ตอนที่ 7 หมดเวลาของการอ่อนแอ
เมื่องานเลี้ยงเลิก เหล่าบรรดาขุนนางและฮูหยินที่เข้ามารับตำแหน่งพร้อมกันในวันนี้ก็เริ่มทยอยกลับ เว่ยหยางรู้สึกว่าหลินอิงเงียบลงผิดปกติ นางไม่ถามเขาเลยสักคำ ตลอดเวลาที่เดินออกมาจากห้องโถงงานเลี้ยงและส่งนางขึ้นรถม้า
“เจ้ากลับไปที่จวนก่อน ข้าจะแวะไปที่ค่ายนอกเมือง”
นางเพียงแค่พยักหน้ารับรู้ และเดินเข้าไปในรถม้าอย่างว่าง่าย หลิวเว่ยหยางเองก็มิได้สงสัยอะไร เพราะเดิมทีเขาก็ไม่ได้สนใจว่านางจะรู้สึกเช่นไรอยู่แล้ว จึงไม่ได้รู้สึกผิดสังเกตแต่อย่างใด เพียงแค่ก่อนหน้านี้เขาเห็นนางพูดมากกว่านี้เท่านั้นเอง
จวนแม่ทัพ
“คุณหนู เหตุใดท่านกลับมาจากวังหลวงก็ไม่พูดอะไรเลยเล่าเจ้าคะ”
“ผิงเพ่ยเจ้าเอาเงินนี่ไป แล้วไปสืบให้ข้าทีว่าตอนนี้ท่านแม่อยู่ในจวนสกุลเมิ่ง มีความเป็นอยู่อย่างไรบ้าง”
“เหตุใดจู่ ๆ ท่านก็นึกสงสัยขึ้นมา หรือว่าในวังวันนี้มีอะไรเกิดขึ้นหรือเจ้าคะ”
“ไม่มีอะไรหรอก ข้าก็แค่คิดถึงท่านแม่เท่านั้น อยากรู้ว่าฮูหยินใหญ่กับท่านพ่อ จะทำตามที่รับปากข้าอยู่หรือไม่”
“เช่นนั้นข้าจะรีบไปสืบจากคนที่ทำงานในจวนดูเจ้าค่ะ ข้ารู้จักพวกนางหลายคนในครัวที่พอจะใช้เงินได้”
“รีบไปรีบกลับ”
“เจ้าค่ะ”
วันนี้หลินอิงรู้สึกว่านางโตขึ้นกว่าเมื่อก่อนแล้ว หลังจากที่ได้รู้ว่าเบื้องหน้าของแต่ละคนที่ฉาบสิ่งสวยงามเอาไว้ แต่เบื้องหลังกลับเน่าเฟะจนมิอาจคาดเดา นางไม่อยากทนอยู่ในที่ที่ไม่มีใครเห็นคุณค่า และไม่ต้องการเป็นกาฝากในชีวิตผู้อื่น แม้ว่าตอนนี้จะขึ้นชื่อว่าเป็นหญิงที่แต่งงานแล้ว แต่กฎหมายของต้าเฟิงไม่มีข้อใดห้ามสตรีหย่าสามีได้
“หมดเวลาของเด็กน้อยไร้เดียงสาแล้ว นับจากนี้ไปข้าจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาบงการชีวิตนี้อีก”
สองวันถัดมา
วันนี้นางกับผิงเพ่ยรดน้ำแปลงผักเสร็จแล้ว ก็ออกมาเก็บของข้างในห้องและจัดให้เข้าที่ แม้ว่าจะมิได้อยู่เรือนใหญ่ แต่ท่านแม่ทัพก็มิได้ให้พวกนางขาดแคลนเงินและอาหาร
“ฮูหยิน นี่เป็นเงินเดือนที่ท่านแม่ทัพให้นำมามอบให้ท่านเจ้าค่ะ”
“เงินเดือนของท่านแม่ทัพ แล้วมาให้ข้าทำไมกัน”
สาวใช้หันมามองหน้านางด้วยความแปลกใจ หลินอิงนึกขึ้นมาได้ว่าบัดนี้นางคือฮูหยินในจวนแม่ทัพ จึงได้รีบหันไปยิ้มให้กับสาวใช้ท่าทางเป็นมิตรผู้นั้นอีกครั้ง
“เอ่อ ขอบใจเจ้ามากที่เอามาให้ข้า เจ้า…”
“ข้าชื่อเย่าชิงเจ้าค่ะ ที่จริงข้าเป็นคนเสนอตัว เพื่อนำเงินนี้มาให้ฮูหยินด้วยตัวเอง ใต้เท้าผู้ดูแลบัญชีก็เลยอนุญาต”
“ทำไมเจ้าถึงอยากมาที่นี่กันเล่า”
“ข้าเคยได้ยินเสียงพวกท่านคุยกัน แล้วก็เห็นพวกท่านทำสวนและทำขนมดูน่าสนุก ก็เลย…”
หลินอิงหันมายิ้มกับเย่าชิงที่พูดอย่างอาย ๆ จึงหันไปหาผิงเพ่ยเพื่อให้นางช่วย ผิงเพ่ยจึงดึงนางมานั่งข้าง ๆ ทันที
“นี่เย่าชิง หากว่าเจ้าอยากจะมาที่นี่ก็มาได้ทุกเมื่อ คุณหนูไม่สิฮูหยินไม่ว่าอะไรเจ้าหรอก นี่ลองชิมขนมดูสิ วันนี้ข้าทำขนมถั่วเขียวต้มน้ำตาลเจ้าลองดูว่าอร่อยหรือไม่”
"ข้ากินได้หรือเจ้าคะ"
“ได้สิ ข้าทำเอาไว้เยอะเลย”
“ถ้าอย่างนั้น…”
“กินเถอะ หากไม่พอเจ้ากับผิงเพ่ยก็ไปตักมาเพิ่ม ข้าจะรีบเอาเงินนี้ไปเก็บก่อน”
“ขอบคุณฮูหยินเจ้าค่ะ”
หลินอิงนำเงินที่ได้มาจากเย่าชิงเข้ามาเก็บในเรือน เมื่อนางเปิดดูก็พบว่าเงินนั้นไม่น้อยเลย
“ห้าร้อยตำลึง เงินเยอะขนาดนี้ให้ข้าหมด แล้วเขาจะใช้อะไรเล่า หรือว่ายังมีเงินอย่างอื่น”
หลังจากนั้นหลินอิงจึงสอบถาม เรื่องเกี่ยวกับแม่ทัพหลิวผ่านเย่าชิงที่มาอยู่กับพวกนางตลอดทั้งช่วงเช้า จึงรู้ว่าก่อนหน้านี้ แม่ทัพหลิวผู้เฒ่าบิดาของหลิวเว่ยหยาง เป็นพระอนุชาของฮ่องเต้ แต่เพราะไม่อยากทำให้ฝ่าบาทและเหล่าองค์ชายบางคนทรงระแวง และต้องรักษาบุตรคนสุดท้ายของสกุลหลิวเอาไว้ เขาจึงไม่รับตำแหน่งอ๋องต่อจากบิดา
“เจ้าเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับ… สตรีอื่นหรือไม่เย่าชิง”
“สตรีอื่นหรือเจ้าคะ เรื่องนี้… ข้าน่าจะมาไม่ทันเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นหรือ ไม่เป็นไรหรอก”
ไม่นานพวกนางก็ช่วยกันเก็บของที่เรือน เย่าชิงเล่าว่านางมาอยู่ที่จวนแม่ทัพได้เพียงสองปีเท่านั้น เรื่องก่อนหน้านี้ไม่ทราบอะไรมาก ส่วนเรื่องเกี่ยวกับในจวนล้วนแต่มีคนเล่าให้ฟัง
“อย่างน้อยเราก็ได้รู้ว่า ที่จวนนี้ไม่มีใครรังเกียจเรานะเจ้าคะคุณหนู”
“จะมีได้เช่นไร ฮูหยินนอกจากไม่วางอำนาจ ไม่สร้างความวุ่นวายแล้ว ยังมีน้ำใจและยังอยู่เงียบ ๆ พวกข้าหลายคนนึกอยากจะมา แต่ก็กลัวว่าท่านจะต่อว่า อีกอย่างก่อนหน้านี้…”
“ท่านแม่ทัพสั่งมิให้ผู้ใดมายุ่งกับข้าสินะ”
เย่าชิงรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ก็ต้องพยักหน้ารับ
“เจ้าค่ะ แต่ที่จริงข้าอยากจะมานานแล้ว”
“เหตุใดตอนนี้เขาถึงไม่ว่าแล้วเล่า”
“เมื่อวานนี้ท่านแม่ทัพ เรียกสาวใช้มาและถามว่ามีใครอยากจะมาดูแลฮูหยินที่นี่บ้าง มีหลายคนที่อยากจะมาเจ้าค่ะ แต่ข้าโชคดีเพราะคนอื่น ๆ มีหน้าที่ของตัวเองดูแล พ่อบ้านจิ่วเลยให้ข้ามา ข้าดีใจมากเลยเจ้าค่ะ”
“เป็นแบบนี้เองหรอกหรือ เช่นนั้นขอต้อนรับอย่างเป็นทางการนะเย่าชิง จากนี้เรื่องในเรือนนี้ก็ฝากเจ้ากับผิงเพ่ยดูแลด้วย”
“ได้เจ้าค่ะ ข้าจะทำให้เต็มที่”
“ขอบใจมาก”
พวกนางทั้งสามคนนั่งคุยกันในสวน ไม่นานพ่อบ้านของแม่ทัพ ซึ่งนามว่า “จิ่วหลง” ก็เดินเข้ามาหา
“ฮูหยินขอรับ”
“พ่อบ้านจิ่ว มีอะไรงั้นหรือเหตุใดจู่ ๆ มาหาข้าที่นี่”
“เอ่อ… ท่านพ่อของท่านมาเยี่ยมขอรับ”
หลินอิงหันมามองหน้าผิงเพ่ย สายตาของนางแข็งกร้าวขึ้นทันทีเมื่อรู้ว่าผู้ใดมาหาที่จวน แม้แต่พ่อบ้านจิ่วเองก็กระอักกระอ่วนที่จะบอกนางเช่นกัน
“เช่นนั้นข้าจะไปพบเขาได้ที่ใด”
“ตอนนี้ข้าน้อยให้รออยู่ที่ห้องโถงเล็กขอรับ ฮูหยินจะไปพบพวกเขาเลยหรือไม่”
“พวกเขางั้นหรือ”
“ขอรับ นายท่านเมิ่งมากับฮูหยินขอรับ”
“ขอบคุณมากพ่อบ้านจิ่ว อีกเดี๋ยวข้าออกไปหาพวกเขาเอง”
“ขอรับ”
“คุณหนูเจ้าคะ”
“ไปเถอะ ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วนี่ เย่าชิงเจ้าอยู่ที่นี่ก่อน ไม่ต้องไปหรอก”
“เจ้าค่ะฮูหยิน”
นางกับผิงเพ่ย เดินไปที่ห้องโถงเล็กตามที่พ่อบ้านจิ่วบอก เมื่อเดินเข้ามาก็พบกับบิดาและฮูหยินใหญ่นั่งรออยู่ด้านใน ท่าทางของผู้เป็นบิดาดูร้อนรน ส่วนฮูหยินใหญ่ยังมีสีหน้าวางท่าและนั่งรอนิ่ง ๆ
“คารวะท่านพ่อ ท่านแม่”
“กว่าจะออกมาได้ ข้านึกว่าต้องให้คนเชิญเกี้ยวไปรับมาเสียอีก”
“ฮูหยินอย่าพูดมาก อิงเอ๋อร์เจ้ามาก็ดีแล้วนั่งก่อนสิ นั่งก่อน ๆ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ได้ข่าวว่าเข้าวังไปรับตราตั้งมาแล้วมิใช่หรือ”
นี่คือคำถามแรกของผู้เป็นบิดาถาม เมื่อเขาพบหน้าครั้งแรกหลังจากที่ส่งนางมาที่จวนแม่ทัพ พ่อบ้านจิ่วเห็นว่าไม่มีอะไรจึงได้เดินกลับออกไป ฮูหยินใหญ่เมื่อเห็นเช่นนั้น ก็รีบเดินมาและดึงแขนนางขึ้นมาทันที
“นางตัวดี! ที่ข้ากับพ่อของเจ้ารีบมาที่นี่ ก็เพื่ออยากจะรู้ว่าเจ้าไปก่อเรื่องอะไรในวังมาจนเกือบจะถูกยึดตราตั้งนั้นคืน!”
“ฮูหยิน เจ้าสำรวมหน่อยที่นี่เป็นจวนแม่ทัพนะ”
"หวังอี้จิงหันมามองหน้าหลินอิง ด้วยความเกลียดอย่างที่สุดและรีบสะบัดมือที่จิกเข้าไปในแขนของนางออกอย่างแรง
“โอ๊ย!”
“คุณหนูเจ้าคะ”
หลินอิงหันไปมองบิดาและฮูหยินใหญ่ ที่ยืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
“ที่แท้พวกท่านก็มาที่นี่เพื่อสิ่งนี้จริง ๆ”
“อิงเอ๋อร์ ในเมื่อเจ้าได้รับแต่งตั้งมาแล้ว ก็จงรีบเอาตราตั้งมาให้พ่อเถอะ จะได้รีบเอาไปไว้ที่ร้านเพื่อให้ทุกคนได้เห็นว่า ร้านของเรามีฮูหยินตราตั้ง การค้าของพ่อในหอการค้า และท่าเรือจะได้ทำได้สะดวกขึ้น”
หลินอิงหันมามองหน้าบิดา ที่เห็นเพียงการค้าเท่านั้นที่สำคัญที่สุด เขาต้องการตราตั้ง เพื่อจะให้หอการค้ายอมเปิดเส้นทางการค้าทางเรือ จะได้ทำเงินเข้าสกุลเมิ่ง
“อิงเอ๋อร์ ว่าอย่างไรไหนเล่าตราตั้งนั่น”
“ท่านพ่อ ก่อนที่ข้าจะแต่งเข้ามาที่จวนแม่ทัพแห่งนี้ พวกท่านรับปากข้าว่าจะย้ายท่านแม่ไปเรือนพักใหม่ และหาหมอชั้นดีมารักษาให้แม่ของข้า พวกท่าน… ทำแล้วหรือยังถึงได้กล้ามาหาข้าถึงที่นี่”
