บทที่ 6
รอนกับโบลีนยืนอยู่ด้วยกันตรงหน้าต่างห้องใต้หลังคา ทอดสายตามองทัศนียภาพของอ่าวแนนทัคเกทเบื้องล่างด้วยความชื่นชม
“ถนนสายนี้นะ” รอนเอ่ยขึ้น “ปัจจุบันมันชื่อออเรนจ์ สตรีท แต่สมัยก่อนเขาเรียกว่าซอยกัปตัน สมัยที่ชาวเกาะยังมีอาชีพล่าปลาวาฬ คือภรรยาของพวกกัปตันเรือล่าปลาวาฬทั้งหลายจะออกไปยืนตรงระเบียงที่เรียกว่าระเบียงแม่ม่าย รอดูว่าเมื่อไหร่เรือจะเข้าเทียบท่า..”
“ส่วนถนนสายต่อไปที่ลงจากเนินเขานั้นสมัยก่อนเขาเรียกว่าซอยต้นหน คือบางครั้งคนที่เป็นสามีก็จากบ้านเรือนไปครั้งละ3-4ปี คิดดูก็แล้วกันว่ามันจะเป็นยังไงบ้าง แล้วพอเดินทางกลับมา บางครั้งก็ยังต้องติดอยู่ที่สันดอนถ้าน้ำไม่สูงพอที่จะเอาเรือผ่านเข้ามาได้ พวกภรรยาก็จะขึ้นไปยืนรอกันอยู่ที่ระเบียบแม่ม่ายนั่นแหละหรือไม่ก็จะยืนอยู่ที่หน้าต่างแบบนี้ รอคอยเรือที่จะแล่นเข้าฝั่ง”
“ถ้าเป็นฉันเห็นจะรอไม่ไหวแน่” โบลีนร้องออกมามือทั้งสองประคองอยู่ตรงหน้าท้อง เนื่องจากขณะนี้ครรภ์แก่ถึง 7 เดือนแล้ว ไม่อาจเข้าไปยืนชิดหน้าต่างเหมือนรอนได้ “ฉันอยากรู้จังว่าผู้หญิงพวกนั้นเขาทนกันได้ยังไง ถ้าเป็นฉันคงบ้าแน่”
“ถ้าพวกเธอไม่บ้าก็อาจมีความสัมพันธ์กับคนสวนบ้างก็ได้นี่” รอนพูดปนหัวเราะ
“นั่นสิ หรือไม่ก็อาจมีกันเองไปเลยอะไรทำนองนั้น” โบลีนหัวเราะคิกคัก
“พวกนี้..เท่าที่ฉันได้ยินมาเขาต้องอาศัยยาเสพย์ติดชนิดหนึ่งที่เข้าฝิ่นด้วยนะ”รอนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าของบ้านเป็นคนเล่าให้ฉันฟัง ซึ่งฉันก็ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่หาทางแก้กลุ้ม แต่พอสามีกลับมาก็เอาทรัพย์สินเงินทองติดตัวมาด้วย แล้วก็ยังพวกสมบัติที่มีค่าอย่างพวกเครื่องเงิน เครื่องลายคราม งาช้าง ผ้าไหมและอะไรอีกมากมาย”
“โอย ลืมเรื่องนั้นไปได้เลย” โบลีนว่า “ฉันต้องการตัวไมค์มานอนอยู่ข้างตัวทุกคืนอย่างเดียวก็พอแล้ว นั่นแหละสมบัติที่มีค่าของฉัน”
“ก็ไม่เชิงนะ” รอนยิ้มราวมีเลศนัย พร้อมกับเหลือตามองท้องของโบลีน
“แล้วเธอล่ะ?” โบลีนเบือนจากหน้าต่างมาพิงผนังบ้านแทน เพื่อจะได้มองเพื่อนสาวได้เต็มตา แต่แล้วก็ต้องถอนใจออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อน ยิ่งครรภ์แก่ขึ้นเท่าไร อาการเช่นนี้จะเกิดขึ้นบ่อยครั้งมาก “รอน เวลานี้เธอก็อายุตั้ง 30แล้วนะ ถ้าเธอจะมีลูก..”
