Chapter 4 หนทาง
การเตรียมงานทำบุญครบรอบยี่สิบปีของบริษัทสำเร็จลุล่วงเพราะได้รับความร่วมมือจากทุกคนเป็นอย่างดี ทว่าคนที่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจในการทำงานครั้งนี้มากกว่าใครเพื่อนเห็นจะเป็นกิ่งกมล บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ต่างกรูกันเข้ามาสอบถามเธอว่าทำยังไงลูกชายสุดหล่อของเจ้านายถึงได้มาช่วยถือของ แต่ก็มีบางคนที่เข้ามากระแนะกระแหนว่าเธออ่อยทินกร หญิงสาวไม่ได้สนใจคำพูดเหล่านั้น เธอไม่คิดที่จะใส่ใจมันอยู่แล้วเพราะไม่ใช่เรื่องจริงเสียหน่อย โชคดีที่แก้วตาคอยปรามพวกปากหอยปากปูให้
กว่าจะจัดเตรียมสถานที่เสร็จเวลาก็ล่วงเข้าสี่โมงเย็นเสียแล้ว แก้วตาชวนสาวน้อยของเธอไปหากาแฟดื่มที่ห้องแคนทีน “น้องกิ่ง เลิกงานแล้วตรงไปโรงพยาบาลเลยไหมจ๊ะ”
“ค่ะ วันนี้กิ่งว่าจะไปนอนเฝ้าพ่อ” ตอบพลางยกแก้วโอวัลตินขึ้นดื่ม
แก้วตาขมวดคิ้วมุ่นเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง ลังเลเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป “น้องกิ่ง อย่าว่าพี่ยุ่งไม่เข้าเรื่องเลยนะ การรักษาโรคมะเร็งค่าใช้จ่ายไม่ใช่ถูกๆ ว่าแต่มีเงินพอแล้วเหรอ”
หญิงสาวก้มหน้างุด ประกายตาสั่นไหว ตอบเสียงอ้อมแอ้มว่า “ยังไม่มีค่ะ กิ่งว่าจะลองโทรไปยืมญาติดู”
“แล้วถ้าเขาไม่ให้เรายืมล่ะ จะทำยังไง”
“กิ่งไม่ทราบค่ะพี่ตา ตอนนี้กิ่งมืดแปดด้านไปหมด” สิ้นคำน้ำตาหยดหนึ่งก็ร่วงลงบนหลังมือ “หากจนตรอกจริงๆ แม้ต้องขายไตเพื่อช่วยพ่อ กิ่งก็จะทำค่ะ”
“เฮ้ย! อย่าทำแบบนั้นเชียว” มันไม่คุ้มหรอก ประโยคนี้แก้วตาเอ่ยเพียงในใจ พ่อของกิ่งกมลเป็นมะเร็งระยะที่สาม เผลอๆ อาจจะเข้าสู่ระยะที่สี่แล้วด้วยซ้ำ ผ่าตัดมาใช่ว่าจะมีชีวิตอยู่ยืนยาวเสียหน่อย เพียงต่อเวลาอีกแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น เรื่องนี้เธอรู้ดี เพราะแม่ของเธอก็จากไปด้วยโรคมะเร็งเช่นกัน หลังจากผ่าตัดและทำคีโมแล้ว ร่างกายของแม่มีแต่ทรุดโทรมลง จนสุดท้ายก็จากไปหลังจากนั้นเพียงครึ่งปี
“มันต้องมีหนทางสิ” แต่ว่ามันมีทางไหนที่หาเงินแสนได้เร็วๆ ภายในเวลาไม่กี่วันบ้างนะ แน่นอนว่าต้องไม่ใช้วิธีการที่ผิดกฎหมายด้วย
กิ่งกมลมองอีกฝ่ายด้วยสายตามีความหวัง เธอไม่มั่นใจว่าคนที่เคยโกงพ่อไปจะยอมช่วยเหลือกันหรือเปล่า หากเขายังเห็นแก่ความสัมพันธ์ครั้งเก่าก่อนคงไม่ใจดำกับพวกเธอเกินไปหรอกมั้ง ได้แต่หวังว่าจะเป็นแบบนั้น
แก้วตายิ้มกว้างเหมือนกับปิ๊งไอเดียบางอย่าง “น้องกิ่ง ซีเรียสเรื่องการรักษาพรหมจรรย์ไว้ให้สามีในอนาคตไหม”
“ไม่ค่ะ” ตอบอย่างใจคิด นี่มันสมัยไหนแล้ว ใช่ว่าคนเป็นแฟนกันแล้วนอนด้วยกันจะต้องแต่งงานกันเสมอไปนี่นา บางคนมีแฟนมาหลายคนก่อนจะได้สามีตัวจริงด้วยซ้ำ
