เจ็ด
พบปะสหายเก่า
จื่อเหยาเดินไล่สำรวจจากลานฝึกไปยังกระโจมประชุมงานประจำค่ายรั้งดูความเคลื่อนไหวสักพักก็ฟันธงว่าคนที่นางตามหาไม่อยู่ เดินดูรอบค่ายทหารแล้วก็ไม่เห็นแม้เงา อาจเป็นไปได้ว่าฉีเหวินเจี๋ยไม่อยู่ค่ายกระมัง ตอนนี้จื่อเหยาจึงมุ่งหน้าเดินกลับไปหากระโจมว่างที่ให้อาเหมยคอยอยู่แทน
ตรงปลายสายตาคือกระโจมเก็บอาวุธของค่าย ที่แห่งนี้เป็นพื้นที่แห่งความทรงจำของจื่อเหยาในชาติที่แล้ว นางเริ่มจากปลอมตัวเป็นบุรุษสมัครเข้ามาเป็นทหารฝึกใหม่ในช่วงที่กองทัพต้องการคน จวบจนได้รับหน้าที่มาดูแลกองอาวุธซึ่งเป็นสิ่งที่จื่อเหยาชอบตั้งแต่ชาติแรกที่นางเป็นสายลับอิสระแล้ว นางศึกษากลไกลปืนปรับแต่งอาวุธหลายชนิดเพื่อให้สำหรับอำนวยความสะดวกในอาชีพสายลับของตน มาชาติที่สองย้อนมาในยุคจีนโบราณก็เอาความรู้ชาติแรกมาปรับแต่งกับอาวุธของกองทัพจนกลายเป็นที่เตะตาแม่ทัพฉี แม้นนางเกือบถูกไล่ออกเพราะถูกเขารู้ความลับว่าเป็นสตรีแต่ก็ได้รับการอภัยด้วยเพราะนางสร้างคุณประโยชน์จากการประดิษฐ์อาวุธช่วยกองทัพในศึกหนึ่ง คิดแล้วก็อยากย้อนไปตอนช่วงที่นางยังเป็นผู้ช่วยให้ฉีเหวินเจี๋ยเสียตอนนี้ นางกำลังสนุกกับงานของตนเองเลย ใครจะคิดเล่าว่าจะถูกคนในค่ายสักคนวางยาและถูกพาไปเค้นความลับของค่าย เมื่อไม่เผยความลับก็ถูกฆ่าตายต่อมาได้
แม้นตัวตนตอนนี้จะเปลี่ยนจากลูกน้องเป็นฮูหยินของฉีเหวินเจี๋ยแล้ว นางก็ยังติดใจเรื่องหนอนในค่ายที่เป็นต้นเหตุให้นางตายในชาติที่สองและยังใส่ความตนอีกอยู่ดี
นางไม่ลืมที่จะพิสูจน์ความบริสุทธ์ให้ตนเองแม้ร่างกายจะหมดอายุขัยแล้วก็ตาม
ในขณะที่เร้นกายหลบทหารยามที่เดินตรวจตรารอบค่ายที่ริมกระโจมเก็บอาวุธอยู่นั้น หูที่บังเอิญแนบผ้าใบกระโจมก็รับฟังเสียงสนทนาของคนข้างในกระโจมไปด้วยอย่างไม่ตั้งใจ
“เหตุใดดาบพวกนี้ถึงได้ยังมีสนิมขึ้นได้อีกเล่า ในเมื่อเราก็ใช้วิธีอย่างที่นางบอกแล้ว”
เสียงทุ้มแหบของทหารนายหนึ่งเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความฉงนสงสัยเต็มเปี่ยม
“นั่นสิ มิใช่ว่านางเขียนวิธีไว้ไม่ครบหรอกนะ นางอาจจงใจสร้างผลงานให้ตนแต่ทำให้พวกเราถูกมองมว่าไร้ความสามารถแม้ใช้วิธีของนางก็ตาม หากท่านแม่ทัพรู้ว่าดาบในค่ายล้วนมีสนิมขึ้นมากกว่าเก่าก่อนเช่นนี้พวกเรานี่แหละที่จะถูกลงโทษสถานหนัก”
ทหารอีกคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น ดูท่าจะโกรธเกรี้ยวมาก
“นั่นสิ นางคือสายลับของศัตรูนี่! นอกจากจะทำให้เราเสียเสบียงที่เก็บสะสมมาแรมปีส่วนหนึ่งแล้ว ก็คงตั้งใจให้อาวุธหลักในค่ายเสียหายด้วยกระมัง พวกเราไม่น่าไว้ใจสตรีนางนั้นเลย!”
