บทนำ
กลิ่นเน่าเหม็นลอยเข้าสู่โพรงจมูกทันทีเมื่อร่างไร้ลมหายใจกลับมามีชีวิตและสูดอากาศเข้าร่างกายอีกครา ข้างหูแว่วเสียงตะโกนจากอีกฝั่งของประตูห้องแต่ไม่สามารถฟังออกได้ว่าพูดอันใด คนพูดเหมือนอยู่ไม่ไกลแต่เสียงได้ยินไม่ต่างจากคนกำลังตะโกนบอกคนฟังที่ภูเขาอีกลูกหนึ่ง เสียงแวดล้อมตอนนี้เป็นเสียงวิ้งเต็มหูบ้างก็เป็นเสียงคนพร่ำบ่นไม่เป็นภาษา ดวงตาหนักอึ้งขยับไปมาลูกกระตากลิ้งกวาดจนกระทั่งฝืนลืมตื่นได้ ภาพตรงหน้าเริ่มเปลี่ยนจากภาพชวนปวดหัว เริ่มชัดขึ้นพร้อมสติและประสาทสัมผัสนึกคิดกลับมาครบถ้วนในที่สุด
หวางฉินหลิง สตรีจากยุคที่ปัญญาประดิษฐ์(AI)กำลังถูกพัฒนาอย่างรวดเร็วเพื่อมาแทนที่อาชีพบางอย่าง และส่งเสริมการทำงานบางอย่าง จนทำให้สตรีที่เกิดในเจนวายแล้วเปลี่ยนแปลงตนเองเร็วไม่ทันเอไอ ในสาขาอาชีพที่สุดแสนอันตรายอย่างอาชีพสายลับอิสระไม่สังกัดองค์กรใด บทลงโทษของผู้ทำพลาดในสายอาชีพนี้ก็คือความตายเท่านั้น นางถูกเปิดเผยตัวตนเพราะความสามารถของเจ้าเอไอนี่ล่ะ จนกระทั่งถูกฆ่าปิดปากตาย
ทว่าสวรรค์เหมือนต้องการเยาะเย้ยนางหรืออย่างไรไม่รู้ส่งวิญญาณสายลับผู้นี้มาเกิดใหม่ในยุคจีนโบราณ สมัยที่เมืองจีนยังไม่รวมเป็นแผ่นดินเดียวกัน ส่งนางมาเกิดใหม่พร้อมความทรงจำเดิมและชะตากรรมสุดแทนรันทดไม่ต่างจากชาติที่แล้ว นางเกิดเป็นเด็กกำพร้าหนึ่งในผู้ประสบภัยจากภัยศึกระหว่างแคว้น ต้องหาทางเอาตัวรอดเองจนกระทั่งผลักตัวเข้าไปสู่กองทัพแห่งหนึ่งได้ในวัยสิบห้า นางใช้ความสามารและทักษะสายลับที่มีพิสูจน์ตนเองจนขึ้นเป็นคนสนิทของท่านแม่ทัพฉีผู้รับหน้าที่ป้องกันข้าศึกที่ชายแดนทิศอุดรของแคว้นจ้าว
ในขณะที่ชีวิตกำลังดำเนินไปด้วยดี ชะตากรรมโหดร้ายก็ครอบงำอีกครา นางถูกคนในค่ายอันน่าจะเป็นสายลัยของศัตรูชั่ววางยาลักพาตัวไปเค้นความลับ แต่นางไม่ยอมปริปากก็ถูกฆ่าตายเป็นคราที่สอง จากที่คิดว่าตนคงหมดบุญไม่น่าได้เกิดใหม่อีกแล้วไฉนตอนนี้วิญญาณหวางฉินหลิงถึงมาอยู่ในร่างสตรีอ่อนแรงผู้นี้ได้กัน!