“งั้นดีเลย ไม่คิดอยากเป็นเด็กเสี่ยบ้างเหรอ พี่หาให้เอาไหม” แก้วตามมองคนตรงหน้านิ่งงัน เธอตั้งใจจะทำอย่างที่พูดจริงๆ คงมีแต่วิธีนี้ที่จะหาเงินได้เร็ว นักศึกษาทุกวันนี้ก็นิยมทำแบบนี้กันออกจะเยอะแยะ บางคนเผลอๆ เป็นไซด์ไลน์ด้วยซ้ำ หากเด็กน้อยของเธอใจกล้าสักหน่อยคงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ในสายตาเธอกิ่งกมลถือว่าหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มเลยทีเดียว ตัวเล็กน่ากอด เอวบางร่างน้อยน่าทะนุถนอม ส่วนที่ควรเว้าก็เว้า ส่วนที่ควรนูนก็นูน เป็นที่ถูกใจของผู้ชายแน่นอน
“คะ?” คำถามนั้นทำให้กิ่งกมลนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ฝืนยิ้มแห้งกลบเกลื่อนความตกใจของตน “พี่ตาล้อเล่นใช่ไหมคะ”
“ใช่จ้ะ พี่ล้อเล่น” เมื่อโยนหินถามทางไปแล้ว ก็ได้เห็นสีหน้าตื่นตระหนกของอีกฝ่าย แก้วตาคิดว่าสาวน้อยของเธอคงไม่กล้าทำอะไรแบบนี้แน่ๆ “กินเสร็จรึยัง เข้าไปในออฟฟิศกันเถอะ”
หญิงสาวไม่เก็บเรื่องที่แก้วตาถามมาใส่ใจ ความคิดทั้งหมดของเธอล่องลอยไปถึงโรงพยาบาลแล้ว ในใจจดจ่อว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลาเลิกงาน นัยน์ตากลมโตเหลือบมองเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาซึ่งแขวนไว้อยู่บนผนังห้องในออฟฟิศบ่อยครั้ง ราวกับต้องการให้มันถึงห้าโมงเย็นเร็วๆ เวลาหนึ่งชั่วโมงเธอรู้สึกว่ามันช่างยาวนานเหลือเกิน
ครั้นถึงเวลาเลิกงาน กิ่งกมลก็กล่าวลาพี่ๆ ที่ทำงานแล้วเร่งรุดออกจากแผนกไปก่อนใครเพื่อน ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าจะไปถึงโรงพยาบาล เธอแวะซื้ออาหารและผลไม้ติดไม้ติดมือไปด้วย ทว่าในระหว่างที่กำลังเลือกซื้อส้มอยู่นั้น เสียงคุ้นเคยก็เอ่ยทักขึ้นมา
“กิ่ง” รุ่งรวีควงแขนธเนศเดินเข้ามาหาเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนโรงเรียนนานาชาติด้วยกัน
กิ่งกมลหันไปตามเสียงเรียก รอยยิ้มดีใจพลันปรากฏบนใบหน้า “รุ่งมาได้ยังไง”
“เราได้ข่าวมาว่าพ่อกิ่งเข้าโรงพยาบาล ก็เลยชวนธเนศมาเยี่ยมน่ะ” เธอกอดแขนชายหนุ่มไว้แน่น เหมือนเป็นการประกาศว่านี่คือผู้ชายของเธอ
“ขอบใจรุ่งมากนะที่มา เราเกรงใจจริงๆ ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่นา”
กิ่งกมลยิ้มกว้างจนตาหยี สำหรับเธอแล้วรุ่งรวีเป็นเพื่อนรักเพื่อนสนิทที่สุด อีกฝ่ายคอยปกป้องเธอจากการถูกเพื่อนๆ ในสาขาวิชาบูลลี่ ในตอนที่เธอตกอับเพื่อนคนอื่นๆ พากันตีตัวออกหาก มีเพียงรุ่งเท่านั้นที่อยู่เคียงข้างเธอเสมอมา รุ่งรวีเป็นคนอัธยาศัยดี พูดเก่งยิ้มเก่งจึงเข้ากับคนอื่นได้ง่าย ผิดกับเธอที่ต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับงานพิเศษและการเรียน จึงไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนในคณะสักเท่าไหร่นัก
“เรารีบเข้าไปเยี่ยมพ่อกิ่งกันดีกว่า” ธเนศที่มองกิ่งกมลตาเป็นมันพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าสองสาวยังไม่ยอมขยับไปไหนสักที เขาดึงแขนออกจากคนข้างกายอย่างแนบเนียน
สีหน้าของรุ่งรวีเจื่อนลงเมื่อชายหนุ่มรักษาระยะห่างกับเธอต่อหน้ากิ่งกมล ประกายตาวาวโรจน์ขึ้นมาแวบเดียวก่อนจะกลบเกลื่อนมันไว้ด้วยรอยยิ้ม “นั่นสิ เรารีบไปกันเถอะ ป่านนี้คุณลุงรอแย่แล้ว”
กิ่งกมลรับรู้ถึงสายตาที่ธเนศมองมา มันทำให้เธออึดอัดไม่น้อย ไม่ชอบอะไรแบบนี้เลยจริงๆ ใครๆ ต่างก็รู้ว่าเขาเป็นแฟนกับเพื่อนสนิทของเธอ “ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะหมดเวลาเยี่ยมไข้ซะก่อน” กล่าวจบก็เดินลิ่วไปไม่คิดจะหันมามองข้างหลังเลยสักนิด รู้สึกได้ว่าเขายังคงมองเธอด้วยสายตาหื่นกระหายอย่างไม่คิดปิดบัง
รุ่งรวีพยายามสะกดกลั้นความไม่พอใจไว้ รู้มาตลอดว่าเหตุผลที่ธเนศเข้ามาใกล้ชิดเธอนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพราะต้องการใช้เธอเป็นสะพานเพื่อเข้าหากิ่งกมล แต่ที่เธอยอมอดทนไว้เพราะว่าชอบเขามาก แต่ดูเหมือนว่าพอใกล้จะเรียนจบ แฟนหนุ่มก็ไม่คิดปิดบังความคิดเลยสักนิด เขามักจะแสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการผู้หญิงที่เธอเกลียดที่สุดคนนี้
กิ่งกมลนำทางเพื่อนทั้งสองไปยังห้องพักผู้ป่วย พวกเขาอยู่คุยกับพ่อเธอแค่แป๊บเดียวก่อนจะขอตัวจากไป ส่วนหญิงสาวอยู่เฝ้าพ่อต่อ หมอยังไม่นัดวันผ่าตัดให้พ่อของเธอ เงินเก็บในบัญชีก็ร่อยหรอลงทุกวัน ไม่รู้จะหาเงินได้ทันวันที่ต้องเซ็นผ่าตัดหรือเปล่า
วันถัดมากิ่งกมลไปถึงที่ทำงานสายกว่าทุกวัน คมสันไม่ได้ตำหนิเธอเพราะเลยเวลาเข้างานมาเพียงสิบนาทีเท่านั้น และวันนี้ช่วงเช้าก็ไม่ต้องทำงาน เนื่องจากพนักงานทุกคนต่างลงไปรวมตัวกันอยู่ที่ชั้นหนึ่ง เพื่อร่วมทำบุญตักบาตรในงานครบรอบของบริษัท
“น้องกิ่งเร็วเข้า” แก้วตากวักมือเรียกหญิงสาวให้มายืนข้างๆ ตนเพื่อรอตักบาตรพระด้วยกัน
“ขอบคุณนะคะพี่ตาที่เตรียมของใส่บาตรมาเผื่อกิ่งด้วย”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก” เธอรู้ดีว่ากิ่งกมลยุ่งอยู่กับการดูแลพ่อ คงไม่มีเวลามาเตรียมของพวกนี้หรอก
พระสงฆ์ห้ารูปเดินอุ้มบาตรเพื่อให้คนที่เตรียมของมาได้ใส่บาตร โดยจะเดินจากหัวแถวซึ่งเป็นบรรดาผู้บริหารและระดับหัวหน้าแผนกยืนอยู่ตรงนั้น ส่วนเด็กฝึกงานตัวเล็กๆ แบบกิ่งกมลก็ยืนปะปนไปกับพนักงานคนอื่นๆ ครั้นตักบาตรเช้าเสร็จก็เข้าไปนั่งฟังพระสวดในห้องอบรมใหญ่ หญิงสาวรู้สึกเหมือนมีใครกำลังมองตนอยู่ เธอพยายามหาที่มาของสายตานั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร
