หนึ่ง
ฮูหยินของแม่ทัพฉี
หลังจัดการเรื่องวุ่นวายจบลงแล้วจื่อเหยาก็มีเวลาอยู่คนเดียวเสียที นางนำธูปที่จุดทั้งหมดที่หาได้ในห้องไปดับไฟ จัดการเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายให้เข้าทีพอให้อาศัยอยู่ได้ พวกซากเหม็นเน่าและลอยเลือดก็ทำลายทิ้งให้กลิ่นหายอย่างถาวร ยังดีทีเหมือนว่าสามีและคนในจวนไม่ได้อยากอยู่ที่นี่นาน ไม่น่าทันสังเกตรายละเอียดอันใดมาก การที่จื่อเหยาใช้กลิ่นธูปหอมกลบกลิ่นคาวเลือดและใช้ควันของธูปบดบังการมองเห็นจึงพอทำให้เหตุการณ์เมื่อครู่ผ่านไปได้ด้วยดี
เอาล่ะ ตอนนี้ชาติที่สามและคงเป็นชาติสุดท้ายที่สวรรค์ให้โอกาสจื่อเหยาได้ใช้ชีวิตก่อนไปลงนรก ฉะนั้นนางต้องกลับมาพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นให้ดี มิเช่นนั้นอาจตายอีกรอบโดยไม่รู้ตัวเอาได้
ชาติแรกจื่อเหยาอยู่ในยุคแห่งเทคโนโลยีที่กำลังผลัดเปลี่ยนกลายเป็นเอไอครองโลก นางในฐานะสายลับอิสระรับงานเป็นโปรเจคไม่สังกัดองค์กรใด กำลังแฝงเข้าไปสืบข่าวในองค์กรผิดกฎหมายแห่งหนึ่ง แต่ข้อมูลตัวตนของนางกลับรั่วไหลจนถูกจับได้ซึ่งบทลงโทษก็คือความตายนั่นเอง...
แต่ใครจะคิดเล่าว่าสวรรค์กลับให้โอกาสนำวิญญาณสายลับสาวย้อนมาในยุคจีนโบราณ ใส่วิญญาณอายุสามสิบกว่าลงในร่างเด็กน้อยกำพร้าที่อดอยากจนตาย นางในชีวิตที่สองต้องเอาตัวรอดอย่างยากลำบากจนในที่สุดก็ใช้ความสามารถและทักษะสายลับที่ฝึกฝนมาในชาติแรกเข้ากองทัพไต่เต้าจนได้เป็นคนสนิทของท่านแม่ทัพมากฝีมืออย่าง ฉีเหวินเจี๋ย นางอาศัยอยู่ในกองทัพนับว่าเป็นชีวิตที่สะดวกสบายในฐานะสตรีหนึ่งเดียวในค่ายทหารที่คนนับถือ ภาพจำสุดท้ายของนางก่อนมาเกิดใหม่ในร่างฮูหยินจากสกุลหลี่ก็คือ นางถูกคนฝ่ายศัตรูจับตัวไปเค้นความ เมื่อไม่บอกก็ถูกฆ่าตาย...