“พวกเจ้าใจเย็นก่อน อย่างไรพวกเราก็เคยได้นางช่วยไว้จริงอย่าลืมสิ อีกอย่างอาจเป็นพวกเราที่ทำอันใดพลาดไปก็ได้มิใช่หรือ ก่อนจะโทษใครข้าว่าเอาเวลามาหาข้อผิดพลาดมิดีกว่าหรือ?”
“เจ้าก็ยังเข้าข้างนางอีกหรือ? อ้อ เจ้าสนิทกับนางมากไม่รู้สนิทถึงขึ้นใดแล้ว สตรีหนึ่งเดียวในกองทัพเช่นนางคงสร้างความสุขสันต์ให้เจ้าจนโงหัวไม่ขึ้นสินะ เหอะ!”
“หุบปากเสีย! เจ้าไม่รู้อันใดอย่าพูดเสียดีกว่า พวกเจ้าไม่มีความสามารถเองหากชีวิตนี้เจ้ามัวแต่จะโทษผู้อื่นก็เป็นได้แค่นายทหารขั้นต่ำเช่นนี้แหละ!”
เสียงฝีเท้าลงหนักอย่างคนที่เต็มไปด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธเดินผ่านฝั่งที่จื่อเหยาอยู่ไป เขาเดินแยกไปที่อื่นเพื่อสงบอารมณ์ ในใจเขานั้นรู้สึกไม่เป็นธรรมยิ่งนักที่สหายที่เขารู้จักดีถูกคนอื่นดูถูกต่างๆนานา ทั้งที่ผ่านมานางก็คือคนที่ช่วยชีวิตทุกคนไว้ในศึกคราที่แล้ว หากไม่ใช่เพราะนางเสนอกับดักนั่นเพื่อตัดกำลังข้าศึกที่มีมากเกินกว่ากองกำลังพวกเขา มีหรือค่ายทหารนี้จะยังมีทหารมากมายเพียงนี้ แม้นมีโอกาสชนะศึกครานั้นได้โดยไม่มีฉินหลิงแต่ย่อมต้องมีคนเสียชีวิตมากกว่านี้
เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่านางคือสายลับของศัตรูจริง!
เดินมาสักพักพอให้คลายอารมณ์โกรธได้ก็คิดจะหมุนตัวกลับไปทำงานต่อแต่ก็พบว่าเบื้องหลังมีสตรีใบหน้างดงามนางหนึ่งตามมา
“เจ้าคือผู้ใด เหตุใดเข้ามาในค่ายได้!”
จื่อเหยาจงใจตามเขามาให้เห็นนางนั่นแหละ คำพูดเมื่อครู่ของเขาทำเอานางซาบซึ้งใจยิ่งนักที่อย่างน้อยก็มีสหายดีเช่นเขาคิดถึงนางในทางที่ดีอยู่บ้าง
เขาคือสหายสนิทคนแรกของจื่อเหยาในชาติก่อน นามว่าอี้เทา สกุลจาง มีครอบครัวอยู่ที่เมืองนี้แต่เกิด สมัครเข้ากองทัพพร้อมๆกันเพราะต้องการหาเงินเลี้ยงแม่และน้องสาว
“ข้าเข้ามาส่งอาหารให้ท่านแม่ทัพเท่านั้น ตอนนี้หลงทางไปกระโจมพักของท่านแม่ทัพไม่ถูกน่ะ”
ด้วยความที่วันนี้จื่อเหยาแต่งกายชุดสีขาวเรียบมองไม่ออกว่าเป็นเจ้านายหรือบ่าว อีกทั้งจื่อเหยาคนเดิมมักแต่งกายสีฉูดฉาดโดดเด่นจนทหารในค่ายแม้จำหน้าไม่ได้แต่มักจะจำว่าสตรีจากจวนฉีที่แต่งตัวสีฉูดฉาดคือฮูหยินที่ท่านแม่ทัพชัง ก็ไม่แปลกที่อี้เทาจะมองไม่ออกมานางคือฮูหยินคนนั้น
“อ้อ แม่นางไม่ควรเดินคนเดียวในค่ายทหารที่มีแต่บุรุษเช่นนี้ เช่นนั้นเดี๋ยวข้าไปส่งแม่นางที่กระโจมท่านแม่ทัพแล้วกัน”
“ขอบใจมาก”
ในระหว่างเดินทางไปยังกระโจมท่านแม่ทัพนั้นจื่อเหยาก็ตั้งใจพูดในสิ่งที่นางตั้งใจไว้ด้วย
“เมื่อครู่ข้าบังเอิญได้ยินว่าใบดาบในค่ายขึ้นสนิมหรือ เห็นว่าพวกท่านมีวิธีจัดการไม่ให้ใบดาบขึ้นสนิทอยู่แล้วด้วย ข้าสนใจอยากรู้วิธีนั้นของพวกท่านเสียจริงเชียวว่าทำอย่างไรบ้าง?”
หลังจากจื่อเหยาพูดจบนางกลับได้รับสายตาเคลือบแคลงสงสัยจากอี้เทากลับมา จนต้องรีบเอ่ยสำทับแก้ความข้องใจของเขาไปทันที
“คือว่าที่บ้านของญาติข้าค้าเนื้อสัตว์น่ะ แล้วก็เจอปัญหาสนิมขึ้นใบมีดบ่อยๆเช่นกัน เห็นว่าพวกท่านมีวิธีจัดการข้าจึงอยากรู้เพื่อเอาไปบอกญาติของข้าบ้างเท่านั้น หากท่านไม่ยินดีบอกก็ไม่เป็นอันใดหรอก”
ช่วงท้ายจื่อเหยาตั้งใจลดเสียงให้อ่อนลงเท่าที่นางทำได้ แม้นไม่ได้ดูน่าทะนุถนอมเช่นสตรีอื่นทำ แต่ก็สามารถทำให้อี้เทาถอนหายใจเฮือกใหญ่และเอ่ยบอกได้ เพราะเขาคิดว่าวิธีการนี้ไม่ใช่เรื่องเป็นความลับอันใด อีกทั้งดูเหมือนว่าจะไม่ใช่วิธีที่ดีแล้วนับจากนี้
“ข้าบอกได้แต่ก็อย่างที่เจ้าได้ยินเมื่อครู่มันไม่ค่อยได้ผลเท่าไรนักน่ะ”
“ไม่เป็นไร ข้าเพียงอยากทราบเท่านั้น”
“วิธีการไม่ยากเลย หลังจากใช้งานดาบเสร็จก็ให้ทำความสะอาดใบดาบ แล้วคลุกทรายที่ผ่านการกรองมาแล้วโดยใช้ลูกประคบเคาะให้ทั่วใบดาบ จากนั้นเช็ดด้วยผ้าแห้งและนำผ้าชุบน้ำมันชโลมให้ทั่วใบดาบแล้วเก็บเข้าฝัก เท่านี้ก็เสร็จแล้ว”
จื่อเหยารับฟังเงียบๆ วิธีที่อี้เทาบอกมาไม่ผิดจากที่นางบันทึกไว้ให้ทหารผู้มีหน้าที่ดูแลอาวุธทำเลย ดังนั้นเหตุที่ยังมีสนิมขึ้นใบดาบอยู่นั้นไม่ใช่เพราะทำผิดวิธีหรอก แต่เป็นเพราะความประณีตในแต่ละวิธีที่ต่างกันตอนที่นางยังอยู่ต่างหาก
ตอนนางยังเป็นฉินหลิงผู้มีตำแหน่งหัวหน้าคลังอาวุธนั้น นางกำชับให้ทหารผู้มีหน้าที่นี้ทุกคนทำอย่างใส่ใจในทุกขั้นตอน ในช่วงแรกนางถึงกับมากำกับดูว่าแต่ละคนทำอย่างไรทุกเย็นเลยด้วยซ้ำ เพราะปัจจัยสำคัญที่ทำให้สนิมเกิดขึ้น คือเรื่องความสะอาดและความชื้น
ต้องใส่ใจขั้นตอนไล่ความชื้นออกจากใบดาบหลังจากล้างน้ำทำความสะอาดดาบด้วยการใช้ทรายละเอียดไล่ความชื้น ขั้นตอนนี้ต้องตรวจสอบก่อนชโลมน้ำมันด้วยว่าดาบแห้งสนิทแล้วทุกบริเวณ หลังจัดการกับใบดาบเสร็จก็ต้องเก็บดาบไว้ในที่แห้งด้วย มิเช่นนั้นดาบก็ยังขึ้นสนิมได้อยู่ดีแม้ทำตามขั้นตอนที่นางเขียนไว้ทั้งหมดแล้ว
“อ้อ จริงสิ เหมือนว่าญาติของข้าก็ใช้วิธีนี้เช่นกัน เขาเคยบอกข้าว่าเขาเคยใช้ทรายไล่ความชื้นหลังจากการล้างมีดไม่ดีจนมีดกี่เล่มที่ทำวิธีนี้ก็ขึ้นสนิม พอเขาใส่ใจทำแต่ละวิธีให้ดีปุ๊บสนิมกับใบมีดของญาติข้าก็จบกันเลย อ้อ แล้วก็บริเวณที่เก็บดาบก็สำคัญนะ ญาติของข้าเคยเก็บมีดส่งๆ พอหยิบมาใช้สนิมขึ้นอยู่ดีต้องเสียเงินซื้อเล่มใหม่อยู่เรื่อย หลังจากนั้นญาติของข้าก็จัดการพื้นที่ไว้เก็บมีดอย่างดีเสียยิ่งกว่าที่นอนของเขาอีก ที่เก็บมีดของเขาใส่ใจเรื่องความแห้งมากๆเลยล่ะ”
อี้เทาที่ตอนแรกไม่ใส่ใจฟังสตรีที่เดินข้างกันเท่าไรพอฟังไปฟังมาหัวใจก็เต้นเร็วและแรง ตื่นเต้นจนตาเป็นประกาย คำพูดของนางทำให้เขานึกถึงยามที่ฉินหลิงกำกับให้พวกเขาทำตามขั้นตอนนางในช่วงแรกแม้ใช้เวลาหลายชั่วยามก็ตาม แต่พอไม่มีนางควบคุมเวลาที่ทหารฝ่ายอาวุธจัดการทำความสะอาดดาบก็ลดลง จนเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็จัดการเสร็จ นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้แม้นใช้วิธีเดียวกันแต่ผลลัพธ์ต่างกันก็ได้
“โอ เหตุใดข้าถึงได้ลืมเรื่องเล็กน้อยดีกันนะ ต้องขอบคุณแม่นางมากที่ให้คำแนะนำแก่ข้า ว่าแต่แม่นางมีนามว่าอันใดหระ...”
“ฮูหยิน ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว!”
