สาม
นักพรตล่องหน
เช้าวันต่อมาหลังจื่อเหยากินโจ๊กธัญพืชอันเป็นมื้อเช้าที่อาเหมยทำมาให้เรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมของเปลี่ยนชุดเพื่อเดินทางไปยังสถานที่ที่จื่อเหยาคนเดิมไปพบนักพรต จากคำพูดที่นางเลียบเคียงถามบ่าวตัวน้อยพบว่าพวกนางยามออกไปไหนจะใช้งานสารถีพูดน้อยคนหนึ่งในจวน คราวนี้นางก็จองตัวเขาไว้และสั่งให้ขับรถพาไปยังสถานที่พำนักของนักพรตนั่นทันที รถม้าคันเก่าของจวนตระกูลฉีเดินทางขึ้นเขาเล็กน้อยและหยุดที่ข้างทางอันมีป้ายแปะทางเข้าว่าหมู่บ้านชี จากนี้พวกนางต้องเดินเท้าเข้าไปข้างในเองต่อ
“เจ้าเดินนำข้าก่อนเลย อาเหมย”
จะให้จื่อเหยาที่ไม่รู้แม้กระทั่งใครคือนักพรตและเพิ่งเคยเดินทางมาที่นี่คราแรกเดินนำได้อย่างไร ต้องเป็นบ่าวของจื่อเหยาคนเดิมสิถึงจะถูก อาเหมยเดินนำโดยไม่ถามอันใดเพิ่ม สักพักพวกนางก็เดินมาหยุดที่หน้าบ้านหลังเล็กเก่ามากหลังหนึ่ง
อาเหมยหันมามองเจ้านายอย่างต้องการถามก็ได้ความเป็นการพยักพเยิดให้ตนดำเนินสิ่งที่ควรทำต่อแทน ในใจของบ่าวตัวน้อยเต็มไปด้วยความยินดีที่ท่าทีของเจ้านายดูไม่ใส่ใจสำนักพรตนี้แล้วจริงดังว่า
กรึงๆๆ
ประตูไม้ดูไม่ทนแรงถูกเคาะสองสามทีก็เปิดออกเองเพราะไม่ได้ถูกลงกลอนไว้อย่างที่ควร ความเงียบไร้เสียงราวไม่มีคนอยู่นี้ทำให้จื่อเหยารู้สึกในใจโหวงขึ้นมาทันใด
“ปกติสำนักนี่เงียบเช่นนี้เลยหรือ?”
อาเหมายส่ายหน้าทันที “ไม่นะเจ้าคะ ปกติเรามาทีก็มีบ่าวของท่านนักพรตมาต้อนรับตลอด”
...อา หวังว่าจะไม่ใช่อย่างที่นางคิดนะ
จื่อเหยาเดินขึ้นหน้าผลักบานประตูเก่าให้เปิดออกและตนก็เดินเข้าไปข้างในทันใด ภายในห้องไร้แสงไฟมองดูว่างเปล่าจนไม่น่าเป็นแม้ที่พักนอนได้เลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นอย่าคิดเลยว่าจะยังใช้เป็นสำนักได้อยู่
“อ้าว เหตุใดสำนักนี้ถึงว่างเปล่าไม่เหมือนเคยได้! เอ หรือว่าท่านนักพรตย้ายสำนักแล้วลืมแจ้งบอกพวกเราเจ้าคะ”
จื่อเหยานิ่งเงียบไม่ตอบอันใด หากอยากรู้ความจริงเพียงออกไปถามชาวบ้านแถวนี้ก็ได้แล้ว
คิดได้ดังนั้นสองสตรีในชุดคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าก็ออกเดินไปบ้านข้างเคียงที่อยู่ห่างออกไปราวยี่สิบก้าว
“ลุงเจ้าคะ ข้าถามอันใดหน่อยสิ บ้านหลังนั้นที่เป็นสำนักนักพรตท่านนึงย้ายไปตั้งที่ไหนแล้วหรือ?”
ลุงใบหน้าเหี่ยวคล้ำแดดเงยหน้าจากที่กำลังผ่าท้องไก่ขึ้นมาทำสีหน้าประหลาดใจก่อนเอ่ยตอบเสียงแหบแห้ง
“พวกเจ้าพูดเรื่องอันใด บ้านนั้นเป็นของสองสามีภรรยาที่ตายไปหลายปีแล้ว ร้างมานาน จะมีนักพรตที่ไหนมาอยู่กันเล่า!”