ที่น่าคิดคือนางมาเกิดในร่างฮูหยินของเจ้านายที่นางนับถือแล้ววิญญาณเจ้าของร่างตอนนี้ไปอยู่ที่ใดกัน เท่าที่ตรวจดูร่างกายนี้ไม่มีบาดแผลใด สิ่งที่น่าจะเป็นต้นเหตุเดียวคือรสฝาดคาวเลือดในปากตอนนางฟื้นในร่างนี้แรกๆ
สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ จื่อเหยาคนก่อนตายเพราะถูกพิษ
จะว่าถูกคนจับกรอกหรือบังคับไม่ใช่แน่นอน สภาพโดยรอบตอนนางลืมตาตื่นคือเหมือนจื่อเหยาคนก่อนกำลังทำพิธีสักอย่างแล้วตายไป ไร้ร่องรอยการต่อสู้ สิ่งที่อาจใช่คือกินยาพิษไปโดยไม่รู้ตัวหรือไม่ก็ตั้งใจยกดื่มเพื่อปลิดชีพตนเอง
หากเป็นอย่างหลังก็ดีไปแต่หากตายเพราะไม่รู้ว่าตนได้รับพิษเช่นนั้น นางที่มาอยู่ในร่างของจื่อเหยาต่อก็อันตรายแล้ว นางต้องสืบเรื่องนี้ต่อให้กระจ่าง เริ่มจากนำของเหลวที่เหลือในถ้วยใบนั้นไปตรวจสอบก่อนเลยว่าใช่พิษหรือไม่
จ่อก
เอ่อ ตอนนี้ร่างกายประท้วงเสียแล้ว จื่อเหยาคิดว่าก่อนสืบหาเรื่องการตายนางต้องหาอะไรลงท้องก่อน ทว่าเดินออกไปรอบๆเรือนกลับไม่เห็นบ่าวรับใช้เลยสักคน จนนางต้องเดินออกไปไกลหน่อยจึงพอเจอคนให้ใช้งานบ้าง
“จัดสำรับชุดใหญ่ไปที่เรือนของฮูหยินท่านประมุขที แล้วก็ให้คนเตรียมน้ำอาบเข้ามาด้วย”
สีหน้างุนงงของบ่าวตรงหน้าทำให้จื่อเหยาเดาบางอย่างได้ขึ้นมา
อย่าบอกนะว่าบ่าวในจวนไม่รู้จักเจ้านายอันดับสองอย่างฮูหยินเจ้าของจวน! เดาไม่ผิดแน่ คิ้วที่ขมวดมุ่นและการมองสังเกตจากบนลงล่างนี้ดูชัดเจนจนคนถูกมองทำตัวไม่ถูกไปเลย
“ข้าคือฮูหยินท่านประมุข เจ้ามิเชื่อหรือ?!”
จื่อเหยาเพิ่มความดังและขึ้นเสียงเล็กน้อย อย่างน้อยเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่อยู่บนกายก็ต้องใช้ประโยชน์ได้หน่อยนั่นล่ะ
“บ่าวมิอาจเอื้อมเจ้าค่ะ เดี๋ยวบ่าวจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
พรู่ ฮูหยินที่นางเคยเห็นเมื่อต้นเดือนวางอำนาจข่มคนในกองทัพ บัดนี้ตกยากถึงเพียงนี้เชียวหรือ
บ่าวข้างกายไม่มีสักคน ออกมานอกเรือนตัวเองทีก็ต้องถูกสายตามองมาอย่างไม่เป็นมิตรเช่นนี้อยู่ตลอด นางผู้ใช้ชีวิตต่ำตมมาก่อนไม่รู้สึกอันใดหรอก แต่สตรีสูงศักดิ์ผู้มียศเป็นถึงท่านหญิงอย่างหลี่จื่อเหยาคนเก่าสิ น่าจะรู้สึกเสียใจน่าดู
เหวินเจี๋ยเอ๋ยเหวินเจี๋ย ข้ามองว่าเจ้าเป็นผู้นำที่ดีในค่าย ไหนเลยจะคิดว่าจะเป็นผู้นำที่แย่ในจวนตนเองเช่นนี้เสียได้
ตอนสบตากันเมื่อครู่ สายตาว่างเปล่ามองมาแล้วรู้สึกวูบโหวงอย่างไรไม่รู้ ในความว่างเปล่านั้นจื่อเหยารับรู้ได้ถึงความเกลียดชังที่แฝงอยู่ภายในด้วยซ้ำ นางก็พอจะรู้มาบ้างว่าหลี่จื่อเหยาตบแต่งเข้ามาจากคำสั่งของฮ่องเต้ ท่านหญิงที่อยู่ในเมืองหลวงมาตลอดสิบกว่าปีต้องย้ายมาต่างเมืองเพื่อแต่งให้กับสามีที่ไม่คิดเหลียวแล สถานะเท่าที่สัมผัสมาไม่ถึงวันตกต่ำจนน่าเวทนา
ตอนนี้นางไม่กล้าเวทนาท่านหญิงคนเก่าแล้วเพราะชะตากรรมทั้งหมดล้วนกลายเป็นจื่อเหยาคนนี้ที่ต้องเดินหน้าต่อไปเอง
ยังดีที่รอไม่นานก็มีบ่าวแบกน้ำมาเติมใส่ถังให้นางอาบ จื่อเหยาแต่งตัวด้วยตัวคนเดียวเสร็จก็ออกมากินข้าวมื้อกลางวันที่ตอนแรกกับข้าวล้วนเป็นผักแต่พอสั่งให้เปลี่ยนก็มาครบครันชวนน้ำลายสออย่างเช่นตรงหน้าเลย
นางว่าร่างกายนี้ผอมบางเกินไป ต้องขุนให้มีน้ำมีนวลมากกว่านี้ ผสมกับออกกำลังเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ แผนการเอาตัวรอดในฐานะใหม่ชาติที่สามนี้รออยู่
“เจ้าน่ะ เป็นบ่าวประจำเรือนของข้าหรือ?”