จื่อเหยามัวแต่ตั้งใจให้คำแนะนำอี้เทาด้วยวิธีแนบเนียนให้ไม่เหมือนนางตั้งใจบอกเขาจนลืมมองทางไปเสียเลย รู้ตัวอีกทีว่าถึงหน้ากระโจมพักของแม่ทัพใหญ่แล้วก็เพราะเสียงเรียกแสนตื่นตระหนกของอาเหมยนั่นเอง
นางมองทางคนเรียกก็พบว่าไม่ได้มีเพียงอาเหมยเท่านั้นที่ยืนตรงนี้ เบื้องหลังของบ่าวตัวน้อยมีสายตาสามคู่มองมาอย่างไม่สบอารมณ์อยู่
“คารวะท่านแม่ทัพขอรับ”
อี้เทาค้อมตัวเสร็จก็ยืนยืดอกตามระเบียบแม้นในใจเขาจะตระหนกมากก็ตามที่ได้รู้ว่าแท้จริงแล้วสตรีที่เขาคุยมาด้วยตลอดทางคือฮูหยินที่ท่านแม่ทัพชังผู้นั้น
ส่วนจื่อเหยานั้นละสายตาจากอาเหมยเพื่อมองอดีตเจ้านายที่ตนเคารพมากที่สุดแต่ปัจจุบันกลายเป็นสามีที่แย่ที่สุดเท่าที่นางเคยเห็นมา สายตาของนางหาได้สื่อว่ากำลังรู้สึกเช่นไรเมื่อเจอคนที่นางตั้งใจมาเจอวันนี้
“พาเจ้านายเจ้ากลับไปเถอะ แล้วอย่าได้มาเที่ยวเล่นที่ค่ายทหารอีก ที่นี่ไม่ใช่สวนดอกไม้ให้สตรีเดินไปทั่ว!”
ฉีเหวินเจี๋ยเอ่ยบอกบ่าวข้างหลังจื่อเหยาโดยที่เขาไม่มองมาที่ฮูหยินของเขาอีก เอ่ยจบก็ทำท่าจะเดินเข้ากระโจมของตนเองไปทันที
แน่นอนว่านางเดินหน้าหาเขาเพียงนี้แล้วไม่กลับจวนไปง่ายๆโดยไม่ได้คุยอันใดหรอก!
“ข้าเป็นสตรีแล้วอย่างไรไม่ได้มีกฎค่ายห้ามสตรีเข้ามาในค่ายเสียหน่อย ว่าแต่ท่านแม่ทัพฉีเถอะ ท่านเองต่างหากที่ทำผิดกฎของค่ายทหาร”
นางยืนห่างจากตำแหน่งที่เขายืนห้าก้าวได้แต่กลิ่นสุราที่ติดตามเสื้อผ้าของเขาโชยไกลมาถึงที่ที่นางอยู่ นางไม่รู้หรอกนะว่าเขามีเรื่องหนักใจอันใดต้องพึ่งสุราทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ แม้นค่ายเกือบถูกข้าศึกทำลายแค่ไหนเขาก็ไม่เคยพึ่งน้ำเมาพวกนั้น
“ฮูหยินท่านล่วงเกินท่านแม่ทัพแล้ว! ทะ...”
บ่าวคนสนิทที่ตามหลังเหวินเจี๋ยมาผู้มีหน้าที่รับคำสั่งไปกระจายงานอีกทีอย่างอาเว่ยนั่นเองที่เอ่ยท้วงด้วยน้ำเสียงไม่พอใจแทนผู้เป็นนาย แต่ก็ต้องหยุดปากไปเมื่อถูกเหวินเจี๋ยห้ามทันที
อย่างน้อยการที่ถูกนางทักก็ทำให้เหวินเจี๋ยพอรู้ว่าตอนนี้ที่เสื้อผ้าของตนคงมีกลิ่นสุราติดกาย ดีที่เขาไม่เดินไปทั่วค่ายมากกว่านี้มิเช่นนั้นกฎนี้เขาก็คงเป็นคนทำลายด้วยมือตัวเองเสียแล้ว
ไม่รู้ว่าการที่นางเอ่ยทักนี้เจตนาหรือบังเอิญอันแน่
“วันนี้ข้ามีงานต้องทำอีกมาก ไม่มีเวลาคุยด้วย ไว้เจอกันที่จวนฉีก็แล้วกัน”
จื่อเหยาสังเกตได้ว่าเขาดูไม่อยากสนทนาไม่พอน้ำเสียงที่มักมั่นคงเข้มแข็งกลับดูอ่อนแรงกว่าเดิม หากเรื่องของนางไม่เร่งร้อนนางก็พอจะเก็บไว้คุยภายหลังได้หรอก แต่การพบเขาต่อหน้าเช่นนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ นางขออภัยเขาล่วงหน้าก็แล้วกัน อย่างไรนางก็ต้องได้คุยทั้งเรื่องอำนาจจวนที่นางอยากได้มาให้ได้
“เมื่อวานนี้มีกลุ่มคนเจตนาร้ายไม่ทราบที่มาปลอมตัวเป็นเจ้าอาวาสเข้ามาสร้างชื่อเสียให้จวน หากไม่คุยวันนี้อาจเป็นภัยในอนาคตได้นะเจ้าคะ!”
จื่อเหยาอาศัยเวลาเพียงน้อยนิดก่อนเหวินเจี๋ยก่อนหายเข้าไปในกระโจมพักรีบพ่นประโยคนดึงดูดใจทีเดียวจนหมด อย่างน้อยนางก็ทำให้เขาหยุดเดินและหันกลับมามองตนได้นั่นล่ะ
“อาเว่ย เจ้าไปจัดการเรื่องนี้ทีแล้วก็ส่งนางกลับไปเสีย”
ทว่าอย่างไรนางก็ไม่สามารถรั้งเขาไว้ได้อยู่ดี! ใครจะคิดเล่าว่าเรื่องชื่อเสียงของเขาก็สนใจเท่านี้เอง แล้วจะมีเรื่องอันใดที่จะสามารถดึงเขาให้อยู่คุยกับนางได้ด้วยตัวเขาเองกันเล่า!
...
หากเรื่องเกี่ยวกับชื่อเสียงไม่ทำให้เขาสนใจมากพอ แม่ทัพบ้างานเช่นเขาก็อาจสนใจเรื่องนั้นก็เป็นได้!
“ข้าเชื่อว่าแม่นางฉินหลิงไม่ใช่หนอนตัวจริง!”
ขวับ!
แม่ทัพหนุ่มหันกลับหลังไม่พอคราวนี้เขาเดินเร็วรี่เข้ามาบีบต้นแขนสองข้างของนางด้วย สายตามองมาที่จื่อเหยาเต็มไปด้วยไอสังหาร
“สตรีเช่นเจ้าไม่คู่ควรนำเรื่องของนางมาหลอกเล่น!”
แรงบีบที่ไหล่นี้คาดว่าคงเกิดรอยช้ำแดงภายหลังแน่ แต่นั่นก็คุ้มแล้วที่ดูเหมือนว่าเรื่องนี้เหมือนจะดึงดูดความสนใจของเขาได้ดีทีเดียว
จื่อเหยาจ้องสบสายตาเขาอย่างไม่กลัวเกรงก่อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
“หลอกเล่นหรือไม่ท่านแม่ทัพฟังดูก็น่าจะรู้เองนะเจ้าคะ เรื่องนี้ควรเข้าไปคุยข้างในจะดีกว่า...”
แรงบีบที่ไหล่เบาลงแล้ว พร้อมเหวินเจี๋ยที่หมุนตัวเดินเข้ากระโจมอย่างไม่รีรอ
เฮ้อ ท่านแม่ทัพผู้นี้คือบุรุษที่นางเคยรู้จักจริงหรือ เหตุใดเปลี่ยนไปราวกับนางไม่เคยรู้จักเขามาก่อนเลย...
