
บทย่อ
เพราะก่อเรื่องใหญ่เอาไว้ ราพณ์ ยักษาในวัยกำดัดโอรสองค์เล็กแห่งนครสัตบรรณจึงต้องรับโทษ แบกพระปรางค์! เขาจะพ้นคำสาปก็ต่อเมื่อได้รับความเมตตาจากผู้ที่มีจิตใจอันพิสุทธิ์เท่านั้นแต่ใครจะไปคิดว่าผู้ที่ปลดปล่อยเขานั้นกลับเป็น นังลูกมนุษย์ตัวจิ๋ว ที่ส่งเสียงร้องไห้ได้แสบแก้วหูนัก ยักษ์ขี้หงุดหงิดอย่างเขา ไม่ชอบเสียงแหกปากของเด็กซะด้วยสิ!แต่ยักษ์อย่างเขาเป็นพวก บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระให้สาสมเขาจึงจำต้องตอบแทน 'นาง' ก่อนกลับนครสัตบรรณแต่การตอบแทนบุญคุณในครั้งนี้กลับไม่ง่ายเอาเสียเลยก็นางเนื้อ แก้วศิลา เล่นอ้อนขอเขาเป็นแฟน!!!ยักษาเช่นเขาอยากเป็นแฟนกับมนุษย์ซะที่ไหน................“เงินทองหินไม่อยากได้จากคุณหรอก เอางี้ หินขอให้คุณมาเป็นแฟนหลอก ๆ ได้ไหมคะ?”“แฟน?” อสุราหนุ่มเลิกคิ้ว“ค่ะ” หญิงสาวยิ้ม “ว่าแต่คุณมีแฟนแล้วหรือยัง ถ้ามีแล้วเรื่องนี้ปล่อยผ่านไป ถือว่าหินไม่ได้พูดก็แล้วกัน”“ข้ายังไม่มีชายา”เอากับเขาสิ! ข้ายังไม่มีชายา ตอบยังกับพระเอกลิเกเขาเล่นตอบแบบนี้เธอจะไปทางไหนได้ล่ะ“เจ้าไม่กลัวที่ข้าเป็นอสูรหรือ?”“คุณไม่ได้มีเขี้ยวมีเล็บ ไล่จับคนกินสักหน่อย ต่อให้คุณเป็นยักษ์จริง หินก็จะอ้อนขอความรักจากคุณ” หญิงสาวยักคิ้วให้อย่างทะเล้น ทั้งยังเท้าคางมองเขา “เรามาเป็นแฟนกันนะคะ”“เจ้ายังรู้จักข้าน้อยไป แก้วศิลา...”หญิงสาวสบตาเขา เธอจ้องมองไม่หลบสายตาอย่างประเมินว่า ผู้ชายคนนี้จะสักเท่าไหร่เชียวเธอรู้แค่ว่าเขาเป็นคนแปลกที่น่าคบหาเท่านั้น สัญชาตญาณบอกเธอว่า เขาเป็นคนที่ไว้ใจได้ และเขาจะไม่มีวันทำร้ายเธอ ซึ่งเธอเชื่อมั่นแบบนั้น“คุณเองก็ยังรู้จักหินน้อยไป หินไม่ได้บังคับนะ แต่ถ้าได้รับความสมัครใจจากคุณจะดีมาก ๆ ” ยิ้มอย่างมีเลศนัยแก้วศิลาก็ลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารพร้อมกระเป๋าสะพาย เธอเดินไปใกล้เขา ยื่นหน้าไปกระซิบที่ข้างหู“หวังว่าคุณจะไม่ทำให้หินผิดหวัง หมดเวลาของหินแล้ว ขอบคุณสำหรับดินเนอร์ที่วิเศษค่ะ” จุ๊บแก้มเขาไปหนึ่งทีแก้วศิลาก็เดินจากมา
บทที่ 1 ยักษ์แบก (1)
แสงแดดเจิดจ้ายามสายลูบไล้วัดเล็ก ๆ กลางใจเมืองให้คล้ายเป็นสีทอง นี่คือภาพที่ผู้คนซึ่งอาศัยอยู่ในละแวกนี้คุ้นตา นอกจากความสงบร่มเย็นแล้ว วัดแห่งนี้ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เหล่านักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาตินิยมพากันมาไหว้พระเพื่อขอพร
คณะทัวร์มักแวะเวียนมาที่วัดแห่งนี้เป็นประจำ สายวันนี้ก็เช่นกัน พอรถตู้จอดที่หน้าประตูวัด เหล่านักท่องเที่ยวก็พากันลงจากรถ เมื่อก้าวผ่านซุ้มประตู เหล่านักท่องเที่ยวต่างชาติก็พากันทำตาหยีเมื่อเงยหน้ามองพระปรางค์สีทองห้ายอดซึ่งอวดลวดลายศิลปะสถาปัตยกรรมไทยอันงดงาม และทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์
หลายคนพร้อมใจหยิบโทรศัพท์มือถือ หรือไม่ก็กล้องดิจิตอลขึ้นมาเก็บบันทึกภาพความงามโดยมีมัคคุเทศก์สาวคอยอธิบายและให้ข้อมูล
สำหรับ ‘แก้วศิลา’ มัคคุเทศก์สาวซึ่งกำลังพาลูกทัวร์เที่ยวชมวัดแห่งนี้ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นแต่อย่างใด เพราะเธอมาที่วัดแห่งนี้บ่อยครั้ง แม้ก่อนหน้าทางวัดจะทำการบูรณะซ่อมแซมพระปรางค์เพราะถูกพายุและฟ้าผ่ายอดพระปรางค์
หลังจากการบูรณะซ่อมแซมครั้งใหญ่ ทางวัดก็กลับมาเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยว พระปรางค์สีทองก็กลับมาเรืองรองเหลืองอร่ามอีกครั้ง
แม้หลายสิ่งจะเปลี่ยนไป แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยก็คือ ‘ยักษ์แบก’ แก้วศิลาอมยิ้มเมื่อเห็นภาพหมู่ยักษ์ที่ทำท่าแบก จะผ่านไปกี่ปีบรรดายักษ์ก็ยังทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ซ้ำยังต้องมายืนแบกพระปรางค์ตากแดดตากฝนอยู่แบบนั้น
สมัยเด็ก ๆ เธอเคยสงสัยและสงสาร สงสารที่ยักษ์เหล่านี้ต้องมาแบกของหนัก และสงสัยว่าทำไมต้องเป็นยักษ์ ตอนนี้เธอได้คำตอบในใจแล้ว
ยักษ์แข็งแรง ต้องแบกของหนักได้สิ!
แก้วศิลาพาลูกทัวร์เข้าชมภายในวัด ตามจุดต่าง ๆ ที่น่าสนใจจากนั้นก็นัดเวลากลับขึ้นรถ ระหว่างรอลูกทัวร์ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก หญิงสาวก็เดินไปหยุดอยู่หน้าประตูทิศเหนือของพระปรางค์สีทอง
จำได้ตอนเป็นเด็ก เธอเคยเห็นยักษ์แบกตนหนึ่งรูปร่างใหญ่โต ตัวสีแดง หน้าตาละม้ายคล้ายทศกัณฐ์ในเรื่องรามเกียรติ์ ทำหน้าอมทุกข์เหมือนซดน้ำร้อนเข้าไปยืนแบกพระปรางค์อยู่ทางเข้า
เนื่องจากยักษ์แบกตนนี้การแต่งกายที่แปลกออกไปจากหมู่ยักษ์ เธอจึงถามคุณครูที่พามา ก็ได้คำตอบว่ายักษ์ตนนี้เป็นยักษ์ยอดที่เปรียบเสมือนแม่ทัพที่ออกหน้าแทนลูกน้อง ตอนนั้นเธอไม่เข้าใจหรอกว่าอะไรคือยักษ์ยอด พอโตขึ้นได้ศึกษาเพิ่มเติมถึงเข้าใจมากขึ้น
สถาปัตยกรรมตามวัดมักจะสร้างตามประเพณีความเชื่อ บางแห่งก็สื่อไปที่สัญลักษณ์ตามคติจักรวาล มียักษ์ เทวดา นาค และคนธรรพ์ซึ่งเป็นผู้ดูแลปกป้องพระพุทธศาสนา
ซึ่งพระปรางค์ห้ายอดที่วัดแห่งนี้มีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่และเปิดให้ผู้คนกราบไหว้ ดังนั้นทางวัดจึงสร้างรูปปั้นยักษ์ขึ้นมาเพื่อเป็นผู้พิทักษ์ปกป้องของสำคัญทางศาสนา
ปริศนาที่เธอสงสัยจึงคลี่คลายไป
พอมาถึงประตูทางทิศเหนือแก้วศิลาก็นิ่วหน้า ตอนนี้ ‘พี่ยักษ์ซดน้ำร้อน’ ที่เธอแอบตั้งฉายาให้ได้หายไปจากประตูแล้ว หายไปได้ไงไม่อาจรู้ได้ แต่ถ้าให้เดาเธอเดาว่ามีการบูรณะซ่อมแซมพระปรางค์ครั้งใหญ่เพราะพายุพัดถล่มจึงทำให้หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป
ไม่ใช่แค่ยักษ์ซดน้ำร้อนที่หายไป แม้แต่ต้นสัตบรรณขนาดใหญ่ก็ถูกตัดไปด้วยเช่นกัน
ขณะคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับยักษ์แบกที่หายไป แก้วศิลาก็รู้สึกเหมือนถูกจ้องมอง ย้ายสายตาจากประตูทางเข้าไปยังภายในพระปรางค์เธอก็สบตากับชายผู้หนึ่งเข้า
การแต่งกายของคนผู้นี้ไม่เหมือนกับนักท่องเที่ยวทั่วไป เขาไม่สวมเสื้อ แต่สวมสังวาลสีเงิน หน้าผากมีรัดเกล้าสีเงิน ตรงกลางมีอัญมณีสีแดงเม็ดใหญ่ติดอยู่ ที่เอวคาดเข็มขัดเงินเส้นโตสีเงินมีอัญมณีสีเดียวกับรัดเกล้า และนุ่งโจงกระเบนสีเงิน สวมกำไลสีเงินทั้งข้อมือและข้อเท้า
