บทที่ 2 ราพณ์หิรัญ (3)
การที่ไปมาหาสู่บ่อยครั้ง ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนางคืบหน้าไป จากยักษ์แปลกหน้าก็ยกระดับเป็นสหายที่สนิทชิดใกล้ ขอเพียงได้พบหน้านาง ทำให้นางพึงพอใจในตัวเขา ต่อให้ต้องแลกด้วยอะไรเขาก็ยอม...
แล้ววันหนึ่งเขาก็รู้ว่านางยักษ์สินีภักดิ์พึงพอใจในดวงแก้วของนาคาเป็นอย่างมาก นางเป็นนักสะสมดวงแก้วนาคาตัวยง นางได้นำดวงแก้วจำนวนมากมาอวดเขาด้วย
‘นี่คือของสะสมของข้า น่าเสียดายที่ช่วงนี้นาคหายากเหลือเกิน ข้าจึงมีลูกแก้วเพียงเท่านี้’
เห็นสีหน้าเศร้า ๆ ของนาง หัวใจของเขาก็พลอยจะร้าวรานไปด้วย ‘เจ้าชอบของพวกนี้หรือ?’
‘ชอบสิ ลูกแก้วเหล่านี้งดงามยิ่งนัก’
‘หากข้าหาลูกแก้วพญานาคมาให้เจ้าได้เล่า’
‘ท่านจะทำได้หรือ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย’
‘อย่าลืมสิข้าคือยักษ์สมุทร บาดาลคือนครแห่งข้า เรื่องเพียงเท่านี้ไม่ยากเย็นสำหรับข้าแม้แต่น้อย ข้าจะหาดวงแก้วนาคามาให้เจ้ามากที่สุด ขอเพียงเจ้าพอใจข้าก็สุขใจ’
หลังจากนั้นเขาก็มุ่งหน้ากลับนครสัตบรรณ มานอนก่ายหน้าผากคิดหาวิธีจับพญานาคเพื่อเอาดวงแก้วนาคามาครอบครอง เมื่อคิดแผนการอันแยบยลได้แล้วเขาก็ลงมือทันที
ครุฑกับนาคเป็นอริกันมาช้านาน คราใดที่นาคเยือนถิ่นครุฑก็จะถูกครุฑเล่นงาน ในทางกลับกันคราใดที่ครุฑเยือนถิ่นนาคก็จะถูกนาคเล่นงาน
เมื่อเห็นจุดอ่อนในเรื่องนี้เขาจึงจำแลงแปลงกายเป็นครุฑเสีย จากนั้นก็โผบินอยู่ผิวน้ำเหนือมหาสมุทรเพื่อหลอกล่อเหล่าพญานาค ซึ่งวิธีของเขาก็ได้ผล ทันทีที่หย่อนตัวลงไปแหวกว่ายในน้ำ เหล่านาคาที่เกลียดชังเหล่าครุฑาก็แห่กันมาเล่นงานเขาทันที
หึ... แค่นาคปลายแถวหรือจะทัดทานพละกำลังมหาศาลและฤทธาแห่งเผ่าพันธุ์อสุราได้
เขาลงมือกับเหล่านาคฝูงนั้นจนได้ลูกแก้วนาคามาถุงใหญ่ พอนำลูกแก้วไปมอบให้นางยักษ์สินีภักดิ์ นางก็ดีใจเป็นอย่างมากและตอบแทนเขาด้วยพวงมาลัยมาให้เขาหนึ่งพวง
จังหวะที่นางส่งพวงมาลัยให้นั้น มือของเขาก็สัมผัสกับมือของนางโดยบังเอิญ เพียงเท่านั้นหัวใจของเขาก็กระตุกวูบ พอมองหน้านาง เขาก็เห็นนางยักษ์สินีภักดิ์ขวยเขิน
เพียงเท่านี้ก็ทำให้ยักษ์โง่งมอย่างเขาฝันหวานไปทั้งราตรีกาล ทั้งสามโลกราวกับมีดอกสัตบรรณร่วงหล่นลงมา... แม้เขาจะทำให้นางยักษ์สินีภักดิ์พอใจ แต่ผลลัพธ์ที่ตามมาก็หนักหน่วงพอดู
ไม่รู้ว่านาคตนใดบังอาจคาบข่าวไปทูลเสด็จพ่อ และชาวหิมพานต์หน้าไหนกล้านำข่าวมาทูลเสด็จพ่อ พอเรื่องนี้รู้ถึงพระเนตรพระกรรณ ภาษาชาวมนุษย์เรียกว่า งานเข้า ก็มาเยือน
เขาถูกเรียกเข้าเฝ้าอย่างเร่งด่วนเพื่อไต่ถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด
‘ไม่มีอะไรเสียหน่อย ลูกแค่ไปจับนกการเวกที่แดนหิมพานต์ แต่เจ้านกตัวนั้นมันล้อเลียนยั่วยุลูกจนเกิดบรรดาโทสะ ลูกก็เลยเล่นกับมันหนักมือไปนิดหน่อยก็เท่านั้น’
‘นิดหน่อยหรือ’
‘ใช่ นิดหน่อย’ เขายืนยันหนักแน่น
‘ช่างกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำ เจ้ายักษ์พาล!’
ความโกรธของท่านท้าวสัตบรรณสาคเรศ ผู้ถือศีลยึดมั่นในศีลธรรมถึงกับทำให้พิภพบาดาลสั่นสะเทือน ส่วนผู้ถูกตำหนิเพียงทำหน้าเฉย หาได้สะทกสะท้านกับคำตำหนิติเตียน
‘สัตว์หลายชนิดต้องมาบาดเจ็บล้มตายเพราะความคึกคะนองไม่เข้าเรื่องของเจ้า คนธรรพ์ รุกขเทวดาต่างเดือดร้อน ต้นไม้ถูกเผาราบเกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง เจ้ายังมีหน้าพูดแก้ตัวอีกหรือว่านิดหน่อย!’
ราพณ์เงียบไป เพราะทุกคำพูดของพระบิดาล้วนแต่เป็นความจริง
‘ทางบาดาลส่งสาส์นมาแจ้งพ่ออีกว่าเจ้าเล่นพิเรนทร์จนปั่นป่วนไปทั้งนครนาคา ชาติกำเนิดของเจ้าเป็นอสุราแต่อุตริจำแลงกายเป็นครุฑาไปเย้าหยอกนาคาให้มาจับเจ้า พอเหล่านาคาปรากฏกายขึ้นเหนือน้ำ เจ้าก็คืนร่างและจับนาคาเหล่านั้นไปทรมานบีบคั้นเอาดวงแก้วนาคาไปหมดสิ้น ความผิดนี้ใหญ่หลวง เจ้ามีเหตุผลอันใดถึงได้ทำเยี่ยงนี้หรือโอรสแห่งข้า’
พระบิดาตรัสถามอย่างจริงจัง เขาก็มิอาจตอบได้ จะพูดได้อย่างไรว่าเอาดวงแก้วเหล่านั้นไปให้นางยักษ์ที่ต้องตาต้องใจ มีหวังได้ถูกตำหนิอีกยกใหญ่เป็นแน่แท้
‘ราพณ์หิรัญ... หากเจ้ายังเอาแต่เงียบ พ่อจะสั่งคุมขังเจ้าไว้ในคุกใต้พิภพเป็นการทำโทษ’
‘พระบิดา!’ อสุราหนุ่มเลือดร้อนถึงกับโอดครวญเพราะรู้ดีว่าพระบิดาถือคำสัตย์ ลองได้รับสั่งแล้วย่อมเป็นไปที่รับสั่ง ลงโทษก็คือลงโทษ ไม่มีการละเว้นว่าผู้ทำผิดจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนหรือไม่
‘เจ้าก็พูดมาสิ เหตุใดถึงทำเยี่ยงนี้’