“ยังมีเวลาอีกถมไป” รอนแนบใบหน้าอยู่กับกรอบหน้าต่าง ทอดสายตาเหม่อมองพื้นน้ำสีครามในเวิ้งอ่าวที่ขณะนี้ปะดับอยู่ด้วยใบเรือสีขาว “จอห์นเขาขอเวลาทำงานอย่างเต็มที่สัก 5 ปี มันเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับชีวิตของเขานะโบลีนและเป็นจุดประสงค์ใหญ่ที่ทำให้เราย้ายมาอยู่ที่นี่ด้วย เธอก็รู้นี่”
“ตั้ง 5 ปี” โบลีนทอดถอนใจออกมาอีกครั้ง “ตอนนั้นเธอก็อายุตั้ง 35 เข้าไปแล้ว”
“สมัยนี้ใครๆเขาก็มีลูกช้ากันทั้งนั้นละน่า เพราะฉะนั้นฉันไม่เห็นแปลกตรงไหนเลย ที่ฉันจะลงมือตั้งท้องเมื่ออายุ 35”
“ก็คงจริงละมัง” โบลีนพูดอย่างอ่อนใจ
“โธ่เอ๊ย ที่เธออยากเห็นใครๆเขาท้องก็เพราะเธอกำลังท้องเท่านั้นละน่า” รอนหัวเราะออกมาเบาๆ “อย่าคิดมากไปหน่อยเลยโบลีน “ถึงยังไงฉันกับจอห์นก็ต้องมีลูกแน่ เพราะฉันอยากมีและเขาก็อยากมีเหมือนกัน แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ ว่าตอนนี้เขาอยากทำงานก่อนและเธอก็รู้นี่วาฉันต้องเลือกอะไรก่อน” เธอหยุดเว้นระยะ ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ฉันอยากเห็นจอห์นมีความสุขนะโบลีน อยากให้ชีวิตแต่งงานของเราราบรื่นมีความสุข ซึ่งเราก็มีความสุขด้วยกันมากตลอด 8 ปีที่ผ่านมา คิดดูสิโบลีนว่าฉันโชคดีมากแค่ไหน ที่ถึงจะแต่งงานมาตั้ง 8 ปีแล้วก็ยังมีความสุขกับจอห์นขนาดนี้ ก็เหมือนเธอกับไมค์นั่นแหละ เธอแต่งงานมา 6 ปีแล้วใช่ไหม เออ..พูดถึงเรื่องสมบัติล้ำค่าอะไรนั่น ฉันว่าชีวิตแต่งงานที่มีความสุขมันก็เป็นสมบัติล้ำค่าในชีวิตผู้หญิงเราเหมือนกันนะ”
“ใช่ เธอพูดถูกแล้วละ เราสองคนโชคดีมาก โชคดีมากจริงๆ”
“แล้วเธอมองดูบ้านหลังนี้สิ” รอนเดินกางแขนไปรอบๆห้อง “นี่น่ะมันเป็นสวรรค์สำหรับจอห์นทีเดียวนะโบลีน เขาเหมาะที่จะนั่งทำงานในบ้านหลังนี้อย่างที่สุด ตรงผนังนั่นเขาบอกว่าจะต้องเพิ่มไฟแสงสว่างซึ่งก็เป็นธรรมดา แต่ทั้งพื้นที่ทั้งวิวทิวทัศน์นั่น..”
โบลีนประคองครรภ์ไว้ จับตามองตามรอนขณะที่เธอเคลื่อนร่างไปรอบๆห้องใต้หลังคา ที่มีพื้นที่กว้างขวางด้วยสายตาพิจารณา
รอนเป็นผู้หญิงร่างใหญ่ แต่ท่าทางสง่างามและมีความเป็นผู้หญิงเต็มตัว รูปร่างที่ได้รับการบริหารสม่ำเสมอทั้งจากการเล่นเทนนิส ว่ายน้ำ ทำให้สมสัดส่วนอย่างยิ่ง ท่าทางที่เดินเหินกรีดกราย ราวมองไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องทำอะไรรีบร้อนเลยในชีวิตนี้
โบลีนอดคิดไม่ได้ว่า รอนมีใบหน้าเหมือนพวกมิดเวสเทิร์น คือเปิดเผย จริงใจ ประกอบด้วยดวงตาสีฟ้าใส ผิวขาวผ่องแกมชมพู เป็นใบหน้าแบบที่เครื่องสำอางไม่อาจช่วยเพิ่มความสวยได้ แต่ขณะเดียวกัน แม้จะไร้เครื่องสำอางก็ไม่ได้ทำให้ใบหน้าลดความสวยลงเช่นกันไม่ว่าจะเป็นยามไหน รอนก็ยังคงความสวยสดชื่นอยู่ได้ตลอดเวลา เรือนผมสีทองสยายยาว แต่วันนี้รอนรวบเกล้าเป็นมวยไว้ตรงท้ายทอย โบลีนยอมรับว่าเธอมีความชื่นชมในตัวเพื่อนสาวยิ่งนัก
โบลีนกับรอนรู้จักกันเมื่อ 8 ปีก่อนก็จริง แต่ไมค์สามีของเธอนั้นเป็นเพื่อนกับรอนมาตั้งแต่วัยเด็ก และยังเข้ามหาวิทยาลัยพร้อมกันอีกด้วย ความสนิทสนมระหว่างเธอกับเพื่อนสาวเริ่มขึ้น เมื่อไปพบกันที่น้ำพุร้อนในบอสตัน
