บท
ตั้งค่า

สอง

เมามายเพื่อลืม

เวลาต่อมาจื่อเหยาเดินกลับเรือนตนด้วยท่าทางเหม่อลอย ในหัวเต็มไปด้วยเรื่องที่ต้องให้คิดหนัก นางเดินมาถึงเรือนก็พบว่าทางเข้าห้องนอนมีสตรีนางหนึ่งยืนคอยอยู่ พอเห็นจื่อเหยาเดินกลับมาก็วิ่งเข้าหาพร้อมน้ำตาหลั่งรินราวมีใครเปิดสิ่งที่กั้นอยู่ออก

“คุณหนูของบ่าว ฮือ ฮึก ๆ บ่าวดีใจยิ่งที่ท่านยกโทษให้บ่าวแล้วในที่สุด ฮือ...”

อ่อ ที่แท้สตรีตรงหน้านี้ก็คือบ่าวที่ตามมาจากเมืองหลวงคนหนึ่งที่เหลืออยู่นั่นเอง ท่าทางการคำนับอย่างไม่รู้จบนี้ทำให้นางอยากรู้สาเหตุที่จื่อเหยาคนเดิมไล่บ่าวส่วนตัวออกไปอย่างไว

“เอาล่ะ เจ้าไม่ต้องร้องไห้ฟูมฟายแล้ว ตอนนี้ให้คิดว่าข้าคือจื่อเหยาคนใหม่ที่ไม่เคยไล่เจ้าไป เรามาเปิดเผยความในใจกันและทำความรู้จักกันใหม่อีกคราดีกว่า ตามข้ามาคุยที่ห้องเถอะ”

คนร้องไห้แม้นสับสนงุนงงแต่ก็ยอมพยักหน้ารับคำและตามเจ้านายคนเดิมที่บอกว่าตนคือเจ้านายคนใหม่ไปอย่างไม่อิดออด เมื่อประตูห้องนอนปิดลงในห้องที่ไร้แสงจากตะเกียงจุดไฟก็มืดลงเหลือเพียงแสงเบาบางลอดผ่านกำแพงขาวเข้ามาเท่านั้น ยามมองไปที่เจ้านายที่เดินไปนั่งบนเก้าอี้รับแขกกลางห้องท่าทางผ่อนคลาย สายตาที่จ้องมานี้ทำให้บ่าวที่อยู่ด้วยกันมาแต่เกิดรู้สึกไม่คุ้นเคยอย่างน่าประหลาด

“เจ้าแนะนำตนเองเถอะ”

สีหน้ายิ่งสงสัยหนักกว่าเดิมไม่ทำให้คนเอ่ยปากอีกรอบ เป็นสตรีสถานะบ่าวที่ต้องทำตามอย่างมิอาจค้านได้ “เอ่อ บ่าวนามว่า เหมยเจ้าค่ะ เป็นบ่าวให้คุณหนู เอ้ย ฮูหยินมาตั้งแต่ท่านยังเล็ก และก็จะเป็นบ่าวรับใช้ท่านตลอดไปเจ้าค่ะ”

จื่อเหยาให้ผ่านกับคำแนะนำตัวที่ขายตนเองให้เจ้านายอย่างนางซื้อเสร็จสับ นางชอบในความจริงใจที่แสดงออกมาทางแววตา แล้วไหนจะความจงรักภักดี และทำตามคำสั่งเจ้านายจากใจจริงของบ่าวนามเหมยยิ่งนัก

จื่อเหยาให้สามผ่านเลย

“อาเหมย เจ้าคงลำบากมามากกระมัง ตลอดเวลาที่ข้าไล่เจ้าไปเจ้าได้สำนึกผิดอันใดมาบ้างเล่ามาให้หมด”

สังเกตจากสีหน้าดีใจชั่ววูบเมื่อครู่ยามนางเอ่ยว่าอาเหมยก็พอเข้าใจว่าจื่อเหยาคนเดิมคงเรียกเช่นนี้ ต่อมานางก็รอให้บ่าวแสนซื่อสัตย์ตรงหน้าเอ่ยตอบคำถามนางมา

“เอ่อ ตามจริงเรื่องนี้บ่าวก็ไม่รู้แน่ชัดเท่าใดว่าเหตุใด

ฮูหยินถึงไล่บ่าวออกไปเช่นนั้น...”

“หรือเจ้ายังไม่สำนึกผิดอีก!” จื่อเหยาทำทีเป็นโมโหเพื่อกระตุ้นคนตรงหน้า

อาเหมยรีบยกมือปฏิเสธพัลวันก่อนเอ่ยตอบสิ่งที่ตนคิดกลับมา “บ่าวสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ บ่าวจะไม่ทำเช่นนั้นให้ฮูหยินไม่พอใจอีกแล้ว”

“เจ้าคิดว่าทำอันใดให้ข้าไม่พอใจหรือ?”

“ก่อนหน้านี้บ่าวไม่ทำตามคำสั่งของฮูหยินเจ้าค่ะ ไม่ว่าจะเรื่องที่ฮูหยินสั่งให้บ่าวไปนำเลือดไก่สดๆมา ไปนำซากหนู และซากสัตว์อื่นๆมาตามจำนวนที่ฮูหยินบอก บ่าวผิดเองที่ขัดคำสั่งเจ้าค่ะ”

จื่อเหยากอดอกนิ่ง ไม่แสดงท่าทีกระโตกกระตากทั้งที่ในใจนางรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก

“เท่านี้หรือ?”

“เอ่อ ยังมีอีกเจ้าค่ะ เรื่องที่บ่าวเอ่ยห้ามและอวดรู้สอนฮูหยินว่าอย่าได้เชื่อนักพรตผู้นั้นเจ้าค่ะ”

นักพรตเช่นนั้นหรือ...

นักพรตที่เหมยฮวาเอ่ยถึงคงเป็นต้นเหตุให้จื่อเหยาคนเก่าถูกกล่าวหาจากคนภายนอกว่ากำลังเข้าลัทธิมืดบางอย่างเป็นแน่ ที่น่าประหลาดใจก็คือขนาดบ่าวเช่นเหมยฮวายังรู้สึกว่านักพรตผู้นั้นไม่น่าไว้ใจ เหตุใดเจ้านายที่เรียนหนังสือมามากกว่าถึงไม่รู้กันเล่า

“เจ้าก็คิดว่าข้าบ้าเฉกเช่นเดียวกับผู้อื่นกระมัง?”

“ไม่ใช่นะเจ้าคะ ฮูหยินของบ่าวเป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ เป็นถึงท่านหญิง ท่านทำไปล้วนไตร่ตรองมาแล้วทั้งนั้น หากไม่เพราะท่านไร้หนทางออกแล้วก็คงไม่เลือกไป เอ่อ...”

จื่อเหยานึกย้อนไปเมื่อครั้นยังเจอจื่อเหยาคนเก่าตอนไปหาท่านแม่ทัพที่ค่ายอยู่ช่วงหนึ่ง นางมาหลายครั้งแต่ทุกครั้งล้วนไม่ได้พบท่านแม่ทัพเลยสักครา ไม่ถูกไล่กลับก็ต้องรอจนตะวันลับขอบฟ้าจึงต้องกลับจวนไปเอง นึกแล้วก็พอเข้าใจได้ว่าสตรีที่จากบ้านมาไกลแล้วยังไร้สามีให้พึ่งพิง จะใช้ชีวิตยากลำบากเพียงใด ในช่วงที่จิตใจอ่อนไหวเช่นนั้นก็ง่ายที่จะมีคนมาโน้มน้าวจิตใจ โดยใช้ความหวังแม้เพียงน้อยนิดเป็นเหยื่อล่อ

“ตามจริงข้าเรียกเจ้ากลับมาเพราะข้าคิดได้แล้วนั่นล่ะเรื่องนักพรตอะไรนั่นข้าไม่ทำตามแล้ว ที่ผ่านมาข้าคงเสียใจจนความโง่เขลาบดบังตา ไว้พรุ่งนี้เราเดินทางไปหาท่านนักพรตผู้นั้นเป็นคราสุดท้ายด้วยกัน วันนี้เจ้าไปจัดการที่พักใหม่ของเจ้าเถอะ ข้ารู้สึกอ่อนเพลียอยากพักเสียหน่อย”