ราวฟ้าถล่มลงกลางหัว สตรีสองนางถอยออกมาอย่างสงบ เดินกลับไปยังรถม้าราวร่างไร้วิญญาณ อาการไม่ต่างกันแต่ต่างความคิดอย่างสิ้นเชิง
“คุณหนูเจ้าคะ หรือว่าเราจะถูกผีหลอกมาโดยตลอดเจ้าคะ??”
จื่อเหยาอยู่ในภวังค์คิดกับตนเองมาตลอดทางส่วนคนที่คิดไปไกลก็นั่งหน้าซีดขนหลังลุกมาโดยตลอดในที่สุดก็กล้าเอ่ยออกมา
“...” จื่อเหยาไม่ตอบ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปฏิเสธเช่นกันเพราะนางก็กำลังใคร่ครวญหาข้อสรุบอยู่ในหัวเช่นกัน
มองจากสภาพโดยรอบบ้านร้างที่เคยเป็นสำนักของนักพรตที่จื่อเหยาคนเดิมมาบ่อยคราแล้ว ไม่ใช่ผีหลอกแน่นอน มีรอยคนเดินรอบๆ และรอยดินถูกของหนักลากผ่าน ราวมีใครขนของผ่านไปมาบ่อยๆไม่ผิดแน่ ผสานกับตำแหน่งบ้านร้างที่ลับตาคน อีกทั้งอยู่โดดเดี่ยวเช่นนั้นล้วนถูกมองผ่านจากคนในหมู่บ้านก็ไม่แปลกอันใด
ลุงคนที่พวกนางไปถามดูน่าจะทำอาชีพนายพราน เข้าป่าไปล่าสัตว์บ่อยครา สีหน้า ท่าทางดูไร้อารมณ์และมีรังสีของคนที่สังหารสิ่งมีชีวิตจนชินนั้นก็ไม่น่าจะอยู่ติดบ้านเท่าไร พวกนักพรตหลบเลี่ยงได้ก็ไม่ยากนักหรอก จื่อเหยาเดาว่าหากพวกนางไล่ถามคนในหมู่บ้านเยอะกว่านี้ย่อมมีสักคนที่เห็นการเคลื่อนไหวเข้าออกบ้านร้างอันเคยเป็นสำนักนักพรตแน่ แต่นางในฐานะฮูหยินของแม่ทัพฉีเรียกคนถามไปทั่วจะไม่เป็นการดี อาจเกิดผลเสียตามมาได้ จึงไม่คิดเสี่ยง
ที่แน่ๆ มีความเป็นไปได้สูงว่าสำนักนักพรตและรวมถึงนักพรตเองอาจไม่มีอยู่จริง ต้องถูกใครจ้างวานมาเพื่อจุดประสงค์แอบแฝงบางอย่างแน่!
กลุ่มนักพรตนี้ทำลายหลักฐานและหนีไปแล้วหลังจากที่ทำให้จื่อเหยาตายเช่นนั้นหรือ? หากเป็นเช่นนี้ผู้อยู่เบื้องหลังต้องเป็นคนที่จะได้รับผลประโยชน์จากการที่จื่อเหยาเสียชีวิตน่ะสินะ
เป็นได้ว่าอาจเป็นศัตรูของจื่อเหยาเองที่เจ้าตัวอาจไปเหยียบหางใครเข้าจนคิดเอาให้ตายถึงชีวิต หรือ เป็นศัตรูของแม่ทัพฉี หรือไม่ก็อาจเป็นศัตรูของตระกูลหลี่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เบาะแสที่มีน้อยเกินไป จนทำให้เชื่อมโยงไปได้ในวงกว้าง
เมื่อเช้าก่อนมาที่สำนักแห่งนี้จื่อเหยาแวะโรงหมอเอาของเหลวในถ้วยที่เหลือไปตรวจกลับไม่พบว่ามีพิษอันใด
น่าเสียดายที่เหล่านักพรตอันเป็นเบาะแสเดียวที่มีก็หายไปกลางอากาศ คงต้องกลับไปสืบจากคนรอบข้างจื่อเหยาคนเดิมให้ละเอียดอีกรอบ
หากช้าไป ผู้อยู่เบื้องหลังผู้นั้นอาจลงมืออีกรอบก็ได้ในเมื่อจื่อเหยายังไม่ตาย...