ความทรงจำของจื่อเหยาคนเก่าไม่มีเลย นางจึงต้องเก็บข้อมูลทุกอย่างใหม่เริ่มจากคนรอบตัวก่อน
“มะไม่ใช่เจ้าค่ะ บ่าวเป็นบ่าวเรือนส่วนกลางเจ้าค่ะ”
“แล้วอยากเป็นบ่าวประจำของข้าหรือมะ...”
“ไม่เจ้าค่ะ บ่าวชอบงานเดิมอยู่แล้ว!”
จื่อเหยาเอ่ยยังไม่ทันจบประโยคนางก็ได้คำตอบเด็ดขาดมาแล้ว มันช่างสร้างความปวดใจให้ฮูหยินมือใหม่เช่นนางยิ่งนัก หากไม่เพราะเรือนนี้ใหญ่เกินไปนางก็ทำความสะอาดและดูแลตนเองได้อย่างที่เคยทำมาอยู่แล้ว แต่นี่กว่าจะเดินไปเอาของแต่ละแห่ง ทำความสะอาดอีกนางไม่ต้องมีเวลาทำอันใดที่เกี่ยวเนื่องกับแผนการในอนาคตแล้ว
หรือ ฮูหยินอันถือว่าเป็นเจ้านายคนรองของจวนขุนนางจะเอ่ยบังคับไปเลยดี อย่างน้อยนางก็รู้สึกถูกชะตากับบ่าวตัวน้อยตรงหน้า
แต่มองร่างกายสั่นเทาตรงหน้าแล้ว คำพูดที่ว่าจะบังคับก็ถูกกลืนลงท้องตามอาหารมื้อใหญ่ไปทันที
“อ้อ แล้วเอ่อ บ่าวส่วนตัวข้าเล่าไปไหนกันหมด เจ้าไปตามมาให้ข้าหน่อย”
อย่างน้อยคนที่น่าจะจริงใจกับร่างนี้มากที่สุดก็น่าจะเป็นบ่าวคนสนิทที่ตามมาจากเมืองหลวงไม่ใช่หรือ ประหลาดนะเหตุใดไม่มีอยู่เลยนี่สิ พอจื่อเหยาถามหาท่าทีฉงนสงสัยก็ปรากฎที่ใบหน้าแน่งน้อยนั่นทันใด
“ฮูหยินไล่แม่นมจางกลับไปเมืองหลวงแล้ว ส่วนอาเหมยบ่าวอีกคนของท่านก็ถูกไล่ไปทำงานที่โรงซักล้างเมื่อสัปดาห์ที่แล้วตามที่ท่านต้องการแล้วเจ้าค่ะ เอ่อ ท่านจะเรียกอาเหมยกลับมาหรือเจ้าคะ?”
“อ้อ แน่นอนสิ ข้าอภัยโทษให้นางแล้ว หรือเจ้าอยากมารับใช้แทนนางกัน”
“มะไม่เจ้าค่ะ เดี๋ยวบ่าวจะรีบไปจัดการให้ทันทีเลยเจ้าค่ะ!!!”