ตอนนั้นสองสาวเช่าห้องอบไอน้ำร่วมกันโดยผลัดเปลี่ยนกันใช้เมื่อเธอกลับเข้ามาเตรียมตัวอาบน้ำและผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว รอนก็เดินเข้ามาด้วยเรือนร่างเปลือยเปล่าเป็นสีชมพูไปทั้งตัว สดชื่นจากการอบไอน้ำ
“คุณพระช่วย..!” โบลีนถึงกับอุทานออกมา “เดี๋ยวนี้ฉันไม่แปลกใจแล้วละว่าทำไมจอห์นเขาถึงรักเธอนัก เธอเหมือน..เหมือนนางไม้..อะไรทำนองนั้นแหละ”
ซึ่งรอนก็เหมือนนางไม้จริงๆเสียด้วย เวลาที่มีเสื้อผ้าสวมปิดบังเรือนกาย เธอก็เป็นผู้หญิงที่สวยเรียบๆคนหนึ่ง แต่ในยามนี้ทุกสัดส่วนบนเนื้อตัวรอน บ่งบอกถึงความเป็นสาวพริ้งเต็มตัว คำพูดของโบลีนทำให้รอนอดยิ้มไม่ได้ สีหน้าของเธอดูขัดเขินอยู่บ้างแต่ก็น่ารัก
“ฉันอยากให้จอห์นแค่ชอบฉันเท่านั้นก็พอแล้ว”
“แต่..แต่..ทำไมเธอถึงได้มีท่าทางสบายอกสบายใจมากมายขนาดนี้ล่ะ..ฉันหมายถึงว่า สำหรับตัวเองแล้วฉันมักจะเป็นห่วง ว่าฉันอ้วนไปหรือว่าผอมไปหรือเปล่าอะไรทำนองนั้น”
“แหม..แต่เธอก็สวยมากนะโบลีน”รอนพูดขณะเดินเข้าไปใต้ฝักบัว
“เอ้อ..เรื่องนั้นฉันก็พอจะรู้อยู่หรอกนะ..” โบลีนจำได้ว่าเธอตอบออกไปอย่างนั้น “แต่ถึงยังไงมันก็มักจะห่วงโน่นกังวลนี่อยู่ดีนั่นแหละ เธอไม่เคยรู้สึกอย่างนั้นบ้างเลยหรือไง?”
“ก็เคยห่วงอยู่เหมือนกัน” รอนตอบหลังจากใช้ความคิดอยู่เป็นครู่ “แต่ตอนนั้นมันก็สมัยยังเป็นวัยรุ่นอยู่ ตอนนั้นนะโบลีนฉันรูปร่างทั้งสูงทั้งใหญ่ น่าจะเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิงด้วยซ้ำ แถมยังชื่อวิลเฮมมิน่าอีกด้วย กว่าฉันจะทำใจให้ชินกับรูปร่างและชื่อตัวเองได้ก็หลายปีอยู่เหมือนกัน แต่มาถึงตอนนี้ฉันไม่คิดถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว นับแต่วันที่ฉันแต่งงานกับจอห์นเป็นต้นมา ฉันพอใจกับความเป็นตัวของฉันเองมาก แล้วจอห์นเองเขาก็..พอใจในตัวฉันด้วย” รอนพูดปนหัวเราะ
นั่นคือความลับประการแรกที่รอนเปิดเผยให้โบลีนฟังด้วยน้ำเสียงที่สงบราบเรียบอย่างผู้มีความสุขแท้จริง ไม่ได้เดือดร้อนกับความคิดเห็นของใครอื่นแม้แต่น้อย
ส่วนความลับประการที่ 2ของรอนที่โบลีนมารู้ในภายหลังก็คือ เธอเป็นผู้หญิงที่มีฝีมือในงานเย็บปักถักร้อยอย่างหาใครเปรียบได้ยาก
โบลีนแทบจะมองไม่เห็นภาพที่ผู้หญิงร่างใหญ่ มือไม้ดูใหญ่โตเช่นรอนจะจับเข็ม ด้ายและทำงานฝีมือได้อย่างละเอียดประณีตถึงเพียงนั้น มันน่าตลกสำหรับสายตาของผู้อื่น แต่รอนไม่เคยแคร์ความคิดหรือความรู้สึกของใครที่มีต่อเธอในเรื่องนี้
หลายครั้งที่โบลีนแวะไปเยี่ยมเยียนและได้พบรอนหมกมุ่นอยู่กับงานฝีมือที่เธอรัก โบลีนมักจะต้องยืนคอยอยู่ตรงหน้าประตูครั้งละนานๆ เพราะรอนนอกจากจะเพลิดเพลินกับงานในมือแล้ว ก็ยังฟังเพลงไปพร้อมกันอย่างมีความสุข และเพลงที่เธอเลือกฟังก็มักจะเข้ากับลวดลายที่เธอออกแบบปัก ดังนั้นรอนจึงแทบไม่เคยสังเกตเห็นใครที่เข้ามายืนอยู่ใกล้ตัวแม้แต่โบลีนก็ตาม จนเมื่อโบลีนกระแอมให้เสียง นั่นแหละรอนจึงจะเงยหน้าขึ้นจากสะดึง
“โบลีน..” รอนจะร้องทักทายด้วยน้ำเสียงปราโมทย์ “ต๊าย..ดีใจจังที่เธอมาเยี่ยม ฉันน่ะนั่งหลังขดหลังแข็งมานานแล้ว เข้ามาเลย มากินน้ำชากันก่อน”