ร่างกายของหวางฉินหลินไม่บอบบางและไร้กล้ามเนื้อเช่นนี้ และก็ไม่เคยคิดจะสวมชุดสีแดงสดพร้อมเครื่องประดับแสนหนักอึ้งทั่วกายเช่นนี้ด้วยเช่นกัน เมื่อสติกลับมาก็รีบสอดส่ายมองหาคันฉ่องหรือสิ่งที่ทำให้ตนเห็นใบหน้าได้เร็วที่สุด
ใบหน้างดงามสูงส่งเช่นนี้ หากจำไม่ผิด หวางฉินหลิงกำลังอยู่ในร่างของฮูหยินท่านแม่ทัพฉี เจ้านายที่นางเป็นผู้ช่วยคนสนิทให้อยู่นั่นเอง!!!
ฮูหยินที่ท่านแม่ทัพไม่สนใจ
ฮูหยินท่านแม่ทัพพ่วงด้วยตำแหน่งท่านหญิงจากการเป็นพระญาติของฝ่าบาท นาม ท่านหญิงจื่อเหยา
หวางฉินหลิงไม่เห็นใบหน้านี้มานานสิบวันแล้วแต่จำได้ชัดเจนในสมองยิ่ง เพราะก่อนหน้าสตรีผู้นี้แหละคือเจ้าของความวุ่นวายในค่ายทหาร นางคือต้นเหตุให้หวางฉินหลิงมีหน้าที่เพิ่มเติมนอกจากงานในกองทัพ
ก่อนต้องเดาเรื่องราวไปมากกว่านี้ ร่างที่ยืนมั่นคงได้ไม่กี่ชั่วอึดใจก็ต้องเซล้มเพราะเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นก้องหูทั้งสองเสียแล้ว...
...ร่างนี้ยังไม่หมดอายุขัย แต่วิญญาณได้ทำผิดมหันต์
เจ้าวิญญาณที่น่าเวทนาเช่นเจ้า จงรับมันไปก็แล้วกัน ชีวิตนี้ โอกาสคราวนี้ข้ามอบให้เจ้าเป็นคราสุดท้ายแล้ว จงใช้มันให้ดี...
ไม่ผิดแน่ชาติที่สามและชาติสุดท้ายของหวางฉินหลิงผู้นี้กลายมาอยู่ในร่างของฮูหยินเจ้านายที่เคารพรักนามว่า หลี่จื่อเหยา อีกทั้งสถานการณ์ในตอนนี้ก็ดูไม่ธรรมดาเสียด้วย
สภาพข้าวของเครื่องใช้ในห้องปิดทึบแทบไร้แสงที่ หลี่จื่อเหยาคนเดิมอยู่ดูเหมือนถูกจัดไว้สำหรับทำพิธีกรรมบางอย่าง คราบเลือดสัตว์สีแดงที่ถูกวาดไว้เป็นลายอักษรประหลาดบนพื้น ตรงหน้า ผนังด้านหนึ่งมีกระดาษสีเหลืองซีดหลายแผ่นเขียนตัวอักษรไล่ยาวคำที่นางอ่านออกแต่ไม่เข้าใจความหมายแปะอยู่บนผนังอย่างกระจัดกระจาย บนพื้นมีถ้วยชามใส่ซากหนูตายแล้ว ชิ้นส่วนของรากสมุนไพรหลายชนิดและถ้วยเปล่าที่มีเหลือน้ำสีดำติดก้นเล็กน้อยไว้ พอหยิบขึ้นมาดมก็พบว่ากลิ่นนี้ช่างเหมือนกับกลิ่นของของเหลวที่ตกค้างอยู่ในปากของตนตอนนี้ไม่ผิดแน่
ไม่รู้จื่อเหยาคนเดิมทำผิดอันใดจนวิญญาณแตกสลายตายไป หากไม่คิดเชื่อมโยงในสิ่งที่จับต้องไม่ได้อย่างเรื่องราวลี้ลับ
ของเหลวที่ค้างอยู่ในปากตอนนี้ก็ดูเป็นปัจจัยที่ต้องใส่ใจไม่หยอก ไม่แน่อาจเป็นต้นตอที่ทำให้จื่อเหยาคนเดิมตายก็เป็นได้
...โถ่เอ้ย ท่านพระเจ้าบนสวรรค์จะมอบโอกาสมีชีวิตในร่างนี้ไฉนไม่มอบความทรงจำของเจ้าของร่างมาด้วยกันเล่า!
