เก้า
โอกาสจอมปลอม
“ท่านหญิงรู้จักกับฉินหลิงได้อย่างไร?”
“ข้าพบกันครั้งแรกก็ตอนที่มาค่ายทหารเมื่อเดือนก่อนเจ้าค่ะ หลังจากนั้นมีโอกาสได้คุยกันจนสนิทใจ แต่ประทับใจในนิสัยของนางจนข้านับนางเป็นสหายคนหนึ่ง และเท่าที่ได้รู้จักกับนางมาไม่คิดว่านางจะใช่สายลับอย่างที่ทุกคนเข้าใจ”
เหตุผลนี้คงได้กระมัง... อย่างไรไม่ว่าฉินหลิงหรือจื่อเหยาก็ไม่ได้อยู่กับเขาตลอดเวลา ก็ติต่างได้ว่าแอบไปสนิทกันได้อย่างไม่น่าสงสัยมาก
ที่น่าประหลาดคือเหตุใดเขาถึงให้นางเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้กัน วิสัยของเหวินเจี๋ยที่นางรู้จักไม่น่าให้คนไม่เกี่ยวข้องเข้ามาวุ่นวายหากไม่เพราะมีอะไรบางอย่างที่เขาสืบพบแล้วเกี่ยวกับจื่อเหยา ดูจากคำถามของเขาก็น่าจะเป็นเช่นที่นางคาดเดา
“สหายหรือ?”
“เจ้าค่ะ”
...เหตุใดนางรู้สึกว่าเขาไม่เชื่อว่านางสนิทกันจนนับเป็นสหาย ไม่แน่ว่าเขาอาจไปรู้เรื่องอันใดมานอกจากที่นางไม่รู้
“แล้วเจ้าจะพิสูจน์อย่างไรว่านางไม่ใช่สายลับจากศัตรูจริง พูดเพียงปากเปล่าไม่สามารถใช้สรุปได้หรอกนะ”
แม้นเขาจะดูยังไม่เชื่อจื่อเหยาสนิทใจ แต่อย่างน้อยตนก็ได้โอกาสตามหาความจริงเกี่ยวกับการตายและคนที่ใส่ร้ายตนเองในชาติที่แล้ว อย่างไรก็ดีกว่าสืบหาลับๆที่ยากเกินกว่าที่สตรีไร้อำนาจทั้งในจวนและค่ายทหารจะทำได้สำเร็จโดยเร็วไว
หากช้าไปกว่านี้ ทั้งหนอนตัวจริงและหลักฐานพิสูจน์ความบริสุทธ์ของฉินหลิงย่อมจางหายไปจนอาจไร้ร่องรอยได้ในที่สุด
“ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ เพียงขอให้ท่านแม่ทัพช่วยสนับสนุนข้าด้วยเจ้าค่ะ รับรองวะ...”
“สามวัน หากเจ้าไม่สามารถพิสูจน์ได้ เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์พูดถึงเรื่องนี้อีก!”
น้ำเสียงแสนเด็ดขาดนี่ทำให้นางไม่คิดกล้าต่อรองต่อ กลัวจะได้เวลาน้อยลงไปกว่านี้ ทำได้เพียงพยักหน้าและตอบรับด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นไป
“ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง เช่นนั้นข้าขอดูบันทึกรายงานทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการตายของแม่นางฉินหลิงด้วยเจ้าค่ะ”
เหวินเจี๋ยพยักเพยิดให้อาจ่งพาจื่อเหยาออกไปยังสถานที่เก็บเอกสาร
พอแขกออกไป ภายในกระโจมก็เหลือเพียงเขาที่ยังนั่งอยู่ที่เดิมและอาเว่ยที่ยืนนิ่งห่างออกมาฝั่งโต๊ะที่มีแท่นวางหมึกอยู่ ความเงียบกลับมาครอบคลุมกระโจมหลังใหญ่อีกครา เสียงหายใจเข้าออกของสองสิ่งมีชีวิตดูเหมือนว่าจะสร้างความอึดอัดใจอย่างคนคันปากสงสัยแต่ไม่กล้าเอ่ยถามเช่นอาเว่ยไม่น้อย