จื่อเหยาคนเดิมนี่ก็แปลกคนนะ เป็นถึงท่านหญิงเหตุใดถึงไล่บ่าวออกไปจากเรือนหมดไม่เว้นแม้แต่บ่าวคนสนิท หากนางจำไม่ผิดก่อนที่นางในชาติที่สองจะตายได้ยินมาว่าฮูหยินของแม่ทัพฉีไม่สบายหนักจนไม่ออกจากจวนนี่นา ทว่าภายใต้ข่าวลือนี้ก็มีอีกข่าววงในหนึ่งบอกว่าแท้จริงแล้วฮูหยินสูงศักดิ์ผู้นี้กำลังเก็บตัวเข้าลัทธิดำมืดบางอย่างอยู่ เรื่องนี้ไม่รู้ว่าอาเหมยจะรู้มากน้อยเพียงใด
หลังกินข้าวมื้อกลางวันเสร็จจื่อเหยาก็ถือโอกาสไปเดินเล่นรอบจวนตระกูลฉีเสียหน่อย แม้นนางเป็นลูกน้องคนสนิทของฉีเหวินเจี๋ยแต่ก็ไม่เคยเข้ามาที่จวนเขาเลยสักครา อย่างมากก็ส่งเขาที่หน้าจวนและกลับไป วันนี้ในเมื่อเปลี่ยนสถานะก็ขอสำรวจโดยรอบเสียหน่อย สิ่งที่ต่างเป็นอย่างแรกเลยทันทีที่ย่างเท้าออกนอกเขตเรือนของนางคือ นางเจอบ่าวทั้งชายและหญิงเดินไปมา มีบ้างที่มองมาที่ตนอย่างสงสัยแต่ส่วนใหญ่เลือกจะหยุด คารวะ และรีบเดินผ่านไป
ในระหว่างนี้จื่อเหยามีความคิดว่านางจะลองขอเข้าพบท่านแม่ทัพเสียหน่อย หากนางเลือกบอกสิ่งที่เกิดขึ้นตามความจริงว่าตนคือลูกน้องคนสนิทของเขา หวางฉินหลิง แล้วก็พิสูจน์ให้เห็นไปเลย ไม่แน่ว่านางอาจไม่ต้องสวมรอยเป็นฮูหยินที่เขาเกลียดชังก็เป็นได้
เมื่อคิดได้ก็อยากลงมือทำทันที จื่อเหยาเรียกบ่าวมาถามทางไปเรือนของประมุขจวน เมื่อได้เรื่องก็มุ่งหน้าไป
“ฮูหยินประมุขมาภายหลังเถอะขอรับ ตอนนี้ท่านแม่ทัพยังไม่กลับมาจากค่ายทหารเลย เดี๋ยวเชิญท่านฝากข้อความไว้บ่าวจะแจ้งให้ท่านแม่ทัพทราบเองขอรับ”
บ่าวรับใช้หน้าเรือนแจ้งกลับมา นางเลือกบอกปัดและเดินออกมา อย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นแผนเบื้องต้นที่นางคิดเผื่อไว้ว่าสวรรค์จะเป็นใจอยู่แล้ว ไว้นางรอเวลาที่เขามาพบนางน่าจะดีกว่า หรือไม่นางก็ใช้โอกาสนี้ไปเยี่ยมเยือนค่ายทหารเสียเลย นางอยากรู้ด้วยว่ามีคนพบศพของนางในชาติที่สองแล้วหรือยัง แล้วจัดการอย่างไร...
แต่เพื่อไม่ให้เสียเที่ยว จื่อเหยาไม่คิดเดินกลับเรือนของตนเลย นางหลบมาเดินวนสำรวจรอบเรือนใหญ่ของเจ้านายเก่าให้มากขึ้น ถัดจากเรือนข้างหน้าที่ว่าใหญ่แล้ว มีเรือนอีกหลังที่ใหญ่กว่าและมีคนเฝ้ามากกว่า คิดว่าน่าจะเป็นห้องทำงานของเขา แม้นเจ้าของเรือนไม่อยู่แต่ก็มีคนเดินตรวจตราตลอดเวลา
“นี่เจ้าได้ยินข่าวลือในค่ายทหารหรือไม่ เรื่องที่พวกเขาจับสายลับจากแคว้นอื่นแฝงมาได้แล้ว เมื่อเช้านี้เอง”
จื่อเหยารีบเร้นกายหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ที่ใกล้ที่สุดทันที หัวข้อสนทนาขององครักษ์จวนสองคนนี้นางเองก็อยากใส่ใจเช่นกัน
“เช่นนั้นหรือ นี่คงเป็นเหตุผลให้ท่านแม่ทัพรีบออกไปเมื่อสายกระมัง ข้าล่ะอยากรู้จริงๆว่าเป็นผู้ใดกัน? อยากจะไปซัดหน้าให้คลายแค้นแทนพวกเราที่ลำบากตรากตำทำงานหนักแต่มันกลับใช้ความไว้เนื้อเชื่อใจไปใช้ประโยชน์เพื่อผู้อื่น!”
จื่อเหยาพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดอีกคน นางเองก็อยากรู้เช่นกัน...
“หึ เรื่องนั้นไม่ลำบากเจ้าหรอก เพราะสายลับผู้นั้นหมดลมหายใจแล้ว เห็นบอกว่าไปพบนางที่ริมแม่น้ำห่างจากค่ายไปสองสามลี้ คงเพราะถูกพวกของมันเองจัดการแล้วส่งศพมาเยาะเย้ยพวกเรานั่นล่ะ”
ฟังมาถึงตอนนี้องครักษ์ผู้นั้นอาจไม่รู้ว่าใครแต่นางจับสังเกตสรรพนามที่เรียกได้ว่าสายลับผู้นั้นน่าจะเป็นสตรี ซึ่งสตรีในค่ายมีเพียงนางเดียว ก็คือ หวางฉินหลิง ชาติที่สองของนางเอง!
เรื่องน่าตกใจไม่ใช่รู้ว่าร่างตนได้หมดลมหายใจแต่เป็นการที่ถูกใส่ร้ายว่าเป็นสายลับต่างหาก ทั้งที่จริงนางถูกใครในค่ายวางยาแล้วพาออกไปหาศัตรูเพื่อเค้นข้อมูลต่างหาก!
“ก็ดีไป ไอ้พวกทรยศน่ะสมควรตายให้หมดนั่นล่ะ!”
“ข้าบอกชื่อไปเจ้าน่าจะพอรู้จักอย่างแน่นอน...”
“ใครหรือ? เจ้ารีบบอกมาเถอะ อย่ามัวลีลาท่ามากเลย”
“ก็คนสนิทคนใหม่ของท่านแม่ทัพอย่างไรเล่า แม่นางหวางฉินหลิง”
“ข้าว่าแล้วเชียว สตรีเช่นนางมีหัวคิดหน่อยท่านแม่ทัพก็หลงใบหน้านางจนยกขึ้นเหนือบุรุษอย่างเรา แล้วสุดท้ายหางจิ้งจอกก็โผล่จนได้ เหอะ สมแล้วที่ตายไปเสีย!”
พวกเขาเหมือนกำลังด่าเจ้าของชื่อต่อหน้าแบบไม่รู้ตัว จื่อเหยานิ่งค้างเช่นนี้มาสักพักแล้ว ไม่รู้องครักษ์สองคนเดินหายไปไหนแต่นางยังติดอยู่ที่ความจริงที่ตนเพิ่งได้รับรู้...
นางไม่โทษพวกเขาที่ไม่พอใจนางในชาติก่อนหรอก นางรู้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อมีคนรักย่อมมีคนเกลียด แต่นางไม่ยอมให้คนมากล่าวโทษใช้ประโยชน์จากนาง ใส่ร้ายนางในสิ่งที่ไม่ได้ทำหรอก! พวกที่ฆ่าตนเมื่อชาติก่อนคงคิดใช้ประโยชน์จากนางที่ตายแล้วกลบร่องรอยสายลับตัวจริงที่ยังแฝงตัวในค่ายมากกว่า
นอกจากสืบเรื่องการตายของจื่อเหยาคนก่อนแล้ว นางต้องสืบเรื่องการตายของตนเองและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้หวางฉินหลิงให้ได้เช่นกัน!
ส่วนแผนที่คิดจะบอกว่าตนคือใครในร่างท่านหญิง
จื่อเหยาแก่ฉีเหวินเจี๋ยคงต้องยกเลิกเสียแล้ว ป่านนี้เขาอาจกำลังแค้นใจที่ไว้ใจคนผิดเช่นนางอยู่ก็เป็นได้
