ห้า
ทวงอำนาจกลับคืน
จื่อเหยาเดินแยกจากเหล่าสตรีจวนฉีมาแล้ว จากเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ผ่านมาทำให้นางตัดสินใจว่าตนจะต้องมีอำนาจในจวนเป็นอันดับแรก ก่อนจัดการเรื่องหาเหตุผลการตายของจื่อเหยาร่างเดิมด้วยซ้ำ มิเช่นนั้นนางก็จะไร้ตัวตนและไม่สามารถสั่งการคนในจวนได้อย่างเช่นวันนี้ มันทำให้ทุกสิ่งที่จะทำดูยากไปเสียหมด
ระหว่างทางกลับเรือนที่มีเพียงนางและบ่าวตัวน้อยอย่างอาเหมยบทสนทนาก็เป็นเรื่องที่จื่อเหยาต้องการรู้
“อาเหมย เจ้าว่าฮูหยินรองของท่านอดีตประมุขและคุณหนูรองชอบในตัวสะใภ้เช่นข้าหรือไม่กัน?”
อาเหมยนั้นเริ่มชินกับคำถามของเจ้านายตนที่ชอบถามความเห็นและพาย้อนอดีตเสียแล้ว ช่วงแรกถูกถามทีก็พอให้รู้สึกประหลาดใจที่เจ้านายของตนเหมือนจำอดีตไม่ได้ แต่พออยู่ด้วยกันไปมาก็เริ่มรู้สึกว่าการที่ถูกถามก็ดูเหมือนว่าตนมีความสำคัญขึ้นมามากกว่าเก่าก่อน ความรู้สึกสงสัยเหล่านั้นเปลี่ยนไปเป็นตอบคำถามอย่างตั้งใจแทน
“อาเรื่องนี้ต้องเล่าย้อนความไปเมื่อตอนที่ฮูหยินถูกแต่งเข้ามาใหม่ๆเจ้าค่ะ ตอนนั้นฮูหยินค่อนข้างไม่พอใจที่จวนตระกูลฉีต้อนรับอย่างไม่สมเกียรติ ท่านแม่ทัพฉีไม่เพียงต้อนรับไม่พอ ฮูหยินรองจวนชิ่งและคุณหนูรองก็มาต้อนรับเพียงผักชีโรยหน้าเท่านั้นอีก แล้วยิ่งคนในจวนรู้ว่าฮูหยิน เอ่อ ไม่เป็นที่พอใจของท่านแม่ทัพฉีประมุขคนปัจจุบันจึงไม่มีใครปรนนิบัติอย่างสมตำแหน่ง มีคราหนึ่งฮูหยินเองทนไม่ไหวไปสั่งสอนฮูหยินรองจวนชิ่งเสียที่เรือน หลังจากนั้นท่านทั้งสองก็แตกหักไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีกเลยเจ้าค่ะ ด้วยความที่ฮูหยินรองมีอำนาจดูแลจวนร่วมกับพ่อบ้านกวง ผู้เป็นคนเก่าแก่ที่เคยเป็นผู้ช่วยให้ฮูหยินใหญ่ของอดีตท่านประมุขที่ตายไปแล้วมาก่อน จึงพาลดูแลท่านอย่างไม่เหมาะสมไปด้วย หากมีเรื่องอันใดต้องติดต่อท่านก็มักส่งคุณหนูรองมาเจรจาแทนเจ้าค่ะ”
ไม่ยุ่งเกี่ยวกันที่ว่าแต่ท่านหญิงไร้อำนาจเช่นนางก็คงถูกกลั่นแกล้งลับหลังด้วยเป็นแน่ สังเกตจากที่ของภายในเรือนล้วนเก่า เสื้อผ้าที่มีก็เหมือนว่าจะเป็นสินเดิมของจื่อเหยาที่นำติดมาด้วยเสียส่วนใหญ่ ไหนจะเรื่องที่จวนชิ่งเรียกเจ้าอาวาสวัดใดไม่รู้มาไล่วิญญาณร้ายอีก นางคงคิดว่าจื่อเหยาฝักใฝ่ลัทธิมารของจริงกระมัง แต่กลับถูกคนอื่นหลอกใช้อีกที จนเกือบทำให้จวนฉีเสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้ว
“หากทั้งจวนชิ่งและพ่อบ้านกวงไม่ส่งของที่ควรส่งมาให้ข้าก็ถือว่าบกพร่องในหน้าที่นะ เหตุใดข้าในอดีตไม่ไปร้องเรียนสามีกันเล่า”
อาเหมยส่ายหน้าพัลวันก่อนรีบเอ่ยต่อ “เรื่องนั้นฮูหยินเองเคยไปร้องเรียนท่านแม่ทัพฉีถึงค่ายทหารแล้วเจ้าค่ะแต่ไม่ได้พบ อีกทั้งพอส่งจดหมายไปแจ้งแทนก็ไม่มีการตอบกลับมา...”
