บทที่ 1 ยักษ์แบก (5)
‘หนักมากไหมพี่ยักษ์ ยืนตากแดดตากฝนคงเหนื่อยสินะ ดูทำหน้าสิ... น่าสงสารจัง’ เธอพูดความรู้สึกจากก้นบึ้งหัวใจออกมาเป็นคำพูด
ครืน...
เสียงฟ้าคำรามก็ดังกึกก้อง ท้องฟ้าแจ่มใสแปรเปลี่ยนทันใด อยู่ ๆ ก็มีเมฆดำเข้าปกคลุมเหนือพระปรางค์ห้ายอด ลมแรงราวกับพายุพัดใบไม้ปลิวว่อนจนแก้วศิลาต้องยกมือขึ้นปิดหูแล้ววิ่งหาที่หลบลม
เธอตั้งใจวิ่งเข้าไปหลบในพระปรางค์ แต่พอวิ่งไปใกล้ประตูทางเข้าเธอก็เบิ่งตากว้าง อ้าปากค้าง จับจ้องพี่ยักษ์รูปปั้นที่แบกพระปรางค์ตาไม่กะพริบ
อยู่ ๆ ยักษ์รูปปั้นที่แบกพระปรางค์ก็ก้าวออกจากพระปรางค์ และขยายตัวใหญ่จนเท่ากับพระปรางค์!
แก้วศิลาได้แต่ยืนตะลึงตาค้าง เธอทำอะไรไม่ถูก ไม่แม้แต่จะมีเรี่ยวแรงก้าวขา จนกระทั่งสายฟ้าขาววาบฟาดลงที่ต้นสัตบรรณใหญ่หักโค่นเธอก็กรีดร้องสุดเสียง
ครั้นจะวิ่งเข้าไปหลบในพระปรางค์ก็กลายเป็นว่าเธอวิ่งขึ้นไปอยู่บนฝ่ามือของอสุราเขี้ยวโง้ง ครั้นจะวิ่งหนีก็ไม่ทันกาลเสียแล้ว เพราะเธอตกอยู่ในอุ้งมือยักษ์เรียบร้อย
ที่น่าสะพรึงก็คือ เจ้ายักษ์รูปปั้นที่มีชีวิตได้ชะโงกหน้ามาใกล้ ใกล้จนเธอเห็นลายก้นหอยที่ปลายจมูก
‘อย่าทำหนู!’ ความกลัวทำให้เธอร้องขอพร้อมยกมือไหว้ปลกๆ
‘นังลูกมนุษย์...’ น้ำเสียงทรงพลังนั้นดังกึกก้องด้วยอำนาจที่แก้วศิลาไม่อาจทัดทาน
‘เจ้าคือผู้ปลดปล่อยข้าให้เป็นอิสระ จงบอกสิ่งที่ปรารถนาแก่ข้า แล้วข้าจะทำความต้องการของเจ้าให้เป็นจริงขึ้นมา’ ดวงตาคมดุของอสุราเพ่งมองลูกมนุษย์ตัวจิ๋วอย่างรอคอยคำตอบ
ทว่าคำตอบที่อสุราได้รับก็คือ...
‘แง้...’ เสียงร้องไห้แสบแก้วหูที่ชวนให้หงุดหงิดเต็มประดา!
‘หยุด! จงหยุดส่งเสียงบัดเดี๋ยวนี้เจ้าก้อนเนื้อตัวจิ๋ว!!’
‘แง้...’ แทนที่เสียงร้องไห้จะหายไปกลับทวีความดังจนอสุราขี้หงุดหงิดและเกลียดเสียงเด็กร้องไห้ต้องเอามืออีกข้างปิดหู
‘ข้าสั่งให้เจ้าหยุดส่งเสียงไงเล่า!!’
พออสุราตะโกนออกไป ก็บังเกิดเสียงฟ้าคำรามจากนั้นก็ตามมาด้วยฟ้าผ่าดังกึกก้อง ซึ่งเสียงนั้นก็ปลุกให้แก้วศิลาสะดุ้งตื่น
เป็นความฝันที่เหมือนจริงจนน่าตกใจ!
ฝันถึงยักษ์ก็ว่าน่าประหลาดแล้ว เธอกลับฝันว่าคุยกับยักษ์เป็นตุเป็นตะ นี่สิที่น่าประหลาดยิ่งกว่า คงเป็นเพราะเธอได้กลับไปที่วัดแห่งนั้นอีกเป็นแน่ ทุกครั้งที่ได้ไปกราบพระเธอก็มักจะฝันถึงอสูรตนนี้เสมอ
มันก็แค่ความฝัน! หญิงสาวปลอบใจตัวเอง
ยักษ์จริง ๆ มีที่ไหน มันก็แค่เรื่องเล่าปรัมปราที่สร้างจากจินตนาการมนุษย์ หากจะมีก็แค่รูปปั้นประดับตามวัดวาเท่านั้น อีกอย่างเหตุการณ์ที่เกิดจริงมีแค่ว่าเธอยืนมองยักษ์แล้วพึมพำกับรูปปั้นด้วยความสงสารเท่านั้น
แก้วศิลานอนพลิกตัวไปมาคิดอะไรเรื่อยเปื่อย พอไฟดับเธอก็หลับไม่ลงเพราะร้อนอบอ้าว นอนพลิกตัวไปมาสักครู่รอให้ฝนซาเม็ดเธอก็ลุกขึ้นมาเปิดหน้าต่างเพื่อให้อากาศถ่ายเท
ทว่าหญิงสาวก็ชะงักพยายามเพ่งมองไปยังยอดเสาไฟฟ้า มีเงาทะมึนรูปร่างคล้ายผู้ชายยืนอยู่ตรงนั้น แก้วศิลาจ้องมอง แต่เพราะความมืดเธอจึงเห็นไม่ชัด แต่พอจะเห็นว่าเป็นจุดแดงสองจุดดูคล้ายลูกตา!
หญิงสาวผงะ ชักเท้าถอยหลังโดยอัตโนมัติ สองตาไม่ละไปจากภาพที่เห็นตรงหน้า พอตั้งสติได้เธอก็รีบปิดหน้าต่างลงกลอนให้แน่นหนา
ไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นคืออะไร แต่เธอมั่นใจว่าต้องไม่ใช่คน!
ดึกดื่นป่านนี้คนบ้าอะไรจะปีนขึ้นไปอยู่บนยอดเสาไฟฟ้า ยืนนิ่งราวกับนกเกาะกิ่งไม้ หากจะมีคนที่ทำแบบนี้ได้ก็พวกนักกายกรรมมืออาชีพเท่านั้น
แต่พอคิดไปคิดมาอีกที เธออาจจะตาฝาดก็ได้ ความมืดมักพาความกลัวเข้ามาในจิตใจ พอเกิดความกลัว จินตนาการก็จะสร้างภาพมายาเพื่อตอกย้ำความกลัว
เมื่อเปลี่ยนความคิด ความกลัว ความตกใจก็คลายลง
พัดลมกลับมาทำงานได้ตามปกติ โคมไฟที่หัวเตียงทอแสงนวลตาอีกครั้ง เพื่อไม่ให้เรื่องนี้ค้างคาใจแก้วศิลาจึงตัดสินใจเปิดหน้าต่างออกกว้างอีกครั้ง เธอพุ่งสายตาไปยังเสาไฟฟ้าต้นที่เห็นภาพคนยืนเป็นอันดับแรก แต่มันก็ว่างเปล่าไม่มีอะไร
ก็ถ้ามีคนยืนอยู่ตรงนั้นจริง เธอต้องเห็นสิ
แก้วศิลาลงความเห็นว่า ความมืดบวกกับความงัวเงียจึงทำให้เธอตาฝาด ดังนั้นหญิงสาวจึงกลับไปล้มตัวนอนตามเดิม
ทว่า... ทันทีที่เจ้าของร่างงดงามราวกับนางในวรรณคดีผละไปจากกรอบหน้าต่างแขวนด้วยผ้าม่านสีขาวลายลูกไม้ เจ้าของร่างทะมึน ดวงตาแดงฉานก็ปรากฏกายอีกครา
