บทที่ 2 ราพณ์หิรัญ (4)
เมื่อถูกเค้นถามถึงความจริงเขาจึงจำต้องเปิดปากเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะไม่อยากถูกคุมขัง แต่พอเล่าความจริงไปหมด พระบิดาถึงกับทรุดองค์ประทับนั่งบนที่ประทับพร้อมกุมพระกรรเจียก
‘ลูกหนอลูก เพื่อนางยักษ์อัปลักษณ์ตนนั้น เจ้าถึงกับก่อเรื่องวุ่นวายมากมายเชียวหรือ’
‘นางมิได้อัปลักษณ์! นางคือสตรีที่งามเลิศที่สุดในหมู่ยักษีที่ลูกเคยพานพบ’
ฟังคำของโอรสองค์สุดท้อง และแววตาเป็นประกายระยับท้าวสัตบรรณสาคเรศก็ถอนพระทัยหนัก ๆ ดูเหมือนว่าโอรสแห่งเขาจะแยกแยะเรื่องความงามของอิสตรีมิได้เลย
นางยักษ์ผู้นั้นน่ะหรืองามเลิศที่สุด ช่างน่าขัน!
นางยักษ์สินีภักดิ์งามประหนึ่งราหูอมจันทราก็คงไม่ผิด เดือนดับนั่นแลจึงเห็นความงามของนาง นางยักษ์ตนนี้อายุมากกว่าโอรสเขามากโข อีกทั้งนางยักษ์ตนนี้ยังเจ้าเล่ห์มารยาสารพัด
โอรสของเขาอายุยังน้อย ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมนางยักษ์แก่รายนี้เป็นแน่ เห็นทีเขาจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปมิได้เสียแล้ว หากปล่อยไปมีความเป็นไปได้ว่าราพณ์อาจเหลวไหลกว่านี้
‘นางยักษ์สินีภักดิ์งามเฉพาะสายตาของเจ้าเท่านั้น’
ได้ฟังรับสั่งราพณ์ก็ยืดอกดูภาคภูมิใจ ‘เสด็จพ่อรับสั่งได้ถูกต้องแล้ว’
‘ข้าประชดหาได้ชื่นชม! เจ้าได้สำนึกหรือไม่ว่าสิ่งที่เจ้าทำลงไปนั้นได้สร้างความเดือดร้อนมากมายเพียงใด’
‘ลูกมิได้ตั้งใจ’ ราพณ์บอกเสียงอ่อนลง
‘จะตั้งใจหรือไม่ สิ่งที่เจ้ากระทำลงไปล้วนเป็นความผิด ดังนั้นข้าจะให้เจ้าไปสำนึกผิดที่คุกใต้พิภพเป็นเวลาหนึ่งเดือน’
‘เสด็จพ่อ!!’
คุกแห่งนั้นคือขุมนรกชัด ๆ หากถูกคุมขังที่นั่นเขาก็อดเจอนางสินีภักดิ์อีกนาน
‘พ่อไม่ทำโทษเจ้าไม่ได้ เจ้ากำแหงเกินไปแล้ว หากไม่สั่งลงโทษเจ้า พ่อก็ไม่มีคำตอบให้ทางบาดาลและหิมพานต์เช่นกัน จงใช้เวลาหนึ่งเดือนนี้สำนึกผิดเสียโอรสแห่งข้า’
หลังจากนั้นอิสรภาพแสนหอมหวานก็หมดสิ้น เขากลายเป็นนักโทษต้องขื่อคาอยู่ในห้องขังมืดมิด ไร้เดือน ไร้ตะวันเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม หากเป็นยามปกติคงไม่หนักหนาสาหัสอะไร
แต่เพราะเขาเป็นยักษ์หนุ่มที่เพิ่งมีความรักเป็นครั้งแรก แต่ละวันที่ผ่านพ้นไปจึงล่าช้ายิ่งนัก อยู่ในที่คุมขังเพียงหนึ่งวันก็เหมือนอยู่เป็นแรมปี ความคิดถึงที่มีให้นางยักษ์สินีภักดิ์จึงมากล้นจนอกแทบแตกตาย
เขาเฝ้าแต่นับวันนับคืนเพื่อจะกลับออกไป จนในที่สุดวันแห่งอิสรภาพที่เฝ้ารอทุกลมหายใจก็มาถึง...
สิ่งแรกที่เขาทำเมื่อก้าวออกจากที่คุมขังคือไปพบหน้านางยักษ์สินีภักดิ์ ทว่าเมื่อได้พบหน้านางเพื่อบรรเทาความคิดถึง หัวใจของเขาแทบแตกสลายเมื่อรู้ว่านางยักษ์สินีภักดิ์กำลังจะวิวาหะ!!
‘เพราะข้าหายหน้าไปนานหรือ เจ้าถึงหยอกล้อข้าเล่นเช่นนี้สินีภักดิ์’ เขาแทบจะกลั้นใจฟังคำตอบจากนาง เขาหวังเหลือเกินว่านี่เป็นเรื่องหยอกล้อเท่านั้น แต่คำตอบที่ได้ก็ทำให้หัวใจแทบแตกเป็นเสี่ยง ๆ
นางยักษีผู้งามพริ้มเพราในสายตาเขาส่ายหน้า สีหน้าเศร้าสร้อย ‘เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ข้าต้องวิวาหะในอีกเจ็ดวันข้างหน้า’
คำยืนยันนั่นยิ่งทำให้หัวใจของเขาร้าวราน แต่เขาก็ฝืนเก็บซ่อนอาการเหล่านี้ไว้มิดชิด
‘เหตุใดเจ้าถึงได้เศร้าสร้อยนัก จะได้วิวาห์ทั้งทีเจ้าควรยินดีมิใช่หรือ’ แม้จะเจ็บปวดที่ต้องเอ่ยปากถามเรื่องอ่อนไหว แต่ราพณ์ก็อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับนางสินีภักดิ์
‘ข้ามิได้เต็มใจ ยักษ์ตนนั้นข้ามิเคยรู้จัก มิเคยพบพาน จะให้ข้าอยู่กินกับยักษ์ตนนั้นได้อย่างไร’
‘มันผู้นั้นเป็นใครกัน’ ขอให้รู้ตัวผู้บังอาจแตะต้องของรักของเขาเถอะ เขาจะตามไปเอาเรื่องให้ถึงที่สุดด้วยโทษฐานบังอาจยุ่งเกี่ยวกับนางผู้เป็นที่รักของราพณ์หิรัญ!
‘ท่านสุวรรณคีรี พระราชนัดดาของ...’
‘หยุด! ไม่ต้องเอ่ย ข้ารู้แล้ว’ ไม่ต้องเอ่ยนามให้จบ เขาก็รู้ตัวว่าไม่อาจ เปรียบเทียบ
ท่านสุวรรณคีรี คือพระราชนัดดาคนโปรดของท่านพญายักษ์ มหาราชาผู้ปกครองหมู่อสุราทั้งหมดทั้งมวล ซึ่งยักษ์ตนนี้ก็เป็นสหายสนิทกับพระบิดาเขา
แม้แต่พระบิดาผู้เป็นใหญ่เหนือหมู่ยักษาของภาคพื้นบาดาลภพยังให้ความยำเกรงยักษ์ตนนี้ แล้วเขาเป็นเพียงอสุราชั้นปลายแถวมีหรือจะกล้าอาจเอื้อม