วันนี้นางทำให้อาเหมยงุนงงสงสัยมามากแล้ว คิดว่าควรพอแค่นี้ก่อน ไว้พรุ่งนี้นางไปดูเสียหน่อยว่านักพรตที่ว่านั่นเป็นอย่างไร ไม่แน่อาจเกี่ยวข้องกับการตายของจื่อเหยาคนเดิมก็เป็นได้

ส่วนคืนนี้หลังทุกคนนอนแล้วนางต้องหาทางแอบออกนอกจวนไปดูลาดเลาแถวค่ายทหารเสียหน่อย อย่างไรเรื่องที่สายลับของศัตรูถูกจับได้แล้วก็เพิ่งเกิดขึ้นย่อมต้องกลายเป็นหัวข้อสนทนาของทหารในค่ายแน่นอน

ณ ค่ายทหารประจำชายแดนทิศอุดร

ในกระโจมที่ใหญ่ที่สุดและอยู่ศูนย์กลางของค่ายนั้นเป็นกระโจมเดียวในค่ำคืนนี้กระมังที่ข้างในยังจุดตะเกียงไฟให้แสงสว่างอยู่ เจ้าของกระโจมอย่างฉีเหวินเจี๋ยนั้นนั่งอยู่กลางห้องเบื้องหน้าบนโต๊ะไม้สีซีดเต็มไปด้วยไหสุรากลิ่นฉุนที่ส่วนใหญ่ว่างเปล่าแล้ว ของเหลวในไหได้ลงไปออกฤทธิ์ทำให้เขาเมามาย ทำให้สภาพท่านแม่ทัพไร้หัวใจมิต่างกับบุรุษหนุ่มที่ผิดหวังจากความรัก

เขานั่งร่ำสุรามาตั้งแต่โพล้เพล้จนตอนนี้ไร้แสงตะวันก็ยังไม่เคลื่อนย้ายตัวไปไหน มีแต่เอ่ยปากสั่งบ่าวคนสนิทสองคนผู้เป็นมือซ้าย อาจ่ง และมือขวา อาเว่ย ให้สลับหมุนเวียนเอาสุรามาเติมเพียงเท่านั้น

“อาจ่ง นำสุรามาอีก!”

บ่าวบุรุษผู้มีร่างกายกำยำสูงกว่าคนทั่วไปหันมองสหายที่เปรียบเสมือนเป็นสมองที่สองให้เขาอย่างไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี เขาวิ่งไปนำสุรามาเพิ่มรอบที่เท่าไหร่มิรู้แล้วของวัน ขนาดเจ้านายของเขาแทบไร้สติแต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดดื่มเลย

“สุราหมดแล้วขอรับ จะให้อาจ่งไปซื้อในตลาดก็ต้องใช้เวลาหลายชั่วยาม มิสู้ท่านแม่ทัพนอนพักก่อนพรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที ดีหรือไม่ขอรับ”

อาเว่ยเอ่ยปากช่วยสหายไร้สมองอย่างรู้สึกอยากให้เจ้านายพักไม่ต่างกัน เขาเอ่ยไปก็สังเกตท่าทีของบุรุษผู้เคยน่าเกรงขามแต่บัดนี้มีสภาพไร้ความน่าหวั่นเกรง หากมีศัตรูบุกมาตอนนี้ก็คงสามารถปลิดชีพเขาได้อย่างง่ายดาย ในชีวิตที่พวกเขาร่วมทุกข์ร่วมสุขมากับเจ้านายตรงหน้า นี่เป็นคราแรกกระมังที่ท่านแม่ทัพเสียศูนย์เพียงนี้

จากไม่เคยละเลยกฎห้ามดื่มสุราในค่ายทหารก็ทลายกฎเองเสียแล้ว เพียงเพราะเรื่องที่ทราบเมื่องช่วงสายของวัน สตรีหนึ่งเดียวในค่ายที่ท่านแม่ทัพไว้ใจกลับกลายเป็นหนอนในค่ายเสียอย่างนั้น หลังจากที่จัดการศพของคนทรยศและเรื่องกองเสบียงที่หนึ่งถูกเผาแล้ว ท่านแม่ทัพก็มีสภาพอย่างที่เห็น

“ข้าหลับตาแล้วก็เห็นแต่ใบหน้าของคนทรยศผู้นั้น มิสู้ข้าไม่หลับเสียจะดีกว่า...จะได้ไม่ต้องเห็นนางวนเวียนเข้ามาอีก...”

เสียงพึมพำดังพอให้สองบ่าวพ่วงด้วยลูกน้องมากฝีมือได้ยิน สำหรับอาจ่งที่ไร้สมองแล้วเขาเข้าใจว่าเจ้านายของเขาคงเสียใจที่ตนไว้ใจคนผิดจนทำให้กองทัพเสียหาย ทว่าในความคิดของอาเว่ยที่มีความคิดลึกซึ้งกว่า เขาเข้าใจเจ้านายของเขายิ่ง

ตลอดเวลาที่หวางฉินหลิงดำรงหน้าที่ลูกน้องคนสนิทมาเป็นเวลาหลายเดือนเพียงพอให้ท่านแม่ทัพสนิทชิดเชื้อจนมอบดวงใจให้ไปเมื่อใดมิรู้แน่ชัด เขามองแววตาของเจ้านายตนยามมองไปที่ฉินหลิงออกว่าเปี่ยมด้วยความรู้สึกแบบใด เมื่อได้ทราบข่าวว่าสตรีที่ตนมีใจกลายเป็นสายลับไม่พอยังพบว่านางไร้ลมหายใจแล้วอีก มันช่างเป็นเรื่องยากที่ท่านแม่ทัพจะทำใจได้ภายในไม่กี่ชั่วยามยิ่งนัก

เขาเองก็รู้สึกมิอยากจะเชื่อว่าสหายสตรีหนึ่งเดียวของเขาจะเป็นสายลับให้ข้าศึกได้เลย ทว่าหลักฐานที่พบก็ยากปฏิเสธเกินนั่นแหละ

“นี่อาเว่ย เช่นนั้นมิสู้ให้ข้าแอบตีให้ท่านแม่ทัพสลบไปเสียในตอนที่เขาไม่ได้สติเช่นนี้ อย่างไรก็มิน่าจะรู้หรอกกระมัง”

อาจ่งหันมากระซิบเสียงเบาแต่สิ่งที่ได้รับคืนมาก็คือฝ่ามือพิฆาตเล็กๆจากสหายที่เขาหันมาปรึกษา

“เจ้าคิดว่าท่านแม่ทัพโง่เขลามากหรือ หากทำเช่นนั้นเจ้าได้ถูกลงโทษสถานหนักในข้อหาทำร้ายร่างกายผู้บังคับบัญชาแน่ ข้าไม่เกี่ยวด้วยก็แล้วกัน”

อาจ่งลูบหัวปอยๆก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว “เช่นนั้นเจ้ามีหนทางอื่นหรือ?”

อาเว่ยส่ายหน้าทันใด “เจ้าไปนำสุรามาเพิ่มก็พอ ข้าเชื่อว่าวันพรุ่งนี้เราต้องได้เจ้านายคนเดิมกลับมาแล้วแน่!”

พูดไปเช่นนั้นอาเว่ยก็ไม่ได้มีสีหน้ามั่นใจเต็มสิบส่วน แม้เขาจะรู้ใจเจ้านายมากเพียงใด แต่ก็มิสามารถรู้ได้ว่าสตรีนางนั้นจะมีน้ำหนักในใจของเจ้านายมากน้อยเพียงใด ได้แต่หวังว่าหน้าที่จะมาก่อนความรักอย่างที่ควรจะเป็นนั่นแหละ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel