3ไม่ลืม
“ขอเป็นเสื้อกันหนาวหนาๆสักตัวก็แล้วกัน ไม่ต้องแพงมากนะ ไม่เอาแบรนด์เนม”
ลัลนาเอ่ย รู้ดีว่าพี่สาวเป็นคนอย่างไร เพื่อเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเธอจึงมักจะเลือกแบรนด์ราคาแพงอยู่เสมอ สองพี่น้องเติบโตมาอย่างยากลำบาก ครอบครัวไม่ได้ร่ำรวย ต้องดิ้นรนทำงานส่งตัวเองเรียน กว่าจะกัดฟันเรียนจบจนมีงานการมั่นคงก็ล้มลุกคลุกคลานมาไม่น้อย
ลัลนาที่เห็นความเหนื่อยยากของพี่สาวมาโดยตลอด เธอจึงไม่เคยเรียกร้องอะไรจนเกินตัว
“เดี๋ยวพี่จะดูแบบดีๆมาให้ก็แล้วกัน”
ลักษิการับปาก รู้ว่าน้องสาวลำบากใจทุกครั้งที่ต้องรับข้าวของราคาแพงที่เธอซื้อให้ แต่ลักษิกาอยากดูแลน้องให้ดีที่สุด เธอไม่เคยปล่อยให้ลัลนาลำบาก ทั้งสองอายุห่างกันราว 5 ปี ตอนที่เธอเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ลัลนาเพิ่งอายุ 14 ปีเท่านั้น เธออาศัยอยู่กับป้าที่เจ้าระเบียบ จึงรู้สึกกดดันและทนไม่ไหวที่ถูกบังคับจำกัดสิทธิ์จึงขอร้องพี่สาวให้พาเธอมาอยู่ที่กรุงเทพฯด้วย
หลังจากจบมัธยมปลาย ป้าก็ไม่ส่งเสียอีก ลักษิกาจึงจำเป็นต้องทำงานหาเงินส่งตัวเองเรียนพร้อมกับดิ้นรนขอทุนทุกอย่างที่สามารถขอได้เพื่อลดค่าใช้จ่าย ยิ่งเมื่อน้องสาวมาอยู่ด้วยค่าใช้จ่ายก็เพิ่มเป็นเท่าตัว โชคดีที่หญิงสาวเรียนเก่ง เธอเห็นช่องทางทำรายได้จึงรับทำงานให้กับเพื่อนๆในมหาวิทยาลัย ซึ่งลูกค้าของเธอส่วนใหญ่เป็นลูกหลานนักธุรกิจ เมื่อได้รับผลลัพธ์ที่น่าพอใจก็มักจะให้ทิปเกือบเท่าค่าจ้างอยู่เสมอ
ลักษิกาจัดสรรเงินให้น้องสาวรวมทั้งตัวเธอ เพราะไม่ต้องการให้ลัลนากู้ยืมเรียนจนผูกพันเป็นภาระในอนาคต
“ขอบคุณนะเจ๊”
หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ถึงเธอจะเป็นเด็กกำพร้าไม่มีพ่อไม่มีแม่ไม่มีครอบครัวที่อบอุ่น แต่ก็ยังโชคดีที่มีพี่สาวอย่างลักษิกา
“เตรียมตัวให้พร้อมก็แล้วกัน อีกไม่นานก็ต้องไปจีนแล้ว”
หลังจบมัธยมปลาย ลัลนาขอพักการเรียน 2 ปีเพื่อทำงานเก็บเงิน ซึ่งลักษิกาก็ไม่ได้คัดค้านเพราะเห็นว่าตอนนั้นน้องสาวอายุเกิน 18 ปีแล้ว และหางานทำได้ไม่ยาก บวกกับอีกฝ่ายอยากหาประสบการณ์เธอจึงเปิดโอกาสให้น้องได้ออกไปเรียนรู้โลกกว้างด้วยตัวเอง
ลัลนาใฝ่ฝันอยากไปเรียนต่อปริญญาตรีที่ประเทศจีน เธอจึงตัดสินใจวางแผนชีวิตของตัวเองเงียบๆโดยไม่ได้บอกให้พี่สาวรู้ตั้งแต่แรก แต่เมื่อวันเกิดที่ผ่านมาเธอตัดสินใจบอกความลับที่เก็บซ่อนให้ลักษิกาได้รู้
ตอนแรกคิดว่าพี่สาวจะไม่อนุญาตให้ไป แต่กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายนั้นสนับสนุนเต็มที่
ลัลนาแอบไปสอบชิงทุนการศึกษาโดยไม่ได้บอกพี่สาว ตอนแรกเธอคิดว่าตัวเองอาจจะชวดรางวัลนี้ด้วยซ้ำ แต่กลับกลายเป็นว่าเธอติด 1 ใน 3 ผู้ที่ได้รับทุนการศึกษาไปเรียนต่อที่ประเทศจีน
และที่โชคดีกว่านั้นนอกจากลักษิกาจะไม่ขัดขวางแล้ว ยังเดินหน้าสนับสนุนเธออีกด้วย
“เตรียมพร้อมทุกวันเลยนะเจ๊ แต่อีกใจนึงก็ไม่อยากไปเพราะเป็นห่วงพี่สาวคนนี้ กลัวว่าจะมีหนุ่มๆมาจีบ”