ได้ยินดังนั้นจื่อเหยาก็พยักหน้าอย่างเข้าใจเรื่องราว ชาติที่แล้วนางอยู่ในบทบาทลูกน้องของฉีเหวินเจี๋ย เขาคือเจ้านายที่ดีคนหนึ่ง สนใจที่ความสามารถและความพยายามของคนมากกว่าเพศกำเนิด ให้โอกาสคนเสมอมา แต่พอชาตินี้นางมาเกิดในร่างของฮูหยินของเขา ได้รู้ว่าเขาปฏิบัติต่อภรรยาของเขาอย่างไม่ใส่ใจเกินรับไหว แม้นเป็นเจ้านายที่นางเคารพรักก็ไม่คิดจะอยู่ในสถานะฮูหยินนี้ต่อไปหรอก เมื่อจัดการหาสาเหตุการตายจองจื่อเหยาคนเก่าได้แล้วนางก็ต้องเตรียมตัวหย่าออกไป หากรีบหนีออกไปตอนนี้มีแต่จะส่งผลร้ายต่อตนและอาจลามไปถึงตระกูลหลี่ ครอบครัวที่อยู่เมืองหลวงของร่างนี้ก็เป็นได้ แม้นไม่มีความผูกพันธ์กันแต่นางก็ขอตอบแทนพวกเขาด้วยการไม่สร้างเรื่องเสื่อมเสียให้
“เอ่อ จะว่าไปข้าจากตระกูลหลี่มานาน คิดว่าจะส่งจดหมายไปหาพวกเขาสักหน่อย อาเหมยช่วยเตรียมของหน่อยก็แล้วกัน”
สิ้นคำพูด บ่าวตัวน้อยก็หยุดเดินโดยพลัน นางมีสีหน้าตกตะลึงก่อนจะฉีกยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่จื่อเหยาเคยเห็นอาเหมยยิ้มมา
“ในที่สุดฮูหยินก็ยอมขอความช่วยเหลือตระกูลหลี่แล้ว! อ่า บ่าวจะรีบไปเตรียมชุดพู่กันและกระดาษมาให้ท่านเดี๋ยวนี้นะเจ้าคะ ละ...”
“เดี๋ยวก่อน เจ้าหยุดนิ่งก่อนข้าไม่รีบเพียงนั้น ข้ามีเรื่องจะถาม”
จื่อเหยาเอะใจในท่าทีนี้ เมื่อครู่นางคิดสงสัยว่าเหตุใด
จื่อเหยาคนเก่าที่เป็นถึงบุตรสาวของพระขนิษฐาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ไม่ขอให้ทางบ้านช่วยกัน หรือเพราะขอความช่วยเหลือไปแล้วไม่มีการตอบรับกันแน่ แต่ตอนนี้นางได้คำตอบแล้วล่ะ
จื่อเหยาคนเก่ายังไม่ส่งจดหมายกลับไปขอความช่วยเหลือเลย...
“ฮูหยินมีอันใดหรือเจ้าคะ?”
“ในความคิดของเจ้า ว่าข้าควรเขียนไปให้ท่านแม่ช่วยข้าหย่ากับแม่ทัพฉีดีหรือไม่!?”