นิ่งคิดได้ไม่นานก็ต้องละความสนใจไปยังที่มาของเสียงข้างนอกเสียก่อน เรือนนี้ดูท่าเป็นของจื่อเหยาเพียงผู้เดียวอย่างที่นางได้ยินมาว่าท่านแม่ทัพฉีแยกอยู่และไม่ยุ่งเกี่ยวกับฮูหยิน แต่ไฉนถึงได้มีแขกเป็นโขยงที่ฟังจากเสียงฝีเท้าและเสียงพูดแล้วมีไม่ต่ำกว่าสี่คนได้กัน!
หากพวกเขาเข้ามาเห็นนางในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง ในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นสาบสัตว์ตาย และห้องมีกระดาษเขียนอักษรประหลาดนี้ ฉินหลิงในร่างจื่อเหยาคงมีชีวิตต่อไปอย่างคนปกติอย่างยากลำบากยิ่งกว่าเดิมแน่
ไม่ว่าฮูหยินจากตระกูลหลี่ผู้นี้ตั้งใจจะทำพิธีกรรมอันใดตอนนี้ต้องทำลายหลักฐานทุกอย่างทิ้งก่อน
อีกด้านหนึ่งของจวนตระกูลฉี
“ท่านแม่ทัพเชิญทางนี้เลยเจ้าค่ะ บ่าวเอ่ยเรียกฮูหยิน อย่างไรนางก็ไม่เปิดออกมารับมื้อเช้าอย่างเช่นทุกที ไม่รู้ว่าจะเป็นอันใดไปหรือไม่ บ่าวได้ยินเสียงคนล้มลงพื้นและเสียงร้องอย่างเจ็บปวดแต่ฮูหยินขัดกลอนประตูไว้เจ้าค่ะ”
ในขณะที่บ่าวอันมีหน้าที่ประจำในการส่งของไปที่เรือนเดินอยู่ปากก็ไม่พูดพูดเลย นางนำเหล่าเจ้านายของจวนมายังเรือนข้างของจวนอันไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมาอย่างชำนาญทาง
“มิใช่ว่านางไม่ต้องการพบใครอยู่แล้วหรือ ถึงลงกลอนประตูเช่นนั้น แปลกอย่างไร นางเป็นถึงท่านหญิงย่อมต้องการพื้นที่ส่วนตัวแยกจากเราคนธรรมดาอยู่แล้ว เจ้ามิได้ทำให้ท่านแม่ทัพใหญ่เสียเวลาเปล่าหรอกนะ”
สตรีในชุดแดงลวดลายงดงามประณีตสุดในสตรีที่ร่วมขบวนตอนนี้ นางคือฮูหยินรองของอดีตท่านประมุข มีนามว่าจวนชิ่ง แม้นไม่ใช่แม่แท้ๆของประมุขคนปัจจุบันอย่างแม่ทัพฉี หรือ
ฉีเหวินเจี๋ย ทว่าความเป็นอยู่ของนางก็เหมาะสมด้วยเพราะเป็นน้องสาวของมารดาแท้จริง ฮูหยินเอกของอดีต มารดาของฉีเหวินเจี๋ยจากไปแล้ว นางย่อมเลี้ยงดูบุตรชายของพี่สาวอย่างดีไม่แพ้บุตรของตน
“บ่าวมิกล้าเจ้าค่ะ บ่าวกลัวว่าเอ่อ จะ...” สีหน้าหวาดกลัวของบ่าวเจ้าของเรื่องใหญ่โตพอเดาได้ว่าคำพูดต่อไปอาจสื่อในทางไม่ดีอย่างแน่นอน
“เจ้าอย่าได้เดามั่วเลย แม่รองเจ้าคะ ลูกว่าอย่างไรท่านพี่เหวินเจี๋ยก็ไม่มีเรื่องด่วนอันใด เขาย่อมต้องมาจัดการเรื่องของสตรีของเขา...”