“อยากพูดอันใดก็พูดมาเถอะ”
อาเว่ยก้าวเดินขึ้นมาข้างหน้าก่อนคำนับหนึ่งครั้งเพื่อขออภัยล่วงหน้าก่อนเอ่ยถาม
“ท่านแม่ทัพไม่เชื่อคำสารภาพของพวกมันที่บอกว่าท่านหญิงคือผู้จ้างวานหรือขอรับ”
เมื่อคืนนี้เองที่กลุ่มโจรชั่วที่พวกเขาตามสืบจนจับมาได้ว่าเป็นกลุ่มเดียวกับที่ถูกจ้างวานมาจับตัวแม่นางฉินหลิงไปและฆ่า พวกมันเพิ่งยอมสารภาพหลังจากถูกทรมานมานานหลายวัน
พวกมันบอกว่าที่ทำไปล้วนทำตามคำสั่งของผู้ว่าจ้าง ซึ่งก็คือฮูหยินของท่านแม่ทัพ ท่านหญิงจื่อเหยานั่นเอง พวกมันสารภาพว่าพอจัดการปลิดชีพแม่นางฉินหลิงเสร็จก็หนีออกมาจากบ้านร้างแห่งนั้น ส่วนเรื่องที่พวกทหารของค่ายไปเจอศพของนางที่ริมแม่น้ำพร้อมหลักฐานที่นางคือสายลับอาจเป็นแผนการของฝ่ายศัตรูที่คิดใช้ไม้นี้ปกปิดร่องรอยของตัวสายลับตัวจริง โดยใช้แม่นางฉินหลิงเป็นแพะต่อมา
เรื่องหลังนี้ยังอยู่ในการคาดเดา แต่เรื่องที่พวกมันสารภาพนั้นมีหลักฐานเป็นลายมือของท่านหญิงจื่อเหยาลงนามในสัญญาว่าจ้าง
อาเว่ยรู้สึกแปลกใจตั้งแต่ท่านแม่ทัพเรียกผู้บงการฆ่ามาหาแล้ว และยิ่งเห็นกับตาว่าท่านแม่ทัพให้โอกาสคนร้ายเขายิ่งไม่เข้าใจไปกันใหญ่
“ข้ามีความสงสัยบางอย่างระหว่างตัวนางกับฉินหลิงที่ยังไขไม่ได้ อีกอย่างหลักฐานสัญญาว่าจ้างนั่นก็มิใช่ว่าจะปลอมแปลงมิได้เสียหน่อย...”
เหวินเจี๋ยพิจารณาดูแล้วเรื่องเหล่านี้ยังมีจุดไม่สมเหตุสมผลอยู่หลายแห่ง จนกว่าเขาจะสืบพบคำตอบทั้งหมดเขาจะยังไม่ตัดสินความผิดใครไป อีกอย่างการที่ท่านหญิงสูงศักดิ์อย่างจื่อเหยาบอกว่าจะสืบเรื่องคนที่นางลงมือจ้างวานจ้างให้คนมาฆ่าเองนั้น ดูน่าสงสัยเกินไป
จะบอกว่าท่านหญิงทำไปเพื่อต้องการทำลายหลักฐานเพื่อไม่ให้เกี่ยวโยงไปถึงตนก็ดูเป็นวิธีที่ไม่ฉลาดเท่าไรนัก
“เรื่องนั้น บ่าวกลัวว่าท่านหญิงจะเข้ามาทำให้เรื่องราววุ่นวายไปกว่าเก่านะขอรับ นางเป็นเพียงสตรีอยู่แต่ในเรือนจะสามารถสืบเรื่องซับซ้อนเหล่านี้ได้อย่างไร”
เรื่องที่อาเว่ยกังวลไม่มีเหตุผล มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้ความจริงว่าแม่นางฉินไม่ใช่สายลับตัวจริง ตอนนี้ท่านแม่ทัพก็กำลังวางแผนจับสายลับผู้นั้นอยู่ โอ หรือว่า...
“เจ้าคิดว่าข้าตั้งใจให้นางสืบหาความจริงได้หรือ? อีกไม่นานหนอนร้ายนั่นต้องเผยตัวแล้ว พวกเราเตรียมตัวให้พร้อมก็พอ...”
อาเว่ยพยักหน้าอย่างคนเพิ่งเข้าใจแผนการของเจ้านาย
ที่แท้ ท่านแม่ทัพก็ไม่ได้ไม่เชื่อคำสารภาพของพวกโจรร้ายที่พวกเขาจับได้ แต่ตั้งใจเรียกนางมาเพื่อจับตาดูและเป็นหมากกระตุ้นให้สายลับตัวจริงเผยตัวออกมาเท่านั้นเอง...
จื่อเหยาตามอาจ่งไปยังกระโจมเก็บรายงานประจำวันของกองทัพ นางอ่านผลการชันสูตรและเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการตายของฉินหลิงแล้ว ก็ไม่แปลกใจที่พวกเขาจะคิดว่านางคือสายลับของศัตรู
ตอนมีทหารในค่ายพบศพของฉินหลิงไร้ลมหายใจเกยริมฝั่งแม่น้ำอยู่นั้นค้นตัวพบป้ายไม้มีตราของแคว้นฉู่อยู่ด้วย อีกทั้งกลุ่มทหารกลุ่มนี้ที่มาทางนี้ก็เพราะกำลังตามรอยของผู้ก่อเหตุวางเพลิงกองเสบียงของค่ายมา พบศพของฉินหลิงพร้อมหลักฐานว่าเป็นคนจากแคว้นอื่นเพียงนี้ค่อนข้างมีหลักฐานมัดตัวที่แน่ชัด พวกเขานำศพของนางกลับมาชันสูตรต่อพบว่าสาเหตุการตายคือดื่มยาพิษเข้าไป อีกทั้งมีร่องรอยการถูกเฆี่ยนตีที่หลังอันเป็นแผลสดใหม่ก็เดาไปกันว่า ฉินหลิงหลังจากวางเพลิงเสร็จกำลังจะหนีไปแคว้นตรงข้ามแต่ถูกคนของแคว้นนั้นทรมานและฆ่าปิดปากเสียก่อน
นางอ่านรายงานแล้วก็มีความรู้สึกหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ
เป็นความรู้สึกปวดใจที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก ชาติก่อนนางทำประโยชน์ให้กับค่ายทหารนี้ตั้งมากมาย แต่พอมีเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียวทุกคนก็พร้อมเข้าใจผิดอย่างไม่มีใครเอะใจ
ทั้งที่ความจริงแล้วนางในชาติก่อนยอมตายเพื่อปกป้องค่ายนี้ นางไม่ปริปากบอกความลับใดใดเลยต่างหาก...
ทว่าความรู้สึกอ่อนไหวเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้นางหาหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธ์ได้ มีเพียงต้องหาพิสูจน์ความจริงเท่านั้น
“อาจ่ง เจ้าไม่คิดหรือว่าหากแม่นางฉินหลิงคือผู้วางเพลิงกองเสบียงจริง เหตุใดบนกายของนางถึงไม่ทิ้งร่องรอยที่บ่งบอกได้เลย เช่น อาจมีเขม่าไฟ เสื้อผ้าเลอะน้ำมัน...”
ในกระโจมนี้มีนาง เหมยฮวาและอาจ่งที่ยืนเฝ้ามองตนอยู่เท่านั้น
“คิดขอรับ เพียงแต่ตอนพบศพ ทั้งร่างของแม่นางฉินหลิงเปียกน้ำ ก็อาจเป็นไปได้ที่หลักฐานพวกนั้นถูกน้ำชะล้างไปหมดแล้ว”
เป็นเช่นนี้เอง... พวกศัตรูจัดฉากได้ดีจนหาจุดโหว่ยากทีเดียว
“ข้าขอไปดูศพแม่นางฉินหน่อย อาจ่งช่วยนำไป...”
“เรื่องนี้ท่านแม่ทัพไม่อนุญาตขอรับ”
จื่อเหยาขมวดคิ้วทันควัน เขาให้เวลานางเพียงสามวันแต่กลับไม่ให้นางไปดูเบาะแสที่น่าจะช่วยนางได้มากที่สุดเช่นนั้นหรือ แล้วนางจะสืบได้อย่างไรกัน
“เช่นนั้นเจ้าช่วยบอกสิ่งที่ท่านแม่ทัพและพวกเจ้าสืบมาได้แล้วทั้งหมดที”
“พวกเราสืบได้เท่าที่ท่านได้อ่านในรายงานเลยขอรับ”
จื่อเหยาฟังแล้วถึงกลับริมฝีปากกระตุกทันใด แท้จริงแล้วการที่เขาอนุญาตให้เข้ามายุ่งเรื่องนี้ได้ก็เป็นเพียงลมปากเท่านั้นเอง จื่อเหยาก็ว่าแล้วเชียวคนอย่างเขาจะยอมให้สตรีนางหนึ่งเข้ามายุ่งด้วยง่ายเพียงนั้นเชียวหรือ...
นางเชื่อว่าพวกเขาสืบพบมากกว่าที่นางได้อ่านในรายงานนี้แน่ แต่เขาไม่คิดให้นางเข้ามาช่วยแต่แรก ไม่แน่การที่เขาอนุญาตให้จื่อเหยาทำทั้งหมดนี้คงวางนางเป็นหมากตัวหนึ่งในแผนการของเขาก็เป็นได้!
ในเมื่อเขาไม่ได้มองนางอยู่ฝ่ายเดียวกับเขา เช่นนั้นก็แยกกันสืบก็แล้วกัน
“อาจ่ง ฝากแจ้งท่านแม่ทัพฉีด้วยว่าข้าขอเปลี่ยนตัวคนติดตาม เจ้าไม่ต้องตามข้าแล้วให้นายทหารจางอี้เทาเป็นผู้ติดตามข้าแทน”
อาจ่งรีบอ้าปากแย้งทันที เพราะในเมื่อคำขอนี้ของนางมันกำลังขัดกับคำสั่งของเจ้านายของเขา
“เรื่องนี้ต้องให้บ่าวไปถามท่านแม่ทัพก่อขอรับ ดะ...”
“ไม่ต้อง เพราะข้าให้เจ้าไปแจ้ง ไม่ใช่ให้ไปขออนุญาต”
จื่อเหยาเอ่ยจบก็เดินนำออกจากกระโจมทันที นางไม่คิดว่าอดีตเจ้านายในชาติก่อนนั้นจะไร้เหตุผลเช่นนี้ ในเมื่อใช้เล่ห์มานางก็ใช้มันกลับไม่เห็นผิดตรงไหน
“ตอนนี้ท่านหญิงนางมุ่งหน้าไปยังที่โรงเก็บอาวุธแล้วขอรับ”
อาจ่งยืนรอคำตอบนิ่งต่อหน้าฉีเหวินเจี๋ยที่กำลังตั้งใจเขียนงานตนเองอยู่ เขาเขียนต่อไปจนกระดาษหมดแผ่นแล้วจึงเงยหน้าตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยต่างจากอาจ่งที่ในใจหวั่นเกรงจนออกทางสีหน้าชัดเจน
“เจ้าไม่ต้องขวางนางหรอก นางอยากทำอันใดก็ทำไปขอเพียงไม่ก่อเรื่องวุ่นวายในค่ายก็เป็นพอ เจ้าเพียงตามนางอยู่ห่างๆอย่าให้คลาดสายตา”
เสียงถอนหายใจยาวอย่างโจ่งแจ้งของอาจ่งทำให้อาเว่ยแอบส่ายหน้าอย่าเอือมระอา เขาได้แต่ส่งสายตาอย่างเวทนามองสหายที่ได้รับหน้าที่แสนลำบากใจ แต่ตัวเองก็ช่วยอันใดไม่ได้มากนักเพราะเขาเองก็มีงานที่ทำยังไม่เสร็จสิ้นเช่นกัน
“เอ่อ เช่นนั้นบ่าวจะรีบตามท่านหญิงไปเดี๋ยวนี้ขอรับ และจะให้คนมารายงานความคืบหน้าของนางแก่ท่านเป็นช่วงๆ”
“ไม่ต้องหรอก ข้าไม่มีความจำเป็นอันใดต้องรู้เรื่องนั้น เจ้ารีบออกไปเสีย”
“ขอรับ บ่าวลา”
ที่แท้อาจ่งก็กังวลมากไปนี่เอง เขานี่สมองตื้นเสียจริง การปล่อยให้ท่านหญิงจื่อเหยาเข้ามาสืบเป็นเพียงแผนการหลอกล่อสายลับเท่านั้น ท่านแม่ทัพไม่ได้คิดว่านางจะช่วยได้จริงเสียหน่อย