คำถามนี้นางใช้เป็นจุดเริ่มต้นที่จะเริ่มดึงข้อมูลทางบ้านของจื่อเหยาคนเดิมที่ไม่มีในความทรงจำตอนนี้เลย ที่บอกว่าจะส่งจดหมายก็เป็นเพียงกลให้อาเหมยเอ่ยเรื่องเหล่านี้
“เรื่องนี้บ่าวไม่กล้าเสนอความคิดเห็นหรอกเจ้าค่ะ”
“คำสั่งของข้า บ่าวเช่นเจ้าก็ขัดไม่ได้เช่นกันกระมัง อาเหมยเจ้าบอกว่าเถอะว่าเจ้าคิดอย่างไรข้าไม่ลงโทษอันใดเจ้าหรอก”
บ่าวเหมยถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนเอ่ยตอบ “เรื่องนี้บ่าวเกร็งว่าจะทำให้องค์หญิงเฉียงฮุย มารดาของท่านกริ้วได้เจ้าค่ะ จะดีกว่าหากท่านส่งหานายท่านใหญ่ หรือไม่ก็คุณชายหลี่เจ้าค่ะ”
เดาว่าจื่อเหยาผู้นี้คงได้นิสัยถือตนสูงศักดิ์มาจากมารดาที่เป็นถึงองค์หญิงของแคว้นเป็นแน่ นางถามอาเหมยอีกนิดหน่อยก็พอเดาได้ว่าสาเหตุที่จื่อเหยาไม่ส่งจดหมายขอความช่วยเหลือกลับไปเพราะไม่อยากให้ฝ่ายตระกูลหลี่รับรู้ว่านางจัดการตระกูลสามีเองไม่ได้ โดยเฉพาะไม่อยากให้ผู้เป็นมารดารู้
นางได้รู้ถึงความสัมพันธ์ของตระกูลตนเองที่อยู่เมืองหลวงมากขึ้นว่าเก่าก่อน จื่อเหยาเป็นบุตรสาวคนเดียว มีพี่ชายหนึ่งคนที่ดูเหมือนว่าจะรักกันดี แต่ตะล่อมถามอาเหมยอย่างไรก็ไม่รู้ถึงสาเหตุว่าทำไมท่านหญิงเช่นจื่อเหยาต้องแต่งมาให้ท่านแม่ทัพฉี ที่แม้เป็นตระกูลแม่ทัพเก่าแก่คู่บุญมาตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์แต่ก็อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงนัก อีกทั้งอยู่ชายแดนสิ่งที่ต้องเจอก็คือชีวิตที่ยากลำบากมากขึ้นและเสียงชีวิตเมื่อถึงคราวศึกอีกด้วย
เหตุผลที่รู้คือเป็นรับสั่งของเสด็จลุงอย่างฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ทว่าไม่ใช่สมรสพระราชทานที่จำเป็นต้องทำตามอย่างไร้ข้อกังหา แต่เป็นรับสั่งที่ทั้งสองฝ่ายพอปฏิเสธได้ แต่กลับไม่มีฝ่ายไหนปฏิเสธเลย
คิดแล้วก็ปวดหัว สิ่งที่รู้นี้ อย่างไรก็คงเดาเบื้องลึกเบื้องหลังไม่ออกหรอก...
“งั้นเอาเป็นว่าเรื่องส่งจดหมายให้ตระกูลหลี่ข้าไม่รีบดีกว่า ตอนนี้ข้าต้องเข้าพบสามีให้ได้เป็นอันดับแรก เจ้าไปสืบมาว่าแม่ทัพฉีอยู่ที่ใด จะไปถามสารถีหรือใครก็ได้ หากไม่พบตัวก็ถามว่าพวกเขาเห็นท่านแม่ทัพคราล่าสุดเมื่อใดก็ได้แล้วนำมาบอกข้า”
อาเหมยเผยสีหน้าเสียดายชั่วครู่ก่อนพยักหน้ารับคำและเตรียมจะจากไป แต่ก็ถูกเจ้านายของตนเรียกไว้อีกแล้ว
“อ้อ เจ้าไม่ต้องไปที่เรือนของเขานะ เพราะเดี๋ยวทางนั้นข้าจัดการเอง”
จื่อเหยาไม่ใช่คนงอมืองอเท้ารอคอยให้คนอื่นทำงานให้ นางเลือกหน้าที่ที่เหมาะสมให้บ่าวคนเดียวของตน ส่วนงานอีกส่วนที่สำคัญนางจะเป็นคนลงมือเอง
จื่อเหยาเปลี่ยนเป็นมุ่งหน้าไปที่เรือนของประมุขจวน แม้พอคาดเดาได้เต็มอกว่าเขาไม่น่าอยู่ที่จวนฉีด้วยซ้ำ แต่นางก็จำเป็นต้องมาตรวจสอบให้แน่ใจพร้อมทั้งเอ่ยกับผู้ดูแลเรือนของแม่ทัพฉีโดยตรงว่านางมีเรื่องต้องพบเขาให้ได้
อย่างไรเรื่องที่จวนชิ่งเรียกเจ้าอาวาสปลอมมาจนเกือบทำลายชื่อเสียงตระกูลฉีก็เกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพราะความตั้งใจให้เกิดหรือไม่ แต่จื่อเหยาต้องรีบใช้เรื่องสดใหม่นี้จัดการทวงอำนาจในจวนของตนกลับมา
ทว่าพอนางเดินทางมาถึงหน้าเรือนทำงานของฉีเหวินเจี๋ยก็พบทั้งจวนชิ่งและคุณหนูรอง ฉีหว่านอิ๋ง ที่มาขอเข้าพบเจ้าของเรือนก่อนหน้านางเพียงไม่นานเช่นกัน
“ท่านแม่ทัพไม่กลับมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วขอรับ ต้องเชิญพวกท่านกลับไปก่อนขอรับ”
“เช่นนั้นพี่เหวินเจี๋ยจะกลับมาเมื่อใดหรือ เขาได้แจ้งอันใดไว้หรือไม่”
หว่านอิ๋งที่ยืนอยู่ข้างจวนชิ่งเปิดปากถามเสียงอ่อนหวาน คนฟังอย่างบ่าวนามหวงยืนหน้านิ่งเฝ้าเรือนประมุขมาตลอดตอบรับเสียงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“เรียนคุณหนูรองขอรับ นายท่านไม่ได้แจ้งอันใดไว้เลย ไม่แน่ว่าอาจมีงานด่วนเข้าก็เป็นได้ขอรับ หากนายท่านกลับมาบ่าวจะส่งคนไปแจ้งท่านขอรับ”
“ขอบใจมาก”
จวนชิ่งหันหลังกลับมาด้วยสีหน้าฉายความผิดหวัง แต่พอเห็นว่าจื่อเหยามายืนด้านหลังไกลออกไปไม่กี่ก้าวสีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปทันใด แววตาเศร้าเล็กน้อยในตอนแรกวาววับประกายกล้าดุจพบศัตรูทันที
“เจ้า! เหตุใดมายืนอยู่ที่นี่กัน ต้องการมาฟ้องอันใดเช่นนั้นหรือ?”
นี่ล่ะ อาการของคนผิดและร้อนตัวไปจนเห็นได้ชัด ดูท่าแล้วเหตุผลที่จวนชิ่งมาอยู่ที่นี่ก็คงเป็นเพราะเหตุการณ์ที่ตนเองสร้างไว้เมื่อครู่แน่ ซึ่งจื่อเหยาก็มาด้วยเรื่องเดียวกัน แต่เมื่อคนต้องการคุยด้วยไม่อยู่อย่างที่คาดไว้ก็คงต้องกลับไปรอข่าวอื่นจากอาเหมยที่เรือนของตนแทน
“เดี๋ยวสิ ผู้ใหญ่ถามแล้วไม่ตอบหรือ? ช่างไร้มารยาทเป็นที่อับอายของตระกูลหลี่เสียจริงๆ หรือว่าเพราะเจ้ามีกริยาเช่นนี้องค์หญิงเฉียงฮุยทรงทนไม่ไหวจนต้องส่งเจ้าออกเรือนมาไกลเพียงนี้กระมัง”
“แม่รองเจ้าคะ ท่านพูดเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”
หว่านอิ๋งเอ่ยห้ามแต่เหมือนคนพูดยิ่งได้ใจ จวนชิ่งก้าวเดินมาหาจื่อเหยาที่วันนี้มาเพียงคนเดียวอย่างไม่กลัวเกรงอันใดก่อนเอ่ยต่อ
“หากไม่เพราะฝ่าบาทรับสั่งกึ่งบังคับมาจวนตระกูลฉีก็คงไม่รับไว้เช่นกัน! ข้าพูดมาเช่นนี้มีตรงไหนเกินไปบ้างเล่า แต่งเข้าจวนเราก็เกือบครึ่งปีแล้วนางทำหน้าที่ใดเหมาะสมแก่ฮูหยินท่านประมุขบ้าง ข้าในฐานะผู้ใหญ่ในจวนจำต้องสั่งสอน ผิดเสียที่ไหนกัน เหอะ!”
ยิ่งจื่อเหยานิ่งไม่เอ่ยโต้ตอบคนพูดก็ยิ่งได้ใจ นางนิ่งเพราะหนึ่งเลยนางไม่ใช่จื่อเหยาคนเดิมที่ต้องเจ็บปวดกับเรื่องของตนเสียหน่อย และอีกเหตุผลคือนางกำลังเก็บข้อมูลจากสิ่งที่จวนชิ่งพ่นออกมาอยู่ต่างหาก ทว่าเมื่อฟังแล้วก็เริ่มมีแต่เนื้อหาไร้สาระก็ถึงคราวที่จื่อเหยาต้องตอบโต้บ้างแล้ว
“ผู้ใหญ่จะสั่งสอนผู้น้อยข้าว่าไม่ผิดหรอก แต่คนที่จะสั่งสอนผู้อื่นก็ควรทำสิ่งนั้นได้ก่อนที่จะสอนผู้อื่นด้วยสิถึงจะเป็นสิ่งที่ควร แล้วไม่ว่าอายุเท่าใดหากเชี่ยวชาญในสิ่งนั้นย่อมสอนได้ทั้งสิ้น!”
จวนชิ่งฟังแล้วรู้สึกหน้าชาทันใด คำพูดเมื่อครู่นี้แปลความได้ว่านางไม่มีมารยาท ไม่ควรสอนมารยาทผู้อื่นมิใช่หรือ
“เถียงผู้อาวุโสเช่นนี้ต้องถูกลงโทษตามกฎของจวนแล้ว อิ๋งเอ๋อร์เจ้าไปนำพ่อบ้านกวงมา ข้าไม่ปล่อยให้นางละเลยกฎจวนอีกต่อไปแล้ว!”
“แม่รองเจ้าค่ะ ทะ...”
“ไปพามาก็ดีเช่นกัน คนที่พาคนนอกเข้ามาค้นจวนทุกซอกทุกมุม และเกือบทำให้เกิดเรื่องอับอายขายหน้า เสื่อมเสียชื่อเสียงทั้งจวนจะได้ถูกลงโทษไปพร้อมๆกันเสียเลย”
จะลงโทษใครก็ต้องไม่กลัวว่าตนถูกลงโทษด้วยเช่นกัน หากนางผิดจริงก็ยอมถูกลงโทษอยู่แล้ว รอคนพูดทำปากเก่งเถอะว่าจะยินยอมหรือไม่กัน
“เรื่องเมื่อครู่ข้าก็ถูกหลอกมาเช่นกัน ก็ใครให้เจ้าพาเหล่าวิญญาณร้ายมาทำพิธีจนข้าหวั่นใจนอนหลับไม่เป็นสุขกันเล่า ต้นเหตุก็คือเจ้าต่างหากที่เริ่มไปเข้าลัทธิประหลาดเสียก่อน อ้อ แล้วหากจะกล่าวหาว่าข้าคือคนทำให้ตระกูลเสื่อมเสียชื่อเสียงเจ้าก็ต้องถูกลงโทษอีกเช่นกัน ในเมืองนี้ต่างรู้กันถ้วนทั่วแล้วว่าเจ้ามันพวกมารร้ายฝักใฝ่มนต์ดำ!”
“เรื่องเจ้าหวั่นใจหาได้เพราะข้าไม่ อันใดถึงได้มาลงที่ข้ากันเล่า อีกอย่างมีหลักฐานหรือว่าข้าไปเข้าลัทธิมารอันใดนั่น ช่วยแถลงไขทีเถอะ!”
เพราะนางก็อยากสืบเรื่องเจ้าสำนักอะไรนั่นต่อเช่นกัน ในเมื่อตามหาตัวคนไม่ได้หากมีหลักฐานอื่นใดเพิ่มมานางก็พลอยเบาใจหน่อย อา แต่ดูจากสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของจวนชิ่งแล้วคงไม่มีหลักฐานแน่นอน
“เจ้าทำลายทิ้งหมดแล้วกระมัง ถึงได้กล้าพูดเช่นนี้ แต่ถึงอย่างไรเรื่องที่เจ้าไม่เคารพผู้อาวุโสในจวนก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดี วันนี้ข้าต้องโบยเจ้าด้วยไม้โบยเสียหน่อย!!! อาชิงเจ้าไปนำไม้โบยของจวนมาเดี๋ยวนี้!”
ไม่ว่าหว่านอิ๋งจะเอ่ยห้ามอีกกี่ครั้งก็ไม่ทันแล้ว อาชิงบ่าวของจวนชิ่งวิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว
ตรงหน้าเหลือเพียงสตรีในชุดกรุยกรายหายใจหอบ ในอกเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธ ส่วนหว่านอิ๋งก็ได้แต่คอยลูบปลอบและประคองสตรีอายุกว่าไว้