ขบวนเดินทางของเหล่าเจ้านายจวนฉีหยุดลงทันใดเพราะประมุขจวนหยุดเดินนั่นเอง สายตาดุดันเต็มเปี่ยมด้วยความไม่พอใจของเหวินเจี๋ยมองฉีหวานอิ๋งผู้มีสถานะเป็นน้องสาวของเขาทันที
“สตรีนางนั้นมิใช่คนของข้า เก็บปากเจ้าไว้คุยเรื่องอื่นเถอะ”
แม้ยามปกติเหวินเจี๋ยจะไม่ถนอมสตรีอยู่แล้วแต่เมื่อเขาไม่พอใจ หรือมีคนไปสะกิดใจเรื่องที่เขาต้องแต่งฮูหยินเข้ามาอย่างไม่เต็มใจ ความดุดันที่เขาใช้ฝึกทหารก็จะมาแทนที่ไม่เว้นแม้กระทั่งคนในครอบครัวเช่นตอนนี้
“ข้าขออภัยเจ้าค่ะ ข้าจะไม่พูดเช่นนี้อีก”
บทสนทนาจบลงและพวกเขาก็เดินมาถึงเรือนนอนเป้าหมาย อันเป็นที่อยู่ของฮูหยินเอกหนึ่งเดียวของบุรุษในขบวนนี้
“ฮูหยินเจ้าคะ! ท่านอยู่ข้างในหรือไม่เจ้าคะ?”
“...” เวลาผ่านไปราวสองก้านธูปอีกฝั่งหนึ่งของประตูก็ไม่ตอบกลับมา พอบ่าวผู้นำทางยกมือผลักประตูกั้นก็เป็นอย่างว่า มันถูกลงกลอนจากข้างใน
“หลบไป! เสียเวลาข้าจริง!!!”
ในเมื่อเปิดดีดีไม่ได้มิสู้พังเข้าไปเลยจะได้จบเรื่องนี้เสียที
แอ๊ด...
ประตูห้องที่ทุกคนอออยู่เปิดอ้าออกก่อนที่ฝ่าเท้าของท่านแม่ทัพหนุ่มจะยันลงไป กลิ่นธูปหอมลอยคละคลุ้งพร้อมควันสีขาวโพยพุ่งออกมาราวน้ำหลากไหลลงมาจากเทือกเขา ควันและกลิ่นมากจนทำให้เหล่าคนที่รอข้างหน้าประตูต่างสำลักไม่เว้นแม้กระทั่งแม่ทัพฉีเหวินเจี๋ย
“ควันพวกนี้มาจากข้างใน ...หรือว่าจะเกิดไฟไหม้ขึ้นกันเจ้าคะ?!”
บ่าวผู้นำทางตะโกนเสียงตระหนกตกใจ เสียงดังนี้พาลให้แม่รองหรือหูจวนชิ่งสะดุ้งตาเบิกโพลงและเกือบตะโกนเรียกบ่าวมาช่วยกันดับไฟไปแล้วหากไม่ถูกห้ามด้วยเสียงดุดันเสียก่อน
“พวกไร้หัวคิดเช่นนี้เหตุใดถึงยังอยู่ในจวนข้ากัน ควันนี้เป็นกลิ่นธูปต่างหากเล่า!”
สิ้นเสียงตวาด เหวินเจี๋ยก็ก้าวเดินเข้าหากลุ่มควันอย่างไม่เกรงกลัว ภาพในห้องที่ถูกปิดเบลอด้วยควันค่อยๆชัดเจนขึ้นจนพบจุดกำเนิดกลุ่มควันและสตรีนางหนึ่งนั่งก้มหน้าหันหลังให้ประตูอยู่ ในมือสองข้างกอบกุมกลุ่มธูปที่จุดอยู่ยกไว้เหนือหัว ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งได้ยินเสียงบ่นพึมพำไม่เป็นภาษา
เอาอีกแล้วอย่างไร บ่าวเจ้าประจำวิ่งมาข้างๆเหวินเจี๋ยจนได้เห็นและได้ยินสิ่งเดียวกันก็ร้องตะโกนอีกครา
“ที่แท้ก็เป็นอย่างที่คิด ฮูหยินใหญ่ท่านบ้าไปแล้ว!!!”
“อี้เหมย เหตุใดเจ้าพูดเช่นนั้น เจ้าอยากถูกกฎตระกูลลงโทษหรืออย่างไร!?”
ฉีหว่านอิ๋งเอ่ยดุเสียงแข็งแต่ก็ไม่น่ากลัวแต่อย่างใด สตรีใบหน้าหวานนิสัยเรียบร้อยเช่นนางยามโมโหออกจะน่าเอ็นดูเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งความใจดีกับบ่าวไพร่ของผู้เป็นน้องสาวนั้นต่างจากความไร้ใจของผู้เป็นพี่ชายมากจึงทำให้อี้เหมย บ่าวปากไวยอมเอามือปิดปากส่งสายตาขออภัยและถอยออกไปทันใด
“อิ๋งเอ๋อร์เจ้าอย่าได้เอ็ดนางไปเลย ต้องโทษท่านหญิงผู้สูงส่งนั่นล่ะทำตัวเองจนบ่าวเข้าใจเช่นนั้นไป ไม่ทำหน้าที่ฮูหยินที่ดีไม่พอยังมัวแต่แบ่งชนชั้น หมกตัวทำพิธีกรรมอันใดไม่รู้จนบ่าวในจวนไม่กล้าเข้ามายุ่งเช่นนี้ ดูเอาเถอะพวกเราเข้ามาจนตอนนี้แล้วนางยังทำพิธีอันใดไม่สนใจเลยด้วยซ้ำ อาเจี๋ยเจ้าจัดการฮูหยินของเจ้าเองเถอะ”
เหวินเจี๋ยนิ่งมองสตรีในชุดสีแดงสดที่หันหลังนิ่งมาสักพักแล้ว ในแววตาของเขามองเหมือนว่าสตรีที่สร้างเรื่องตรงหน้าคือคนแปลกหน้าไม่เกี่ยวกับตน
“ข้ามีเรื่องในค่ายอีกมากให้ต้องจัดการ เรื่องในจวนนี้ใครมีหน้าที่ก็รับผิดชอบไปก็แล้วกัน...”
ไม่ว่าจะคำพูดที่แสดงออกว่าไม่สนใจและน้ำเสียงแสนจะเย็นชาทำให้สตรีในชุดแดงแต่วิญญาณคนใหม่ตัดสินใจว่าควรดำเนินเรื่องอย่างไรต่อได้แล้ว
จื่อเหยาเงยหน้าขึ้นจากการทำเป็นหลับตาตั้งใจท่องคาถามั่วซั่วหันมองคนที่อยู่ด้านหลังอย่างคนเพิ่งรู้ว่าตนไม่ได้อยู่คนเดียว
“อ้าว ข้ามิทราบว่ามีแขกมาเยือน พอดีข้ากำลังสวดส่งให้เหล่าสัตว์น้อยพวกนี้ได้ไปเกิดภพภูมิที่ดีอยู่เลย ขออภัยที่ไม่สนใจพวกเจ้าที่มาใหม่ด้วย”
หากถือเอาตามคำพูดของจื่อเหยาก็พอเห็นความเป็นไปได้อีกแบบหนึ่งเช่นเดียวกัน ไหนจะซากสัตว์ที่ถูกเตรียมกองรวมไว้ตรงหน้า เศษเถ้าสีดำอันน่าจะมาจากการเผากระดาษ และธูปในมือที่ติดจะมากเกินไปหน่อย หากนางใช้ข้ออ้างที่เป็นไปได้อย่างน้อยก็น่าจะพอกลบความคิดที่คนมองมาเห็นของพวกนี้แล้วนึกว่านางทำพิธีกรรมอย่างที่มีข่าวลือออกไป จนแม้นแต่ตอนนางเป็นหวางฉินหลิงในชาติที่แล้วยังได้ยินข่าวนี้
เพื่อชีวิตสุดท้ายที่เลือกไม่ได้ แต่อย่างน้อยเส้นทางเดินนับจากนี้นางยังสามารถเลือกได้อยู่ นางต้องทำลายข่าวลือเรื่องฮูหยินท่านแม่ทัพบ้าให้ได้จะดีที่สุด
“เหอะ ท่านหญิงช่างสร้างสรรค์เสียจริง ท่านจะบอกว่าการกระทำแปลกประหลาดพวกนี้ ท่านทำเพื่อสัตว์เช่นนั้นหรือ ใครเขาจะเชื่อเล่า”
จวนชิ่งมองคนที่ตนเรียกว่าท่านหญิงด้วยสายตาไม่พอใจอย่างไม่คิดปิดบัง แม้นจะถูกฉีหว่านอิ๋งดึงแขนห้ามปรามบ้างแล้วก็ตาม
“หากไม่ใช่แล้วฮูหยินรองหูคิดว่าอย่างไร คิดว่าฮูหยินของท่านแม่ทัพฉีเช่นข้าทำพิธีกรรมชั่วร้ายอย่างนั้นหรือ เอ หรือว่าข่าวลือข้างนอกที่บอกไปว่าข้าหมกมุ่นไสยดำจะมาจาก...”
“อย่าได้ใส่ร้ายข้านะ ท่านหญิงผู้สูงส่งจะทำอันใดก็เรื่องของท่านเถอะ ไปกันอิ๋งเอ๋อร์เราอย่าได้อยู่ในที่ไม่รื่นรมย์เช่นนี้นานเลย”
เจ้านายสองนางเดินห่างออกไปแล้ว จื่อเหยาคนใหม่มองตามจนสุดทายตา
อย่างน้อยที่นางแก้สถานการณ์เปลี่ยนจากกำลังทำพิธีกรรมกลายมาเป็นสวดภาวนาให้สัตว์ก็ช่วยไล่พวกคนสอดรู้และลดความน่าสงสัยลงบ้างนั่นล่ะ ตอนนี้ปัญหาคือบุรุษหน้าขรึมที่ยืนมองมาที่ตนอย่างท่านแม่ทัพฉีตรงหน้าต่างหาก
“...” เจ้านายเก่าผู้นี้ไม่เพียงดุดันตอนทำงาน ตอนมองสตรีของตนก็โหดเช่นนี้เลยหรือนี่ จื่อเหยารับสายตาทิ่มแทงนี้มาแล้วรู้สึกว่ามันจะทำให้ไม่สบายกายและใจมากกว่าตอนสมัยที่นางทำเรื่องนอกเหนือคำสั่งของเขาในชาติที่แล้วเสียอีก
“อะเอ่อ...”
ยังไม่ทันสรรหาคำพูดเอ่ยออกไป บุรุษหน้านิ่งก็หมุนกายเดินจากไปไกลเสียแล้ว
อา ชีวิตใหม่นี้ไม่ง่ายเลย
เหตุใดโอกาสสุดท้ายจากฟากฟ้าถึงต้องกำหนดให้นางมาเกิดใหม่ในร่างฮูหยินที่เจ้านายเดิมของตนเกลียดชังด้วยกัน!
