ่งสวยๆงามๆทั้งสิ้น นอกจากนางแบบสาวสวยแล้ว ก็ยังพวกสัตว์เลี้ยงสวยงามน่ารัก แม้แต่เครื่องจักรกลที่นำมาใช้ออกแบบโฆษณาก็ต้องเป็นชิ้นที่สวยงามด้วยเขาเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นจอห์นก็ย่อมเคยชินกับสิ่งสวยงามเป็นธรรมดาและไม่ได้ตื่นเต้นกับสิ่งต่างๆเหล่านี้เลย

เห็นได้ชัดว่าจอห์นจะต้องพบอะไรบางอย่างที่มีความเป็นพิเศษในตัวรอน เพราะไม่เพียงแต่เขาจะขอแต่งงานกับเธอเท่านั้น แต่ยังมอบความซื่อสัตย์ที่สุดชีวิตให้เธออีกด้วย ซึ่งทั้งสองมีชีวิตแต่งงานที่ราบรื่นเป็นสุขมาถึง 8 ปีแล้ว ไมค์มีความเชื่อว่าจอห์นพอใจแล้วกับความสุขที่เขาได้รับในชีวิตนี้

แต่บัดนี้เมื่อสองสามีภรรยาย้ายมาอยู่แนนทัคเกท ไมค์ก็ต้องแปลกใจอีกที่จอห์นยอมละทิ้งความสุขสนุกสบายทุกอย่าง แม้กระทั่งตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของบริษัท ที่สามารถทำเงินให้กับเขาได้อย่างมากมาย เพื่อมายึดอาชีพเป็นจิตรกรที่ยังไม่รู้ว่า อนาคตของตนเองจะเป็นอย่างไร

“ผมยังต้องการสิ่งที่มากกว่านี้ให้กับชีวิต” เสียงจอห์นพูดอยู่ข้างหู “ผมต้องการสิ่งที่จะมาช่วยบำรุงจิตวิญญาณของตัวเองด้วย อย่า..อย่าเพิ่งหัวเราะ จะเล่าให้ฟังว่า พอผมอายุ 30 ผมก็เริ่มคิดเรื่องนี้แล้ว คิดถึงว่าชีวิตที่ผมเป็นอยู่ทุกวันนี้มันล้วนแต่เป็นของปลอมทั้งนั้น ที่ผมได้รับความชื่นชมหาเงินหาทองได้ ก็เพราะนั่งเขียนแต่แบบอยู่กับคอมพิวเตอร์ ซึ่งมันไร้ค่าที่สุด ผมยังต้องการอะไรที่มากกว่านั้น อะไรก็ได้ที่มันจะทำให้ชีวิตผมร่ำรวยขึ้น ซึ่งคำว่า”ร่ำรวย”ในที่นี้ ผมไม่ได้หมายถึงความร่ำรวยเงินทองอย่างที่ใครๆเขาคิดกัน”

“แต่ความร่ำรวยด้วยเงินทองมันก็ไม่เลวนักไม่ใช่หรือ?” ไมค์ต้องพูดเสียงดังแข่งอยู่กับเสียงคลื่นลม เขากับจอห์นเคยถกเถียงเรื่องนี้กันมาจนนับครั้งไม่ถ้วน โดยเฉพาะเมื่อจอห์นมองไม่เห็นความสำคัญของเงินและไมค์ก็มักจะเตือนว่า การที่จอห์นสามารถพูดอย่างนั้นได้เพราะเขามีเงินล้นเหลืออยู่แล้ว ก็เงินมรดกที่พ่อแม่รอนทิ้งไว้ให้นั่นแหละ

แต่จอห์นจะถือว่าการที่ไมค์พูดอย่างนั้นเท่ากับเป็นการดูถูกเขาอย่างแรง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel