แปด
นางถูกเขาโยนออกมา
ภายในกระโจมพักของเหวินเจี๋ยไม่ต่างจากเดิมมากนัก เพียงแต่ดูเหมือนไม่มีคนใช้งานมาสักพักแล้วเท่านั้น ทว่ามองสำรวจได้ไม่เท่าไหร่ก็ถูกน้ำเสียงดุดันของเจ้าของกระโจมเอ่ยทักเสียก่อน
“เจ้ารู้อันใดบอกมาให้หมดอย่าได้รีรอให้เสียเวลา”
“ขะข้า...เอ่อ...” นอกจากการรับรู้เรื่องจริงที่เกิดขึ้นในฐานะฉินหลิงนางก็ไม่รู้อันใดอีกแล้ว จะให้บอกไปลอยๆใครจะเชื่อกันเล่า
“...” ความเงียบของจื่อเหยาเหมือนไปกระตุ้นก้อนเมฆบนท้องฟ้าที่กำลังตั้งเคล้าให้กลั่นกลายเป็นห่าฝน จื่อเหยาเม้มปากอย่างคนถูกกดดันอันเป็นนิสัยที่ไม่ว่าชาติใดนางก็แก้ไม่ได้เสียที
ท่าทีนี้ทำให้คนมองรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้สึกเหมือนว่าสตรีที่เขาไม่เคยสนใจตรงหน้ากำลังเรียกร้องความสนใจของเขา ครานี้นางถึงกลับดึงเรื่องอื่นมาเพื่อประโยชน์ส่วนตน เขาไม่รู้ว่านางรู้เรื่องเกี่ยวกับฉินหลิงได้อย่างไร แต่มันทำให้เขารู้สึกเลือดขึ้นหน้าขบกรามแน่นอย่างคนอดทนจนถึงที่สุดแล้ว
“ตอนนี้ข้ายังไม่มีหลักฐานแน่ชัดบอกไปท่านก็อาจไม่เชื่อข้า อย่างไรรบกวนท่านแม่ทัพพาข้าไปดูศพของแม่นางฉินหลิงก่อนข้าถึงจะบอกได้อีกที ท่านคงยังไม่เผาศพของนางไปแล้วกระมัง?”
สายตาที่ตอบโต้มาของเหวินเจี๋ยทำให้จื่อเหยารู้สึกขนลุกทั่วกาย นางมองบุรุษสูงใหญ่ที่ตนเคยติดตามเขาอยู่ข้างหลังเสมอแต่ตอนนี้นางได้ประจันหน้ากับเขาราวเราทั้งสองเป็นศัตรูกัน เขาเดินเข้ามาใกล้นางขึ้นเรื่อยๆ พอจื่อเหยาไม่ถอยหนีระยะห่างระหว่างเราก็ลดน้อยลงจนห่างเพียงหนึ่งช่วงแขนเท่านั้น
“วันนี้ท่านหญิงเช่นเจ้าเล่นสนุกพอแล้วกระมัง ได้เวลากลับไปพักแล้ว!”
สิ้นคำพูดของเหวินเจี๋ย จื่อเหยาก็ถูกเขาเหวี่ยงร่างออกนอกกระโจมทันใด นางมองผ้าปิดกระโจมที่ถูกปลดลงพร้อมทหารเฝ้ายามยืนขวางไว้อย่างหมดหวัง
นอกจากจะถูกโยนออกมาอย่างกับหมูกับหมาแล้ว เรื่องที่นางอยากจะพูด อยากจะให้เขาช่วยพิจารณาเรื่องมอบอำนาจดูแลจวนให้นางก็ยังไม่ทันเอ่ยสักแอะเดียว
“ฮูหยินเจ็บหรือไม่เจ้าคะ?!”
เหมยฮวาวิ่งมาด้วยสีหน้าตื่นตกใจ นางช่วยเจ้านายพยุงกายขึ้นยืน ปัดเศษดินออกจากชุดแล้วก็ตรวจสอบทั่วกายหาจุดบาดเจ็บ หากไม่ถูกห้ามก่อนไม่แน่นางอาจถูกบ่าวตัวน้อยหามไปถึงรถม้าแทนการเดินปกติแล้วก็ได้
“ข้าไม่เป็นอันใด พวกเรากลับจวนฉีเถอะ...”
วันนี้นางมีชีวิตรอดจากแม่ทัพจอมโหดได้ก็ถือมาโชคดีพอตัว กลับไปหาวิธีอื่นเพื่อดึงอำนาจในจวนกลับมาคงง่ายกว่า
จื่อเหยากลับจวนมาพร้อมท้องที่ว่างเปล่า เพราะมื้อกลางวันเป็นช่วงที่นางอยู่ที่ค่ายยังไม่ทันกินอันใดก็ถูกไล่กลับ
แล้วกว่าจะเดินทางจากค่ายทหารที่อยู่นอกเมืองจนถึงจวน แสงจากดวงอาทิตย์ก็หายไปหมด นางกลับมาพร้อมกับรับรู้คำพูดของบ่าวใช้คนใหม่ที่พ่อบ้านกวงส่งมาดูแลนางว่า
“เลยเวลาตั้งสำรับมื้อเย็นแล้ว บ่าวเห็นฮูหยินยังไม่กลับมาคิดว่าท่านจะทานข้างนอกจึงบอกปฏิเสธคนครัวไป ตอนนี้น่าจะไม่มีกับข้าวไว้สำหรับท่านแล้วเจ้าค่ะ”
จื่อเหยากลับมาเหน็ดเหนื่อยจากการปะทะสามีใจร้ายไม่พอยังต้องมาเจอกับปัญหาในจวนอีกหรือ ยิ่งมองการตอบหน้าตาเฉยของบ่าวใหม่นามฝูหลงแล้ว ความเหน็ดเหนื่อยมลายหายไปกลายเป็นความรู้สึกอยากปราบพยศคนทันที
“เช่นนั้นหรือ เจ้านามว่าฝูหลงใช่หรือไม่?”
“เจ้าค่ะ”
ฝูหลงผู้นี้แต่งตัวงดงามดูสูงชั้นกว่าบ่าวทั่วไปที่นางเห็นนัก ดูท่าจุดประสงค์ของการส่งบ่าวผู้นี้มาคงเพื่อทำให้เรือนของนางยุ่งยากกระมัง
“เจ้าย้ายมาจากบ่าวเรือนใด?”
“บ่าวไม่สังกัดเรือนใดเจ้าค่ะ บ่าวทำงานใกล้ชิดกับพ่อบ้านกวงมานาน ส่วนใหญ่ช่วยงานบัญชีและอื่นๆแก่พ่อบ้านกวงเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงที่ตอบดูภาคภูมิใจยิ่งนัก ส่วนคนฟังอย่างจื่อเหยาก็ทำทีเป็นพยักหน้าตาม
“ดียิ่งนัก จวนฉีใหญ่ถึงขนาดที่บ่าวเช่นพ่อบ้านกวงก็ยังต้องมีคนปรนนิบัติรับใช้ด้วย หากเขากลับจวนมาดึกเจ้าก็จะไม่เตรียมสำรับดึกให้เขาเช่นกันกระมัง”
สีหน้ามั่นอกมั่นใจของฝูหลงเริ่มลดลงแต่ก็ยังไม่จางหาย นางนึกถึงคำสั่งของพ่อบ้านกวงแล้วค่อยโต้ตอบกลับอย่างไม่ยอมแพ้
“เรื่องปรนนิบัติข้าเต็มใจทำให้เขาเจ้าค่ะ มิใช่เพราะคำสั่งของพ่อบ้านกวงแต่อย่างใด ฮูหยินกลับมาจะทานมื้อเย็นที่จวนเหตุใดไม่บอกกล่าวก่อนเล่าเจ้าคะ หากท่านบอกไว้บ่าวก็จะเตรียมไว้ให้อย่างแน่นอน...”
กลายเป็นนางที่ผิดไปเสียแล้ว ถือว่าฝีปากนี้พ่อบ้านกวงสอนสั่งมาพอใช้ได้...
“พ่อบ้านกวงดูแลบ่าวไพร่ได้ดีทีเดียว ว่าแต่เจ้ากินมื้อเย็นแล้วหรือ?”
ฝูหลงรอเยาะเย้ยเจ้านายใหม่ของตนก่อน แน่นอนว่ายังไม่กินมื้อเย็นอยู่แล้ว นางส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ ก่อนเอ่ยเสียงอ่อนน่าสงสาร
“บ่าวรอฮูหยินกลับมาและช่วยปรนนิบัติท่านก่อนเจ้าค่ะ แล้วถึงไปกินมื้อเย็นส่วนของตน”
จื่อเหยาฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์จนทำให้คนมองมาใจเต้นผิดจังหวะไปทันใด ฝูหลงขมวดคิ้วสงสัยว่าเหตุใดคนที่ไม่ได้กินข้าวถึงยิ้มชั่วร้ายออกมาได้กัน ควรที่จะมีสีหน้าโศกเศร้ามิใช่หรือ
“อาเหมย เจ้าไปนำกับข้าวมื้อเย็นส่วนของฝูหลงมาตั้งสำรับให้ข้า มีเท่าไหร่นำมาให้หมด เพราะข้าหิวมากจนสามารถกินคนได้ทั้งตัวแล้ว”
“ฮูหยินเจ้าคะ เช่นนั้นแล้วบ่าวจะกินอันใดเล่าเจ้าคะ?!”
จื่อเหยามองสีหน้าตกใจของบ่าวคนใหม่อย่างไม่พอใจก่อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงไม่หยี่หระ
“ไม่มีก็ไม่ต้องกินก็เท่านั้นเอง บ่าวเช่นเจ้าอดสักมื้อก็คงไม่เป็นอันใดหรอก ข้านี่สิเป็นถึงฮูหยินของท่านประมุขไม่มีกินไม่ได้
...หรือเจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ??”
“...”
ฝูหลงหมดแรงจนทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น แรงแม้จะเอ่ยตอบโต้ก็ไม่มี นางอ้าปากจะเอ่ยโต้ก็ไม่รู้จะดึงเหตุผลใดมาดี ได้แต่มองอาเหมยวิ่งออกไปทำตามคำสั่งของจื่อเหยาอย่างร่าเริงพร้อมกับเสียงท้องร้องอย่างไม่รู้สถานการณ์ของตนเอง
เหตุใดฮูหยินผู้นี้ถึงจัดการไม่ง่ายอย่างที่พ่อบ้านกวงบอกไว้กันเล่า...
เวลาผ่านมาหลายวันแล้วหลังจากที่นางได้เริ่มต้นใหม่ในชาติที่สาม ความเป็นอยู่ในฐานะฮูหยินของแม่ทัพฉีดีขึ้นแต่ก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร ในขณะที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากสองผู้มีอำนาจในจวนฉีอย่างจวนชิ่งและพ่อบ้านฉี จื่อเหยาก็สืบหาลู่ทางจัดการพวกเขาทั้งสองไปด้วย พร้อมสร้างอาณาจักรสายลับของตนในจวนไปทีละน้อย โดยใช้หลักการที่ว่า เราคือพวกเดียวกัน และใช้จุดอ่อนของบ่าวแต่ละคนมาชูให้เห็นว่านางคือคนที่ช่วยพวกเขาได้ ทว่าบ่าวใหม่ในเรือนของนางที่ไม่ถูกเจรจามาเป็นพวกก็คือฝูหลง เพราะจื่อเหยาสืบเจอบางเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของบ่าวนางนี้กับพ่อบ้านกวง
นางติดตามเรื่องนี้อย่างดีคิดไว้ว่าอาจได้ใช้ประโยชน์ในอนาคตได้
“ฮูหยินเจ้าคะ บ่าวของฮูหยินรองหูนำสมุนไพรบำรุงร่างกายมาส่งให้ท่านเจ้าค่ะ ให้บ่าวนำไปต้มให้ท่านเลยไหมเจ้าคะ?”
ฝูหลงเดินเข้ามาหาจื่อเหยาในสวนเล็กของเรือนพร้อมถาดไม้ที่บนนั้นมีกล่องไม้หนึ่งวางไว้อยู่ สีหน้าอย่างคนไม่เต็มใจที่มารับใช้นางของฝูหลงลดลงแต่ก็ยังไม่หายไป
“เปิดให้ข้าดูหน่อย”
ภายในกล่องเป็นรากไม้สีน้ำตาลเกือบดำอันหนึ่ง มองดูดีๆจะเห็นว่าแท้จริงแล้วรากไม้นี้คือโสม ทว่ามันคงถูกเก็บมานานจนเปลี่ยนจากสีเหลืองทองเป็นสีน้ำตาลคล้ำเช่นนี้
“ข้าไม่ชอบดื่มของพวกนี้ ฝากเจ้านำไปต้มแล้วส่งให้ฮูหยินรองหูหน่อยก็แล้วกัน บอกว่าข้าเป็นห่วงสุขภาพของนาง อายุมากแล้วให้ดื่มโสมบำรุงร่างกายเสียหน่อย จะได้อยู่ใช้ชีวิตได้อีกนาน”
“ตะแต่...”
จื่อเหยาพูดเสร็จก็หันกลับมาสนใจหนังสือในมือต่อไม่ใส่ใจฝูหลงที่ยืนทำสีหน้าไม่ถูกเลย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางกลายเป็นคนที่ต้องลำบากใจแทนที่จะเป็นเจ้านายไร้อำนาจตรงหน้า คราที่ได้รับคำสั่งจากพ่อบ้านกวงให้มารับใช้ฮูหยินไร้อำนาจผู้นี้ นางก็ปฏิเสธไปแล้วแต่ถูกหลอกล่อให้รับด้วยคำบอกว่า เขาไว้ใจนางและคิดว่ามีเพียงนางที่คู่ควรจัดการท่านหญิงสูงศักดิ์ผู้นี้ ฝูหลงจึงรับหน้าที่อันสำคัญนี้ด้วยใจสุดหยิ่งผยอง ทว่าหลายวันที่ผ่านมานางกลับถูกฮูหยินที่ไร้อำนาจกลั่นแกล้งเสียมากมายแทน พอนำไปฟ้องพ่อบ้าน
กวงให้ช่วยตนด้วยสิ่งที่ได้รับกลับมามักเป็นเพียงคำปลอบประโลมและคำสั่งใหม่ให้นางไปจัดการ
วันนี้นางคิดว่าตนจะได้เห็นฮูหยินชั่วร้ายนี่กินสมุนไพรเก่านี้จนท้องเสียแต่ทว่ากลับกลายเป็นนางที่ต้องนำไปต้มส่งให้คนที่สั่งมาแทน แน่นอนว่านางไม่ต้มส่งกลับไปอยู่แล้ว แต่ก็ต้องหาวิธีกลบเกลื่อนไม่ให้เจ้านายคนปัจจุบันรู้ด้วยว่านางไม่ได้ทำตามคำสั่ง เพราะเดี๋ยวถูกเรียกมาลงโทษภายหลังจะแย่เอา
ช่วงสายนี้จื่อเหยาคิดว่านางจะอ่านหนังสือเล่มในมือให้จบแต่ก็ต้องเปลี่ยนแผนทันทีเมื่อสิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้น
“ท่านแม่ทัพเรียกให้ฮูหยินไปพบที่ค่ายขอรับ บ่าวเตรียมรถม้าไว้ให้แล้วรบกวนฮูหยินตามบ่าวมาด้วย”
อาหวงคือคนที่มาขอพบนาง เขาคือบ่าวที่มีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยในเรือนใหญ่ และรับคำสั่งของฉีเหวินเจี๋ยระหว่างอยู่ภายในจวน คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้คนฟังอย่างจื่อเหยาแทบไม่เชื่อหูตนเอง
วันนั้นนางเพิ่งถูกเขาโยนออกมาจากกระโจมอยู่เลย มาวันนี้เหวินเจี๋ยกลับเรียกนางไปหาเสียได้
“อ้อ ข้าจะตามไปเดี๋ยวนี้แหละ” จื่อเหยาลุกขึ้นทันทีที่ได้สติ นางได้โอกาสพบเขาอีกคราแล้วจะต้องพูดเรื่องขอให้เขามอบอำนาจในจวนให้ได้
จื่อเหยาสวมชุดสีขาวอมเหลืองประดับลายดอกไม่สีเหลืองสดใสจางๆ เครื่องประดับก็มีไม่มากเน้นให้มีพอให้คนมองมาแล้วไม่สามารถดูถูกได้เท่านั้น สารถีขับรถม้าพานางและอาเหมยมาที่ค่ายทหารอย่างไม่เร่งรีบ พอถึงค่ายก็ปล่อยพวกนางลงหน้าค่าย ที่ประหลาดใจอีกเรื่องคือ ทางเข้าในครานี้มีอาจ่ง บ่าวคนสนิทผู้เปรียบเสมือนมือซ้ายของเหวินเจี๋ยมาต้อนรับและทำหน้าที่พาพวกนางไปยังกระโจมพัก
“วันนี้ท่านแม่ทัพของเจ้าเรียกข้ามาทำอันใดหรือ?”
ระหว่างเดินไปกระโจมจื่อเหยาถือโอกาสหาข้อมูลเสียก่อนเผื่อนางจะได้เตรียมตัวรับมือถูก เดาว่าเรื่องที่เรียกนางมาอาจเกี่ยวกับเรื่องเดียวกับเรื่องที่ทำให้นางถูกโยนออกจากกระโจมคราที่แล้ว
“...” อาจ่งเงียบปากแต่นางพอสังเกตได้ว่าเมื่อครู่เขาอ้าปากเหมือนจะตอบคำถามมาแต่เหมือนตั้งสติทัน คงมีใครกำชับไว้ว่าไม่ให้บอกอันใดแก่นางแน่
“หากข้าไม่เตรียมตัวก่อนก็กลัวว่าจะไปทำให้ท่านแม่ทัพโกรธเอาเสียง่ายๆ เขาจะหงุดหงิดแล้วก็อาจพาลไปลงที่ลูกน้องก็เป็นได้น่ะนะ แต่เจ้าไม่บอกข้าก็เข้าใจ...”
“ท่านแม่ทัพเรียกไปคุยเรื่องเดียวกับคราวที่แล้วขอรับ” อาจ่งเอ่ยตอบเสียงเรียบ ส่วนคนได้รับคำตอบสมใจก็พยักหน้าเป็นเชิงขอบใจ
จื่อเหยาเป็นผู้ช่วยของเหวินเจี๋ยย่อมรู้จักบ่าวคนสนิทของเขาดีเช่นกัน อาจ่งผู้เป็นบ่าวมือซ้ายมีทักษะที่โดดเด่นคือ เขามีพละกำลังและวรยุทธิ์สูงส่ง แต่อ่อนเรื่องการใช้หัวสมอง ต่างกับอาเว่ยที่ฉลาดทันคนและวรยุทธ์อยู่ในระดับธรรมดา เมื่อครู่เพียงจื่อเหยาโน้มน้าวเพียงเล็กน้อยก็ทำให้อาจ่งเปิดปากได้แล้ว หากเป็นอาเว่ยอย่าได้หวังเลยว่าเขาจะพูด
การที่เหวินเจี๋ยเรียกนางมาเพราะว่ายอมให้นางไปดูศพของหวางฉินหลิงแล้วอย่างนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้นก็ผิดวิสัยแม่ทัพฉีเช่นเขาเกินไปแล้ว
ยังคิดไม่ทันจบพวกนางก็เดินมาถึงกระโจมเป้าหมาย ตอนนี้จื่อเหยาทำได้เพียงเตรียมใจรอรับแรงปะทะเท่านั้น
“คารวะท่านแม่ทัพฉีเจ้าค่ะ”
จื่อเหยาไม่รู้นะว่าจื่อเหยาคนก่อนเรียกสามีตรงหน้าว่าอย่างไร แต่นางสะดวกเรียกเช่นนี้และก็คิดว่าเขาก็คงพอใจที่จะให้นางเรียกเช่นนี้เหมือนกัน
ตั้งแต่นางเข้ามาก็รับรู้ได้ถึงสายตาสอบประเมินที่เขามักใช้ยามเจรจากับผู้อื่นในการทำงาน ใครจะคิดเล่าเขามาใช้กับนางผู้อยู่ในสถานะฮูหยินเอกของเขาเองด้วย
“ท่านหญิงรู้จักกับฉินหลิงได้อย่างไร?”