ผู้เป็นพี่ส่ายหน้ายิ้มๆไม่ได้พูดอะไร เธอครองตัวเป็นโสดมานานจนแทบไม่สนใจเรื่องความรัก
“ไม่ต้องพูดมากรีบไปอ่านหนังสือ เดี๋ยวพี่จะซื้อเสื้อกันหนาวมาให้”
หญิงสาวเดินทางมาถึงร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า ตอนนี้เพื่อนทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตาเว้นเพียงแต่วิกานดาที่ยังมาไม่ถึง
“ฉันว่าเธอมาช้าแล้วนะ แต่วิยังมาช้ากว่าอีก”
เหล่าเพื่อนๆต่างพากันบ่นที่วิกานดานั้นไม่ตรงต่อเวลา ทั้งที่วันนี้ทุกคนมารวมตัวกันเพราะคำขอของอีกฝ่ายแท้ๆ
เมรีไม่ค่อยพอใจ โดยส่วนตัวเธอไม่ได้สนิทสนมกับวิกานดามาก จะว่าไปไม่ถูกกันด้วยซ้ำ
“คงติดธุระมั้ง”
ลักษิกาเอ่ยขึ้นไม่อยากให้เพื่อนจับผิดวิกานดา ได้ยินว่าช่วงนี้อีกฝ่ายเข้าไปช่วยงานที่บริษัทของครอบครัว คงจะยุ่งจนหาเวลาปลีกตัวออกมาไม่ได้
“ตายยากจริงๆ พูดถึงก็มาเลย”
เมรีกระซิบกระซาบก่อนที่เธอจะยืดหลังตรงพร้อมกับปรายตามองคนที่เพิ่งมาถึง วิกานดาสวมชุดเดรสแบรนด์ดังราคาหลายหมื่น พร้อมทั้งสะพายกระเป๋าที่มีมูลค่าหลายแสน หญิงสาวเป็นคนที่ เฉิดฉายอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากเธอนั้นมักจะใช้ของแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้า บวกกับรูปร่างหน้าตา ทำให้ทุกอย่างดูส่งเสริมกันเป็นอย่างดี
“มาสักทีนะคะคุณเจ้าภาพ”
หนึ่งในนั้นเอ่ยแซวก่อนที่วิกานดาจะเหยียดยิ้ม เธอวางกระเป๋าลงบนโต๊ะอย่างจงใจ โดยไม่สนว่ามันจะเกะกะหรือไม่ ขอเพียงได้อวดโฉมทรัพย์สมบัติของตัวเองก็เป็นพอ
“ฉันธุระเยอะ ก็เลยมาช้า พวกเธออยากกินอะไรสั่งได้เต็มที่เลยนะ มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง”
หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับเชิดใบหน้าขึ้นเล็กน้อยวิกานดาเป็นคนเย่อหยิ่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพื่อนที่ยังคงคบกันอยู่ก็ใช่ว่าจะชอบ มักจะแอบนินทาลับหลังอยู่เสมอ
“สรุปเรื่องการ์ดแต่งงานนั้นยังไงกันแน่ เธอกับวรกรจะแต่งงานกันจริงๆเหรอ”
คำถามนั้นทำให้วิกานดายกยิ้มอย่างมีเลศนัย ทุกคนตั้งหน้าตั้งตารอคำตอบไม่ต่างจากลักษิกา แต่ผู้ถูกถามก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ คล้ายกับต้องการประวิงเวลาให้ทุกคนนั้นกระหายมากขึ้น
“บอกมาสิ สรุปมันยังไงกันแน่”
หนึ่งในนั้นร้อนรนอยากรู้เต็มที เธอพยายามคาดคั้นให้วิกานดาบอกความจริง
“เรื่องนี้ฉันเองก็ตอบไม่ได้หรอกนะ ถ้าเธออยากรู้ก็คงต้องไปถามแม่ของฉันกับแม่ของกรแทน พวกท่านเป็นคนทำการ์ดนี้ขึ้นมา ถ้าเธออยากรู้จุดประสงค์ก็ลองโทรไปถามดูก็ได้”
“แม่พวกเธอคิดจะจับคู่กันแน่ๆ”
เมรีเอ่ยขึ้น ความจริงเธอไม่ได้อยากยุ่งเรื่องนี้ แต่ก็อดแสดงความคิดเห็นไม่ได้ ยังไงวรกรก็เป็นเพื่อนสนิทของเธอเช่นกัน
“ก็คงจะเป็นแบบนั้น จริงๆแม่ของเราสองคนมักจะพูดเรื่องแต่งงานอยู่บ่อยๆ”
“แล้วเธออยากแต่งหรือเปล่า”
ลักษิกาลอบมองวิกานดา อยากรู้ว่าอีกฝ่ายคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ เห็นด้วยหรือไม่ที่แม่ของทั้งสองคิดจะจับคู่กัน
“ฉันก็แล้วแต่แม่ ฉันไม่ได้รังเกียจกร เขาไม่มีที่ติซะขนาดนั้น ถ้าฉันจะแต่งงานกับเขาก็คงไม่เสียหายอะไร”
ลักษิกากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เธอรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกระแทกที่ศีรษะแรงๆจนมึนงง หญิงสาวพยายามเก็บอาการ ซ่อนความรู้สึกของตัวเองไว้อย่างมิดชิด โชคดีที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเพราะทุกคนต่างเพ่งสายตาไปที่วิกานดา
“พูดแบบนี้ ฉันว่าเธอต้องแอบชอบวรากรอยู่แล้วแน่ๆ”
แม้ว่าวิกานดาจะไม่ยอมรับตามตรง แต่ท่าทางของเธอก็ทำให้ทุกคนนั้นดูออก
“ฉันจะชอบหรือไม่ชอบ สุดท้ายเราก็ต้องแต่งงานกันอยู่ดี ถ้าใครชอบวรกรอยู่ก็ต้องเสียใจด้วยนะ”
วิกานดาเอ่ยทีเล่นทีจริงแต่กลับกระแทกใจใครบางคนอย่างจัง ลักษิการู้สึกสะอึกอึ้งเล็กน้อยแต่เธอก็เก็บอาการได้เป็นอย่างดี…
กว่าการสนทนาจะจบลงก็กินเวลานานหลายชั่วโมง เมรีเป็นฝ่ายขอตัวกลับก่อนเพราะเธอมีลูกเล็กที่ต้องดูแล ทำให้ลักษิกานั้นถือโอกาสขอตัวกลับด้วย ทั้งสองแยกย้ายกันที่กลางห้าง ก่อนที่หญิงสาวจะแยกไปซื้อเสื้อกันหนาวให้ลัลนา
ลักษิกาใช้เวลานานเพื่อเลือกเสื้อกันหนาวที่ดีที่สุดให้น้องสาว เธอเลือกเสื้อที่ค่อนข้างหนา แต่เมื่อสวมแล้วต้องไม่หนักจนเกินไป เบาสบายแต่กันหนาวได้ดี
หลังได้สิ่งที่ต้องการ เธอก็รีบจ่ายเงิน เดินตรงไปที่รถเพื่อกลับคอนโด เมื่อมาถึงก็พบว่าน้องสาวนั้นกำลังนั่งอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ
ตอนนี้ลัลลาออกจากงานและทุ่มเทกับการเตรียมตัวไปเรียนต่อที่ประเทศจีน คนเป็นพี่อย่างลักษิกาก็คอยสนับสนุนและซัพพอร์ตอยู่เบื้องหลัง
“รู้ใจน้องจริงๆ รู้ด้วยว่าน้องชอบสีชมพู”
“ไม่มีใครรู้ใจเธอเท่าพี่หรอกนะ เอาไปซักก่อนแล้วค่อยเก็บใส่กระเป๋า พี่ซื้อพวกข้าวของเครื่องใช้มาให้ด้วยนะ อันไหนจำเป็นก็เอาใส่กระเป๋าไว้ วันเดินทางจะได้ไม่ลืม”
ลักษิกากำชับ การเดินทางครั้งนี้ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลเป็นระยะทางที่ค่อนข้างไกลและยาวนาน ฉะนั้นจึงต้องรอบคอบกว่าปกติ เพราะหากลืมของอะไรไว้ จะกลับมาเอาก็คงไม่สะดวกนัก
“เข้าใจเเล้ว เดี๋ยวหนูอ่านหนังสือต่อนะ เจ๊กลับมาเหนื่อยๆไปพักผ่อนเถอะ”
หญิงสาวดันหลังผู้เป็นพี่เข้าไปในห้องก่อนจะปิดประตู รอยยิ้มบนใบหน้าลักษิกาค่อยๆเลือนหาย แทนที่ด้วยสีหน้าหม่นหมองไร้อารมณ์
ลัลนาคือเหตุผลเดียวที่ทำให้ชีวิตของเธอนั้นพอจะได้สัมผัสกับความสุขอยู่บ้าง แต่เมื่อไหร่ที่ไม่มีน้องสาวอยู่เคียงข้าง ความสุขเหล่านั้นก็จะเลือนหายไปอย่างรวดเร็วราวกับไม่เคยมีมาก่อน
ลักษิการู้ดี ว่าตอนนี้สภาพจิตใจของเธอนั้นย่ำแย่เพียงใด แต่ก็ไม่สามารถปริปากบอกใครได้ว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้เธอกลายเป็นแบบนี้ แม้แต่เมรีที่เธอสนิทสนมมากที่สุด เธอก็ยังไม่กล้าพอที่จะเล่าเรื่องสำคัญให้อีกฝ่ายฟัง
ลักษิกาไม่ไว้ใจใครสักคน แม้กระทั่งน้องสาวของเธอเอง เธอก็ไม่เคยเล่าให้ฟังแม้แต่ครั้งเดียว…
