บทที่ 1 ยักษ์แบก (3)
“เราไม่ได้ทำก็ไม่จำเป็นต้องแก้ตัว เดี๋ยวความจริงก็ปรากฏ วันนี้ยังไม่ชัด วันต่อไปมันก็ผลุดขึ้นมาเอง”
“กว่าความจริงจะปรากฏชื่อเสียงหนูคงป่นปี้หมด ก็จริงอย่างที่ป้าว่าแหละ คนสมัยนี้เป็นอะไรกันไปหมด แค่ข่าวลือพูดกันปากต่อปากก็ดันมีคนพากันเชื่อ เฮ้อ... เชื่อในเรื่องผิด ๆ ไม่พอ ยังพากันรุมเกลียดหนูด้วย”
“วุ่นวายน่าปวดหัว” ศรีเผื่อนลงความเห็นพลางวางมือบนศีรษะของหลานสาว “ไม่ไหวก็ถอยออกมา”
“หนูไม่ผิด ไม่ได้ทำอะไรผิด ถอยก็แพ้สิป้า”
“เรื่องบางเรื่องก็ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเวลา ที่หินกลุ้มใจทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะเรื่องนี้เหรอ?”
“เรื่องไร้สาระพวกนี้หนูไม่เก็บมาใส่ใจหรอก ที่หนูเครียดคือเรื่องรายได้มากกว่า ไม่มีงานทำก็ไม่มีเงินส่งรถ นี่แหละปัญหาใหญ่ของหนู”
“ป้าเคยบอกหินแล้ว ให้มาช่วยงานป้าแต่แรกเราก็ไม่เอา เห็นไหมจะกี่ยุคกี่สมัย จะกี่นายกฯ กี่รัฐบาล กี่วิกฤตเศรษฐกิจป้าก็อยู่ได้สบาย ๆ ไม่เคยตกงานเลย แถมไม่ต้องเรียนสูง ๆ จบมาไปเป็นลูกน้องใครด้วย”
“ก็จริงของป้า แต่หนูไม่ชอบนี่คะ”
ป้าของเธอเป็นร่างทรงชื่อดัง มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย นอกจากเปิดตำหนักทรงเจ้าแล้วป้ายังรับดูดวงด้วยไพ่ทาโร่ต์ เท่าที่จำความได้ป้าศรีเผื่อนครองตัวเป็นสาวโสดและยึดอาชีพนี้หาเลี้ยงตัวมาโดยตลอด เธอไม่เคยเห็นป้าทำงานประจำเลยสักครั้ง
ภาพที่คุ้นตาเห็นเป็นประจำก็คือ ป้าจะอาบน้ำให้สะอาด แต่งกายด้วยชุดขาว จากนั้นก็จะจุดธูปเทียนอัญเชิญครูบาอาจารย์มาประทับร่างเพื่อเข้าทรง
คนที่มาหาป้าล้วนแต่เป็นคนที่มีปัญหาชีวิตทั้งนั้น ป้าก็จะช่วยหาวิธีแก้ไขผ่อนหนักให้เป็นเบา นอกจากทรงเจ้าแล้ว ป้าศรีเผื่อนยังมีชื่อเสียงในเรื่องดูไพ่ทาโร่ต์ที่คนทั่วไปรู้จักในนามไพ่ยิปซี
“ถึงเวลาคับขันมันก็ต้องเลือกนะ ระหว่างความอยู่รอดกับความชอบ”
แก้วศิลาถอนหายใจเบา ๆ คำนี้โดนใจเธอมาก แต่เธอคิดภาพตัวเองทำหน้าที่เหมือนผู้เป็นป้าไม่ออกจริง ๆ
ใช่ว่าเธอดูหมิ่นดูแคลนในสิ่งที่ป้าทำ เพียงแต่คนเราคิดต่างกัน มีความเชื่อไม่เหมือนกัน ศรัทธาต่างกัน อาจเพราะเธอเป็นเด็กรุ่นใหม่ก็ได้ จึงมองเรื่องนี้ว่าเป็นศาสตร์ที่ช่วยเยียวยาจิตใจตอนประสบทุกข์เท่านั้น
“หินน่ะมีเซ้นส์เรื่องนี้ น่าลองศึกษาดูแบบจริงจังสักตั้งนะ ป้าว่าหินทำได้”
“โอ้ยป้า ให้หนูเป็นร่างทรงไม่ไหวหรอก หนูทำไม่ได้” พอเธอปฏิเสธก็ถูกป้าศรีเผื่อนค้อนคมเข้าให้
“ป้าไม่ได้ให้เธอมาทรงเจ้า เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปัจจัตตัง ท่านเลือกใครคนนั้นก็รับหน้าที่ไป ที่ป้าพูดหมายถึงเรื่องไพ่ทาโร่ต์ต่างหาก”
“หินไม่ไหวหรอกป้า ไพ่ตั้งเยอะ ใครจะไปจำได้หมด”
“ทีสูตรเคมียาก ๆ ดันจำได้ หินเอ๊ย มีใครเป็นตั้งแต่อยู่ในท้อง เรื่องแบบนี้ศึกษาเรียนรู้กันได้ ขอแค่เปิดใจ ตั้งใจก็ทำได้แล้ว” คนเป็นป้ามองหน้าหลานสาว “ป้ารู้ว่าหินมีสัมผัสที่หก ถ้ามาทางนี้ต้องปังมากแน่ ๆ”
“หนูก็เป็นคนธรรมดาคนนึงนี่แหละป้า สัมผัสห้าหกเจ็ดอะไร หนูไม่มีหรอก”
“เชื่อป้าสิ ลองดูสักครั้งเถอะ ถ้าครั้งนี้ไม่ได้เรื่องจะเลิกป้าก็ไม่ว่า แต่ป้าอยากให้เราลองนะ”
“จะได้เรื่องเหรอ ครั้งก่อนที่ป้าสอนให้หนูลืมไปแล้วด้วย” ป้าศรีเผื่อนเคยจับเธอมาเรียนรู้ไพ่ทาโร่ต์พักหนึ่ง ตอนนั้นเธอยังเรียนอยู่มัธยมต้นด้วยซ้ำ
ศาสตร์ของไพ่มีหลักไม่มาก หัวใจสำคัญต้องอ่านไพ่เป็น รู้ความหมายของไพ่ รู้ตำแหน่งของไพ่ ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดของไพ่ทำนายคือต้องเชื่อมั่นในไพ่
“ลืมแล้วก็ไม่เป็นไร ขอแค่มีความตั้งใจเรียนรู้ใหม่ได้”
“หนูขอคิดดูก่อนนะ” คนเป็นหลานตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้
“พร้อมก็บอกแล้วกัน แต่ตอนนี้ป้าอยากดูไพ่ให้เรา มาเช็กดวงชะตาสักหน่อย มันเกิดอะไรขึ้นกับเราแล้วจะรับมือกันยังไง”
“หินไม่อยากรู้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด”
“รู้ไว้ก็ไม่เสียหายนี่ จะได้มีวิธีรับมือ เราไม่อยากรู้หรือไงว่าจะได้กลับไปทำงานที่ชอบเมื่อไหร่”
“อยากรู้สิป้า” แก้วศิลาตอบอย่างกระตือรือร้นทันที
“ถ้าอยากรู้ก็ตามมา” แล้วศรีเผื่อนก็ลุกขึ้นเดินกลับเข้าบ้านไป