“อ้ะ ฮูหยินเจ้าคะ ที่หน้าจวนมีรถม้าจอดขวางอยู่เจ้าค่ะ จวนเราน่าจะกำลังมีแขกนะเจ้าคะ”
เมื่อเปิดม่านหน้าต่างออกดูก็เห็นรถม้าคันใหญ่หนึ่งคันจอดขวางหน้าบ้านจริงอย่างเหมยฮวาเอ่ยบอก คนจอดทำราวกับว่าต้องการประกาศให้คนรู้ว่าจวนตระกูลฉีมีแขก แต่อย่างไรก็ไม่ใช่แขกของตน จื่อเหยาจึงสั่งให้สารถีขับอ้อมไปจอดข้างใน ส่วนพวกนางสองคนก็ลงหน้าจวนและเดินเข้าไปมุ่งสู่เขตของตน หากว่าไม่มีบ่าวคุ้นหน้าว่าเป็นบ่าวของแม่รอง หรือฮูหยินรองหูมาขวางไว้ก่อน
“วันนี้ฮูหยินรองเรียนเชิญเจ้าอาวาสจากวัดฟางเฟินมาทำพิธีมอบสิ่งมงคลให้แก่จวนตระกูลฉีเจ้าค่ะ จึงอยากรบกวนให้ฮูหยินท่านประมุขตามไปร่วมรับไอสิริมงคลด้วยเจ้าค่ะ”
เช่นนั้นรถม้าข้างหน้าจวนก็คงเป็นของเจ้าอาวาสที่ว่ากระมัง นางในฐานะฮูหยินท่านประมุขก็จำเป็นต้องไปเข้าร่วมจริงนั่นแหละ
เดินตามบ่าวผู้นำทางมาก็พบว่าเบื้องหน้าของเหล่าสตรีในจวนอย่างฮูหยินรองและฉีหว่านอิ๋งกำลังเดินตามบุรุษในชุดสีขาวสะอาดพร้อมบริวารเป็นบุรุษสองคนไปยังอีกทางหนึ่ง
“ฮูหยินท่านประมุขมาแล้วเจ้าค่ะ”
บ่าวของแม่รองเอ่ยเรียกความสนใจให้ทุกคนหันมามอง ก่อนตนเองจะกลับไปยืนอยู่หลังเจ้านายที่หันมองพร้อมส่งสายตาไม่เป็นมิตรมาเช่นเดิม
“ท่านหญิงมาก็ดีแล้ว พอดีเลยท่านเจ้าอาวาสกำลังไล่ไอชั่วร้ายทั่วทั้งจวนให้ออกไปจากจวนตระกูลฉี ตอนนี้ไล่จนครบแล้วเหลือเพียงที่เรือนของท่านหญิง ถือโอกาสนี้ให้เจ้าของเรือนนำทางไปเลยเสียดีกว่า”
สังเกตจากสิ่งของที่เหล่าบริวารของเจ้าอาวาสถือ นางรู้สึกเหมือนมีภาพทับซ้อนบางอย่างขึ้นมาอย่างไรไม่รู้ นางมีความรู้สึกว่าสายตาจ้องเขม็งของท่านเจ้าอาวาสนี้มองมาที่นางอย่างเจตนาไม่ดีแอบแฝง
ทว่าพอมองสังเกตสายตาทุกคนก็พอเข้าใจสถานะตนเองในร่างจื่อเหยา ทุกคนมองว่านางเข้าลัทธิชั่วร้ายก็ไม่แปลกอันใดททีถูกมองเช่นนี้ในยามนี้หรอก
“ไล่ไออัปมงคลทั่วจวนแล้วเจออันใดผิดปกติหรือไม่เจ้าคะ”
จื่อเหยาเอ่ยอย่างสงสัย นางมองสบเจ้าอาวาสวัยกลางคนอย่างคนต้องการคำตอบจริงๆ เขานิ่งเงียบชั่วครู่จึงตอบกลับมา
“จวนแม่ทัพฉีสะอาดยิ่งนัก เพียงเติมไอมงคลเพิ่มก็ทำให้ให้คนในจวนมีชีวิตเป็นสุขเพิ่มขึ้นได้แล้ว แต่ต้องตรวจสอบที่เรือนท่านอีกสักหน่อยเชิญฮูหยินนำไปเถอะ...”
ดูเหมือนว่าการไล่สิ่งชั่วร้ายจะยิ่งใหญ่และเป็นที่สนใจของเหล่าบ่าวในจวนมากยิ่งขึ้นเมื่อเจ้าอาวาสต้องการไปที่เรือนของนาง แน่นอนว่าเพียงเขาก้าวเท้าเข้ามาในเขตสวนก่อนถึงเรือนนอนของจื่อเหยาท่าทีของเจ้าอาวาสวัยกลางคนก็แปลกไปจากเดิมแล้ว
“ท่านเจ้าอาวาสเจอสิ่งใดผิดปกติหรือเจ้าคะ?”
เป็นฉีหว่านอิ๋งที่เดินมาเงียบๆเอ่ยถาม แน่นอนว่าเป็นตัวแทนข้อสงสัยของทุกคนที่เห็นรวมถึงจื่อเหยาด้วย
“เพียงได้กลิ่นประหลาดเท่านั้น ไม่มีอันใดหรอก นำทางต่อไปเถิด”
เพียงบอกว่าได้กลิ่นประหลาดอย่างที่ผู้อื่นหาได้กลิ่นเช่นนั้นจะบอกว่าไม่มีอะไรได้หรือ จื่อเหยาจำเป็นต้องเตรียมตัวระวังมากขึ้นไปอีก ไม่รู้ว่าเขาจะเล่นอันใดพิเรนทร์ขึ้นมานางจะได้ตั้งรับทัน
เดินมาสักพักเจ้าอาวาสก็หยุดเดินอย่างกระทันหัน
“นู่นหรือเรือนของฮูหยิน”
ปลายนิ้วชี้แน่นอนว่าคือเรือนของนาง ในเมื่อเดินมายังเขตนางจะให้เป็นเรือนใครกันเล่า “ใช่แล้ว เรือนของข้าเอง ท่านได้กลิ่นอันใดอีกหรือ?”
คราวนี้เจ้าอาวาสส่ายหน้าตอบ “ไม่ใช่เพียงกลิ่นแล้ว แต่ข้ายังเห็นไอประหลาดล้อมรอบเรือนนี้อีกด้วย พวกเจ้าที่ตามมาก็เกาะกลุ่มกันไว้ให้ดี อย่าได้หลุดออกจากกันเป็นอันขาด มิเช่นนั้นเหล่าไอชั่วร้ายจะเข้ามาครอบงำจิตใจของพวกเจ้าได้”
สิ้นคำ ไม่ว่าใครจะแอบดูอยู่ไหนไกลๆก็วิ่งมารวมกลุ่มโดยมิได้นัดหมาย บ่าวที่กระจายกันสอดส่องจึงกลายมาเป็นเกาะกลุ่มรวมที่ข้างหลังเจ้าอาวาส ส่วนจื่อเหยาและอาเหมยก็รวมกลุ่มกันอยู่สองคนเพราะนางยื้อตัวไว้ตอนอาเหมยจะทำท่าลากนางไปรวมกับคนอื่นเอง
จื่อเหยาคิดว่านางยืนเท่าๆกับเจ้าอาวาสตรงนี้น่าจะสังเกตการณ์ได้มากกว่า หากไปรวมกลุ่มตรงนู้นอยู่ข้างหลังทำให้ไม่สามารถมองเห็นว่าเขากำลังทำอันใดได้ชัดเจน
นางยอมให้ไอชั่วร้ายที่ไม่รู้ว่ามีจริงไหมเข้าครอบงำเสียดีกว่า
“อา เหตุใดที่เรือนนอนของข้าถึงได้มีไอชั่วร้ายได้กัน ท่านเจ้าอาวาสบอกได้ไหม” จื่อเหยากอดอกนิ่งแต่น้ำเสียงที่ถามแฝงความกลัวอย่างตั้งใจให้คนรับรู้ได้หน่อยหนึ่ง
“ไอชั่วร้ายนี้มาจากของสกปรก ไม่แน่ในเรือนแห่งนั้นอาจมีของบางอย่างที่เป็นแหล่งกำเนิดของพวกวิญญาณร้ายอยู่”
จื่อเหมยพยักหน้าเข้าใจก่อนเอ่ยอย่างเร่งร้อน “เช่นนั้นเชิญท่านเจ้าอาวาสรีบไปกำจัดแหล่งกำเนิดที่ว่าเลยเถอะ!”
ในขณะที่พวกเขากำลังทำทีเป็นสำรวจเรือนของนางอยู่นั้นย่อมต้องหาสิ่งของที่น่าจะกล่าวหาว่าเป็นแหล่งกำเนิดไออัปมงคลอยู่แน่ แต่ว่านางได้ทิ้งของที่ได้มาใช้ทำพิธีจากนักพรตไปหมดแล้ว
ทว่าหากยังหาสิ่งของที่ดูประหลาดไม่ได้ แผนต่อมาของพวกเจ้าอาวาสปลอมตรงหน้าย่อมก็คือ...
การนำของแปลกปลอมมายัดใส่เรือนของนางยามที่ทุกคนเผลอไม่ทันมองอย่างไรเล่า !
ชาติที่สองก่อนนางเข้ามาอยู่ในกองทัพนางเคยเป็นลูกสมุนของนักต้มตุ๋นผู้หนึ่งมาก่อนอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขามีหน้าที่รับแสดงงิ้วตบตาเหล่าผู้คนที่จ้างไปเช่นนี้ นางรู้ทันเล่ห์กลของพวกเขาหมดนั่นล่ะ
“โอ บริวารของท่านทำของหล่นจากแขนเสื้อเมื่อครู่น่ะ อย่าลืมเก็บเล่าเดี๋ยวจะมาโทษว่าของหายหาไม่เจอมิได้”
หนึ่งในบริวารคนหนึ่งที่เดินหาอยู่ในมุมหนึ่งของเรือนนอนนางปล่อยถุงปักสีดำลงไปยังไม่ทันถึงพื้นนานก็ต้องรีบเก็บขึ้นมาเพราะถูกจื่อเหยาเอ่ยทักเสียก่อน เขาหันมาก้มคำนับเล็กน้อยเป็นการขอบใจแล้วก็รีบกลับไปทำทีสำรวจต่อ
“พวกเจ้าค้นหามาหลายเค่อทั่วห้องข้าจนไม่รู้กี่รอบแล้ว คงไม่มีแน่เจ้าค่ะ เชิญพาเหล่าบุรุษออกไปจากห้องของข้าได้แล้วกระมัง”
จื่อเหยาให้พวกเขาเข้ามาค้นเรือนนอนก็มากเกินพอแล้ว อย่างน้อยนางทำเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตนเองแต่ไม่คิดให้พวกเขาเดินเล่นจนหาโอกาสจัดการนางได้เช่นกัน
“อา ฮูหยินคงมิได้กำลังปกปิดอันใดหรอกกระมังถึงได้ไล่ออกมาเช่นนี้”
เจ้าอาวาสยอมออกมาจริงแต่ก็เอ่ยเปิดประเด็นทันที อย่างน้อยเขาก็ต้องดำเนินแผนการของตนแม้แผนการเมื่อครู่จะไม่สำเร็จก็ตาม
“เมื่อครู่ท่านเจ้าอาวาสและบริวารทั้งสองก็ค้นหาแล้วยังจะคิดว่าข้าปกปิดอันใดได้อีกหรือ บางทีไอสิ่งชั่วร้ายที่ท่านว่าอาจจะมองพลาดไปก็ได้กระมัง เอ หรือว่าท่านหาไม่เจอแต่ก็ยังคิดว่าในห้องข้ามีสิ่งชั่วร้ายเช่นนั้นอีกหรือ?”
หากเจ้าอาวาสยังยืนยันคำเดิมโดยโดยไม่มีเหตุผลอื่นมาเพิ่มเติมก็ค่อนข้างจะเป็นนักต้มตุ๋นที่ไร้ความสามารถไปเสียหน่อยแล้ว
แม่รองที่อุตส่าห์จ้างมาอาจต้องเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์นั่นล่ะ
“อา เป็นอย่างที่ฮูหยินพูดเลย ในห้องท่านไม่เห็นสิ่งใดที่น่าสงสัย บางทีไอชั่วร้ายที่วนเวียนรอบๆอาจจะสามารถย้ายตำแหน่งไปมาได้ ถือว่าเป็นไอชั่วร้ายขั้นสูงทีเดียว”
ไม่พูดเปล่า เจ้าอาวาสวัยกลางคนแบมือแล้วรับของบางอย่างมา ลักษณะเป็นแท่งที่มีรูตรงกลางพร้อมพึมพำคถาด้วยเสียงไม่ดังมากแต่ก็ทำให้เหล่าผู้คนในจวนฉียกมือขึ้นมาภาวนาตาม
“ในเมื่อหาต้นกำเนิดไม่เจอเช่นนั้นข้าก็จะทำการสวดขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้ออกไปนอกจวนตระกูลฉีก็แล้วกัน ให้ทุกท่านยืนรวมกันไว้อย่าได้แตกกลุ่มเป็นอันขาด”
คราวนี้จื่อเหยายอมตามอาเหมยที่ลากนางมารวมกับแม่รองและหว่านอิ๋ง แต่สายตาก็ยังไม่ละไปจากเจ้าอาวาสและบริวารทั้งสอง นางกำลังเดาว่าพวกเขากำลังจะทำอันใดต่อไปกันแน่
รอคอยดูงิ้วที่พวกเขากำลังปั้นแต่งอย่างใจจดใจจ่อเชียวล่ะ...
