บท
ตั้งค่า

อ่อยครั้งที่ 4

ผมเดินออกมาจากห้องด้วยใบหน้าที่นิ่งสงบ ตวัดสายตาไปมองครามเล็กน้อยพอให้มันกลัวบ้าง แต่คนอย่างมันน่ะหรอจะกลัวผม...

“เสื้อยับอยู่นะ” มันเอื้อมมือจะมาขยับให้อย่างทุกครั้งแต่ผมตีมือมันเบาๆ

“ยุ่ง แกนี่นะ ฉันทำกลังจะได้เชื่อมความสัมพันธ์กับพลอยู่แล้วเชียว”

“พล?” ครามทำหน้าแปลกใจที่ผมเรียกแค่ชื่อเขาแบบย่อเหมือนสนิทกัน ผมหยักไหล่แล้วหันมามองขุนพลที่เดินมาหน้าตากลับเป็นปกติ พอเห็นครามที่มองนิ่งๆ ขุนพลก็ชะงักและยิ้มเบาๆ

“ผมว่าเราไปทำงานกันเถอะครับ มีเอกสารมากมายรอให้คุณเฮเลนตรวจอยู่” ผมพยักหน้าและเดินตามพลไป แถมครั้งนี้ยังมีครามพ่วงเดินมาด้วยอีก หนอย ไอ้มารคอหอย!

การทำงานในบริษัทของผมไม่ได้หน้าเบื่ออย่างที่คิด เนื่องจากบริษัทเราเป็นอสังหาริมทรัพย์ รับเหมาก่อสร้างและออกแบบอาคาร บ้าน ตึกต่างๆ มันเลยพอมีพวกแบบแปลนสวยๆ ให้ผมดูแก้เบื่อ เพราะผมเองก็จบสถาปัตย์เหมือนกัน...

แต่ดันมาบริหารซะงั้น โคตรตรงสายเลย!

“แบบตรงนี้ ผมว่ามันมืดไปหน่อยแทนที่เราจะใช้สีดำ ผมว่าเรามาใช้เป็นสีกรมท่าดีกว่า อื้ม สีเหมือนเสื้อของพลน่าจะได้พอดี” ผมชี้ตรงจุดที่ผมรู้สึกว่าไม่ชอบแล้วเงยหน้ามองพลที่ยืนอยู่ พลพยักหน้าแล้ววงไว้

“คุณเฮเลนต้องการอะไรอีกมั้ยครับ” ขุนพลถาม ผมพยักหน้าและยิ้มน้อยๆ ร่างสูงยืนตรงพร้อมรับฟัง ในมือก็ถือสมุดจดเตรียม

“ผมขอเป็น...รอยยิ้มหวานๆ ให้กำลังใจผมจากพลได้มั้ยครับ” ผมว่าแล้วยิ้มตาหยี๋ สองมือประกบเข้าหากันและบิดตัวไปมาอย่างเขินอายที่ตัวเองพูดจาน้ำเน่าออกไป แต่ดูท่าว่าคำพูดของผมมันจะทำให้ร่างสูงผิวเข้มข้างๆ ผมเขินจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด

“อะ เอ่อ...” ขุนพลยกมือเกาท้ายทอยแล้วยิ้มแหยๆ แบบคนเขินอาย แต่นั่นก็เป็นรอยยิ้มที่กระชากใจผมได้มากแล้วล่ะ

“อื้ม!” เสียงตัดบทของมารผจญดังขั้น ผมตวัดสายตาไปมองครามที่แกล้งไอส่งเสียงออกมา ไอ้นี่นิ ทำไมต้องย้ายมาทำงานในห้องของผมอีกคนก็ไม่รู้ ดันใช้ข้ออ้างว่าจะเรียนรู้งานที่ผมก็หาข้อต่างไม่ได้จนต้องยอมให้ครามอยู่ในห้องด้วย ทำเอาห้องที่มีสภาพอากาศบริสุทธิ์ของผมต้องมัวหมองไปเลยจริงๆ

เดี๋ยวนะคราม ถ้าแกยังจะขัดขวางฉันอีกจากที่รอยยิ้มของขุนพลจะกระชากใจฉัน จะกลายเป็นฉันลุกขึ้นไปกระชากหัวนายทุ่มลงพื้นจริงๆ ด้วย!

“ถะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมจะเอาแปลนนี้ไปให้ช่างนะครับ” ขุนพลหยิบม้วนกระดาษออกไปจากโต๊ะผมแล้วหันหลังจะออกจากห้อง

“เดี๋ยวซิพล แหม ไหนๆ เราก็มี คนส่งเอกสาร เอ๋! ไม่ซิ มีผู้ช่วยเลขาที่ว่างงาน อุ๊ย ผู้ช่วยเลขาที่กำลังเรียนรู้งานอยู่แล้ว ก็ให้เขาไปส่งให้ซิครับ ครามเองจะได้ฝึกคุยกับแผนกสถาปนิกด้วย...เน้อออ” ผมหันไปหาครามแล้วถามเสียงยานพร้อมรอยยิ้ม ครามหน้าบึ้งทันทีก่อนจะยกยิ้มขึ้นมา

“มันก็ได้นะครับคุณเฮเลน แต่ว่า เห้อ ไอ้ผมก็ไม่เคยมีประสบการณ์การทำงาน แถมยังพูดไม่ค่อยเก่ง ประสานงานกับคนอื่นไม่ค่อยเป็น คงต้องยื้มตัวรุ่นพี่ขุนพลไปแนะนำหน่อยนะครับ”

เอ๊ะ....ว่าไงนะ จะเอาขุนพลไปงั้นหรอ...!!

“จริงซินะ คุณครามเองก็เพิ่งมาใหม่จะให้ไปคุมงานเลยก็ยังไงอยู่ ผมเองก็ลืมไปผมควรที่จะไปฝากฝังคุณครามกับแผนกอื่นๆ ด้วยเพื่อการทำงานที่ดี เดี๋ยวผมจะพาไปแล้วกันนะครับ” ขุนพลว่าแล้วยิ้มด้วยรอยยิ้มจริงใจ และครามก็ยิ้มตอบแต่เป็นรอยยิ้มที่สะใจมากกว่า

“ฮ่าๆ ดีเลย แหม เลขากับผู้ช่วยเลขาเข้ากันได้แบบนี้ผมก็ดีใจ ช่วยสอนงานครามด้วยนะครับพล พลนี่เป็นเลขาที่เก่งและดีจริงๆ....” ผมแกล้งหัวเราะทำท่าทางดีใจแต่ก็สร้างภาพมโนว่าตัวเองวิ่งไปบีบคอครามตายไปแล้ว เหอะ! อุตส่าห์คิดว่าจะให้ครามไปส่งงานผมกับขุนพลจะได้อยู่ด้วยกันสองคนอีก ให้ตายเถอะ

แต่ก็นะ เหลือเวลาอีกตั้งหนึ่งปี ค่อยๆ ตะล่อมกินดีกว่า ละเมียดละไมแทะโลมไปทีละนิดพอให้หิวกระหาย และพออยากมากๆ ถึงตอนได้กินมันจะต้องอร่อยเหาะไปเลย...ใช่มั้ย?

“งั้นเดี๋ยวผมเอาแปลนนี้ไปส่งแผนกช่าง และจะพาคุณครามไปฝากตัวกับแผนกอื่นๆ ด้วยนะครับ อาจจะใช้เวลาหน่อยถ้ามีอะไรกดตรงนี้นะครับมันจะแจ้งเตือนที่นาฬิกาผม” ผมหันไปมองปุ่มสีดำเล็กมุมโต๊ะ และมองไปที่นาฬิของขุนพลที่เป็นทรงแปลกๆ

“อันนั้นคือ...?”

“อ๋อ คุณท่านคนเก่าทำไว้น่ะครับ ไว้สำหรับเรียกเลขาเวลาที่เลขาไปแผนกอื่นๆ เหมือนจะตกทอดให้เลขามารุ่นต่อรุ่นแล้วล่ะครับ นี่ผมก็เป็นคนที่สามที่ได้ใช้ สะดวกดีนะครับ ต่อให้ผมอยู่ที่ชั้นหนึ่ง แค่ประธานกดปุ่มและบอกว่าต้องการอะไรผ่านตรงนี้ ผมก็จะได้ยินผ่านหูฟังตรงนี้ คนอื่นๆ ก็จะไม่ได้ยิน ไม่ต้องเสียเวลายกมือถือเผื่อบางครั้งถือของหนักด้วย” ผมพยักหน้าเข้าใจ นี่ผมล้าสมัยหรือว่าบริษัทเรามันทันสมัยเกินไปวะ

“ได้เลยครับ ถ้ามีอะไรผมจะกดเรียก พลรีบไปส่งงานเถอะ แล้วรีบๆ มานะครับผมคิดถึง” ผมว่าแล้วหยิบตาให้หนึ่งที ขุนพลชะงักก่อนจะยิ้มเล็กน้อย

“ครับ...” ผมมองขุนพลและครามที่เดินออกจากห้องก่อนจะก้มทำงานอ่านเอกสารอะไรมากมายนักหนาก็ไม่รู้...เซ็นต์อย่างเดียวเลยหวังว่าคงจะไม่มีเอกสารส่งมอบบริษัทนี้ให้ใครสักคนเด้อ!

ระหว่างทำงาน ผมก็รู้สึกว่าห้องทำงานมันเงียบแปลกๆ เพราะก่อนหน้านี้จะมีเสียงนั่นนี่ตลอด ทั้งเสียงขุนพลสอนงานผม สอนงานคราม เสียงกระดาษ เสียงเปิดปิดประตู แต่พอสองคนนั้นออกไป

“โว้ย!! ชีวิตการทำงานทำไมมันไม่มีสีสันเลยนะ!” ผมร้องโวยวายก่อนจะมองไปที่ไอ้ปุ่มสีดำๆ นั่น และไวเท่าความคิดผมก็กดปุ่มนั้นลงไป

ปึก

“ขุนพลๆ” ผมพูดใส่ช่องเล็กๆ ที่ขุนพลบอกอย่างเก้ๆ กังๆ และก็ได้ยินเสียงขุนพลตอบกลับมา

“ครับคุณเฮเลน”

“ใช้งานได้จริงๆ ด้วย ไม่มีอะไรหรอกผมแค่ลองใช้ดูเท่านั้น” ผมว่าอย่างเขินๆ ได้ยินเสียงขุนพลหัวเราะเบาๆ และเสียงครามที่กำลังคุยงานอยู่ด้วย

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วเดี๋ยวผมไปคุยกับช่างก่อนนะครับ” ผมตอบรับและกดปุ่มนั้นซ้ำมันก็เด้งขึ้นมาเหมือนว่าเป็นก่รตัดสายอะไรแบบนั้น ผมก็กลับมาทำงานเหมือนเดิม แต่เพียงแค่สิบวินาทีเท่านั้นแหละ

ปึก

“พลๆ” ผมกดปุ่มนั่นและเอ่ยเรียกเลขาสุดหล่ออีกครั้ง ได้ยินเสียงกึกกักก่อนที่ขุนพลจะขานตอบ

“ครับคุณเฮเลน” อีกฝ่ายดูเหมือนกำลังคุยงานกันอย่างเครียดนิดหน่อยเพราะได้ยินเสียงใครสักคนพูดว่า ทำอย่างไรดี แต่ผมไม่สนใจแล้วก็พูดสิ่งที่คิดออกไป

ชอบนะ

” ก่อนจะกดปุ่มนั้นซ้ำเพื่อตัดการสนทนาแล้วมานั่งอมยิ้มแก้มปริคนเดียว

อีเฮเลน..แกเพิ่งเจอผู้ชายคนนี้ได้สามชั่วโมงเองนะ ทำไมแกคันทำไมแกแรดแบบนี้ห้ะ!!!

คิดด่าตัวเองในใจ หายตายซิ แค่นึกหน้าเข้มๆ ของขุนพลที่เขินจนหน้าดพหน้าแดงคล้ายเด็กมอปลายที่เพิ่งมีความรักแล้วผมก็รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมา...

อยากกรี๊ดให้ลั่นห้องเหมือนเด็กสาวที่เพิ่งสารภาพรักเลยวุ้ย!

ฝ่ายร่างสูงที่เพิ่งถูกบอกชอบไปถึงกับนิ่งกึกไป ใบหน้าหล่อคมผิวเข้มค่อยๆ แดงขึ้นเรื่อยๆ จนลามไปถึงลำคอและหู ใจดวงน้อยเต้นตึกตักจนกระเพื้อมขึ้นลงแรงๆ

“เจ้านายคนใหม่....ทำไมน่ารักแบบนี้นะ...!!” ขุนพลคิดในใจปากหนาก็เม้มเข้ากันนึกภาพเจ้านายคนใหม่ที่ชอบส่งยิ้มหวาน ดวงตาเปร่งประกายบอกความต้องการของตัวเองว่าอยากได้เขาชัดเจน ไหนจะร่างกายเล็กผอมบอบบางที่ใส่เพียงแค่เสื้อเชิตขาวบางและกางเกงสีดำเรียบๆ แต่ดูหรูหรานั่น แถมยังเผยให่เห็นส่วนเว้าโค้งของทรวดทรงองเอวได้อย่างดีจนตัวเขาเองก็หลงมองไปหลายครั้งโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว ยิ่งพอนึกถึงน้ำเสียงเล็กหวานที่ชอบเรียกชื่อเขา ชอบพูดคำหยอดเย้าพร้อมกระพริบตาให้แล้วอีก....แค่คิด

ก็รู้สึกมีความสุข

ให้ตายเถอะไอ้ขุนพล แกเพิ่งจะเห็นและรู้จักเขาเพียงแค่สามชั่วโมงเองนะ แล้วเขายังเป็นเจ้านายอีก นี่แกคิดอะไรของแก....คิดชอบเขาไปได้ยังไง!!!

ใครบอกว่าเป็นประธานของบริษัท เป็นผู้บริหารงาน ทำแค่ออกคำสั่ง ชี้นิ้วใช้ลูกน้องแล้วตัวเองก็ได้เงินเยอะกว่าใครๆ สบายจะตาย...ผมขอตบหน้ามันสักที

ถ้าการบริหารงานมันสบายจริงๆ ผมไม่ต้องมานั่งเหนื่อยหอบและเช็ดเหงื่ออยู่แบบนี้หรอก!!!

“ขอโทษนะครับคุณเฮเลน ผมลืมไปว่าวันนี้มีนัดกับบริษัทจัดขายอุปกรณ์ ที่จริงมันควรจะเป็นพรุ่งนี้แต่อีกฝ่ายเร่งเข้ามาเพราะติดธุระ ผมก็ดันลืมจดไว้....ต้องลำบากคุณวิ่งมาแบบนี้” ขุนพลพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอย่างรู้สึกผิดมือก็เช็ดเหงื่อไม่ต่างจากผม

“ช่างเถอะพล ว่าแต่เราไม่ได้มาสายใช่มั้ย?” ขุนพลยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูและพยักหน้า

“เรามาล่วงหน้าสิบห้านาทีครับ เข้าไปข้างในกันเถอะ” และเราสองคนก็เข้ามาในร้านอาหารของห้างดังใจกลางเมืองแห่งหนึ่งเพื่อจองโต๊ะรอลูกค้า ส่วนครามรายนั้นก็ไปหาทีาจอดรถนู้น ตอนนี้ก็สี่โมงเย็นเวลาเลิกงานตามบริษัทต่างๆ รถคงเยอะเป็นพิเศษ ดี! มันจะได้ไม่ต้องมาขัดขวางผมกับขุนพล!

“แล้วเราต้องทำอะไรบ้าง?” ผมหันไปถามร่างสูงที่นั่งข้างๆ ขุลพลยกแฟ้มเอกสารขึ้นมาพร้อมกับเปิดสมุดจดตัวเอง

“อย่างที่ผมให้คุณเฮเลนอ่าน เราจะต้องจับมือทำธุรกิจกับบริษัทนี้ที่เป็นบริษัทขายอุปกรณ์ เครื่องมือ ของตกแต่งภายในบ้าน ซึ่งก่อนหน้านี้เรามีสัญญากับอีกบริษัทแต่ตอนนั้นทางนั้นล้มละลายแล้ว เราเลยต้องหันมาร่วมกับบริษัทนี้ คุณเฮเลนต้องพูดโน้มน้าวให้อีกฝ่ายสนใจทำสัญญากับบริษัทเรา” ผมถอนหายใจออกมาแรงๆ

“ฟังดูยากจัง แต่ผมจะลองดู”

“ครับ...นั่น ประธานของบริษัทนั้นมาแล้ว” ขุนพลว่าแล้วยืนขึ้น ผมจึงยืนตามก่อนจะเงยหน้าไปมองก็ถึงกับชะงัก...

คนคุ้นเคยนี่นา

ร่าสองของหมอนั่นหยุดลงที่ตรงหน้าผมและมองผมด้วยสายตานิ่งเรียบปกติธรรมดาของมันก่อนจะเป็นฝ่ายพูดก่อน

“สวัสดีครับ ผมเมลิค ประธานบริษัท....” เมลิคเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม และยื่นมือส่งมาให้ ผมชะงักก่อนจะยิ้มเล็กน้อยและจับมือทำความรู้จักกับอีกฝ่าย

“ผม....”

“เฮเลน” ผมชะงักอีกครั้งแล้วยกยิ้มเฝื่อนๆ ให้ตายเถอะ...ทำหน้าไม่ถูกเลย

“เอ่อ...ผม ขุนพลครับ เลขา”

“ครับ ขอโทษนะครับที่มาสาย ผมคงไม่สายเกินไปใช่มั้ยครับ?”

“ไม่หรอกครับพวกเราเองก็เพิ่งมา เชิญคุณเมลิคนั่งก่อนเถอะครับ” เป็นขุนพลที่เอ่ยเชิญอีกฝ่าย เมลิคพยักหน้าและนั่งลง พวกเราสองคนเลยนั่งลงฝั่งตรงข้าม

“ผมต้องขอโทษที่เลื่อนนัดกระทันหันพอดีผมมีปัญหานิดหน่อย...”

“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ ทางเรายินดี ยิ่งเร็วยิ่งดีครับ” ขุนพลว่าแล้วหัวเราะเบาๆ เมลิคยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะหันมามองหน้าผม

“ก่อนหน้านี้ได้ยินคุณนายบอกว่าจะให้ลูกชายมาบริหารงานแทน ไม่คิดว่าจะเป็น.....ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ...เฮเลน” เมลิคพูดเสียงทุ้มเย็นยะเยือก ผมกลืนน้ำลายลงคอแล้วหัวเราะกลบเกลื่อน

“อ่า ฮ่าๆ งั้นหรอครับ แหมจริงๆ เราก็ไม่ได้เจอกันมานานจริงๆ ด้วยกี่ปีนะ หนึ่ง สอง....”

“สี่....สี่ปี” ผมชะงักแล้วมองหน้าคนตรงหน้าก่อนจะกลืนน้ำลาย

“อ่า สี่ปีเลยหรอ ทำไมนายยังทำหน้าดุไม่เปลี่ยน เอ้ย! ไม่ใช่ๆ ผมไมนายยังหล่อไม่เปลี่ยนเลยนะ ฮ่าๆ...แหะๆ” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ขำตามผมก็ค่อยๆ ขำแห้งลงจนถึงกับจ๋อยหางลู่พื้นเลย

อะไรกันหมอนี่ไม่ได้เจอกันตั้งสี่ปี พอมาเจอกันก็เอาแต่ทำหน้าตาหน้ากลัว...

“เอ่อคือว่า....” ขุนพลมองผมกับเมลิคสลับกันไปมาอย่างงงๆ ก่อนจะเอ่ยถามคำถามที่ผมไม่อยากตอบที่สุด!

“พวกคุณสองคนรู้จักกันมาก่อนหรอครับ?”

“เราเคยมีความสัมพันธ์กันครับ/อ๋อ เคยเจอนิดหน่อย” ผมกับเมลิคตอบพร้อมกัน และพอได้ยินอีกฝ่ายตอบว่ามีความสัมพันธ์กันผมก็ตวัดสายตาไปมองอย่างไม่พอใจ แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายมองอย่างไม่สบอารมณ์ผมก็จ๋อยอีก

“คือ มันก็เป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้วไง แล้วแบบ ตอนนั้นเราก็ยังเด็กๆ อะเนอะ ใช่มั้ยเมลิค เอาเป็นว่าเรามาคุยเรื่องงานกันดีกว่า” ผมหัวเราะแล้วเปิดแฟ้มเอกสาร แต่ยังไม่ทันพูดอะไรเมลิคก็พูดแทรก

“กับคนที่ไม่สนใจอะไรรอบตัวอย่างคุณ ผมควรจะจับมือทำงานด้วยอย่างนั้นหรอ” ผมชะงักก่อนจะเงยหน้ามองอีกคน

“หมายความว่ายังไง....”

“ดูก็รู้แล้วว่าคุณไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเฮเลน ที่มาบริหารบริษัทคงเป็นเพราะถูกคุณนายบังคับมาซินะ กับคนที่ไม่เต็มใจจะทำงานผมไม่ค่อยอยากจะร่วมงานด้วยเท่าไหร่ ผมเองก็เสียใจที่ผมคงต้องขาดกำไรมหาศาล แต่ถ้าเพื่อความสบายใจ...”

ตุบ!

“นายเอาเรื่องส่วนตัวมาปนเรื่องงาน!” ผมทุบโต๊ะและตวาดลั่นอย่างไม่สนใจใคร เมลิคกระตุกยิ้มแล้วมองหน้าผมนิ่งๆ

“ถ้าใช่ มันคือเรื่องจริงมั้ยล่ะ...พี่เฮเลน?” หน็อย ไอ้หมอนี่ ทำหน้าตานิ่งๆ แต่ยังกวนเบื้องล่างไม่เปลี่ยนแปลง ตอนนี้ครามมันไปมุดหัวอยู่ไหนนะแม่จะสั่งให้ชกคนตรงหน้านี่สักเปรี้ยงหน่อย!

“เหอะ! เรื่องมันแล้วก็แล้วไปซิ นายจะเอาอะไรนักหนา เจ็บใจ? ขายหน้า? หรือว่า...ยังรักฉันอยู่??” ผมกอดอกแล้วหรี่ตามองฝ่ายตรงข้าม เมลิคชะงักไปเล็กน้อย

“ผมน่ะหรอยังรักพี่...หึ เสียใจด้วยนะที่ต้องบอกว่ามันไม่ใช่แบบนั้น เพราะตอนนี้ผมเองก็มีคนรักอยู่แล้ว ถึงมันจะน่ารำคาญหน้าเบื่อไปบ้าง...แต่ว่าผมก็ไม่คิดจะ....” เมลิคยังพูดไม่จบก็หยุดไปเมื่อผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ หึ! เด็กหนอเด็ก ปากบอกไม่ได้รักแล้วแต่ทำไมถึงทำหน้าตาเลิ่กลั่กหลุดมาดครึมแบบนั้นล่ะ...

“หน้าตานายดูกังวลใจนะเมลิค หรือว่านาย...ยังคิดถึงเรื่องเก่าๆ อยู่?” ผมลุกจากโต๊ะและเดินมานั่งเบียดร่างสูงของเมลิค มันนิ่งไม่ขยับหนีและทำหน้าเรียบปกติของมันแต่ตาก็ยังมองมาที่ผมอยู่ ผมเอื้อมมือไปแตะที่ขามันและลูบช้าๆ

“เราคงจะมีเวลาสัก...สอง สาม ชั่วโมงเพื่อคุยเรื่องธุรกิจรึเปล่า? บอกตามตรงว่าฉันเสียใจถ้าไม่ได้ทำสัญญากับนายน่ะ ว่าไง เราพอจะไปคุย...”

“คุณเฮเลน”

เดี๋ยวนะ

ผมชะงักเมื่อได้ยินเสียงทุ้มที่เอ่ยเรียกชื่อผม เสียงทุ้มสั่นๆ...เฮเลน...มึงไม่ได้มาคนเดียว!

“ขุนพล อ่า...ฮ่าๆ แหมๆ ร้านนี้แอร์เย็นชะมัด” ผมรีบชักมือออกจากหน้าขาของเมลิคและกลับมานั่งที่เดิมพร้อมรอยยิ้มกว้าง

แหมอีเฮเลนเห็นผู้ชายไม่ได้เลยนะฉัน! ลืมไปได้ยังไงว่าตอนนี้กำลังอ่อยขุนพลอยู่ดันไปลูบไล้เมลิคต่อหน้าเหยื่อใหม่ ตั้งแต่วันแรกที่คิดจะสอยซะได้...วันแรกกูก็ออกลายจะนอกใจขุนพลมันเลยหรอ รู้สึกเลวว่ะ เห้อ!!!

100%

#โปรดติดตามตอนต่อไป....

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel