Chapter 5 มืดแปดด้าน
งานทำบุญบริษัทผ่านไปได้ด้วยดีและเสร็จสิ้นภายในครึ่งวัน ช่วงบ่ายทุกคนกลับไปทำงานของตัวเองต่อ เสียงเรียกเข้าจากมือถือดึงความสนใจของกิ่งกมลออกจากงานตรงหน้า มือเรียวยกโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย ใบหน้าจิ้มลิ้มเคร่งเครียดขึ้นมาโดยพลันยามได้ฟังสิ่งที่ปลายสายพูดมา สมาธิในการทำงานของเธอถูกความกระวนกระวายใจตีเสียจนแตกกระเจิง เธอตอบกลับไปได้เพียงแค่คำว่า ‘ค่ะ’ เท่านั้น
“เป็นอะไรรึเปล่าน้องกิ่ง” แก้วตาถามยามเห็นใบหน้าซีดเซียวของอีกฝ่าย
“เปล่าค่ะ กิ่งไม่ได้เป็นอะไร” ตอบพลางยิ้มกลบเกลื่อน “กิ่งส่งงานเข้าอีเมลให้พี่ตาแล้วนะคะ”
“ขอบใจมากจ้ะ พี่ว่ากิ่งไปพักที่ห้องแคนทีนสักหน่อยดีไหม ดูหน้าซีดๆ ยังไงไม่รู้” ครั้นเห็นกิ่งกมลไม่ยอมทำตาม จึงเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง “ไปเถอะ งานวันนี้เสร็จแล้วนี่ พี่คมสันไม่ว่าอะไรหรอก”
“ค่ะ” รับคำเสียงแผ่ว
กิ่งกมลกำโทรศัพท์ไว้แน่นเดินไปยังบันไดหนีไฟอย่างไร้เรี่ยวแรง ทางโรงพยาบาลเพิ่งโทรมาบอกว่าหมอนัดวันผ่าตัดให้พ่อได้แล้ว และยังบอกให้เธอเข้าไปชำระเงินก่อนถึงวันนัดด้วย ซึ่งจำนวนเงินนั้นไม่ใช่น้อยๆ เลยทีเดียว อีกสามวันเท่านั้น เธอจะไปหาเงินที่ไหนได้ทัน นิ้วเรียวเลื่อนหารายชื่อที่บันทึกไว้ก่อนจะตัดสินใจกดโทรออก เสียงรอสายดังอยู่นานก็ไม่มีคนรับสาย จึงลองโทรอีกครั้งอย่างมีความหวัง
“สวัสดีค่ะลุงประสิทธิ์ นี่กิ่งลูกของพ่อกรนะคะ”
ปลายสายนิ่งเงียบไปเหมือนกำลังคิด “อ๋อ หนูกิ่งเองเหรอ โทรมามีธุระอะไรล่ะ”
น้ำเสียงที่ตอบกลับมาแฝงความหงุดหงิดเล็กน้อย ทว่ากิ่งกมลเลือกที่จะมองข้ามมันไป “กิ่งขอพูดตรงๆ เลยนะคะ ตอนนี้พ่อป่วยเป็นโรคมะเร็งและต้องผ่าตัดค่ะ กิ่งจึงอยากขอยืมเงินลุงสักหนึ่งแสนบาทจะได้ไหมคะ”
“ฉันไม่มีหรอก” เขาปฏิเสธทันที “พ่อเธอใกล้จะตายแล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน”
ความอดทนของกิ่งกมลขาดผึงลงทันใด ปกติเธอก็เกลียดผู้ชายคนนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่เพื่อพ่อจึงยอมบากหน้าโทรไปขอยืมเงินจากเขา “ไม่มีหรือไม่อยากให้กันแน่คะ” ตอนแรกว่าจะขอร้องเขาดีๆ แต่ดูเหมือนว่าคนคนนี้จะไม่รู้จักบุญคุณคนจริงๆ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็มีเงินตั้งมากมายแต่กลับไม่ยอมให้เธอยืม
“ลุงลืมไปแล้วเหรอคะว่าใครกันที่ใช้หนี้หลายสิบล้านให้ลุงจนหมด ในตอนที่ลุงตกต่ำใครกันที่ช่วยพยุงลุงให้ลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง นอกจากลุงจะทิ้งหนี้สินไว้ให้พ่อกิ่งแล้ว ลุงยังรวมหัวกับคนอื่นโกงเอากิจการของพ่อไปอีก ไม่ละอายใจกันบ้างเลยหรือไงคะ”
“ก็พ่อเธอมันโง่เอง ช่วยไม่ได้”
คำตอบนั้นยิ่งทำให้โทสะของกิ่งกมลสูงเพิ่มขึ้นไปอีก ดูท่าอย่างไรเขาคงไม่ยอมช่วยเหลือเธอแน่นอน ถ้าอย่างนั้นก็ขอถอนหงอกคนแก่สักหน่อยเถอะ “คุณนี่มันเป็นพวกเนรคุณคนของแท้จริงๆ เลย เพราะพ่อรักคุณเหมือนพี่ชายแท้ๆ เขาถึงอภัยให้คุณ แต่คุณกลับไม่เคยสำนึกในความผิดของตัวเองเลย งูพิษชัดๆ ”
ด่าคนจบก็กดวางสายใส่อีกฝ่ายทันที สมองเริ่มคิดหาว่าใครกันที่เธอพอจะขอยืมเงินได้บ้าง นิ้วเรียวเลื่อนหาเบอร์ของแม่ แล้วจึงกดโทรออก เสียงรอสายดังอยู่ไม่นานก็มีคนกดรับสาย
“ฮัลโหล ใครคะ” เสียงเด็กผู้หญิงที่ยังพูดไม่ชัดเท่าไหร่ถามมาเป็นภาษาอังกฤษ
กิ่งกมลนิ่งไปชั่วขณะ ไม่คิดว่าน้องสาวต่างพ่อจะเป็นคนรับสาย ครั้นตั้งสติได้จึงตอบกลับไปเป็นภาษาอังกฤษเหมือนกัน “ฮัลโหลอลิซ ฉันเป็นพี่สาวของเธอนะ ขอสายแม่หน่อย”
เสียงที่เด็กน้อยตะโกนเรียกแม่ของเธอดังเข้ามาให้กิ่งกมลได้ยิน จากเสียงเล็กๆ ก็เปลี่ยนเป็นเสียงของสตรีมีอายุที่เอ่ยด้วยภาษาไทย “ฮัลโหล”
“ฮัลโหล แม่คะ นี่กิ่งเองนะ” พยายามบังคับไม่ให้น้ำเสียงสั่น “แม่คะ กิ่งมีเรื่องอยากรบกวนค่ะ”
“กิ่ง ตอนนี้แม่ไม่ว่างนะลูก แดเนียลหกล้มจนต้องเข้าโรงพยาบาล แม่ต้องไปดูเขาก่อน เดี๋ยวแม่โทรกลับนะ”
“เดี๋ยวค่ะแม่... ” ยังพูดไม่ทันจบอีกฝ่ายก็วางสายไปเสียแล้ว กิ่งกมลทิ้งตัวลงนั่งยองๆ อย่างหมดแรง ที่พึ่งสุดท้ายของเธอหลุดลอยไปแล้ว ที่ว่าจะโทรกลับก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ หลายปีที่ผ่านมานี้ก็เป็นแบบนี้มาตลอด สามีใหม่ของแม่บาดเจ็บ แน่นอนว่าแม่ต้องห่วงทางนั้นมากกว่าคนที่ไม่ได้เจอกันมาห้าปีอย่างพวกเธออยู่แล้ว
กิ่งกมลปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมาอย่างไม่คิดจะอดกลั้นมันไว้อีกแล้ว รู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน แต่ก็จะท้อไม่ได้ อย่างไรเธอก็ไม่ยอมให้พ่อจากไปทั้งอย่างนี้แน่นอน เธอต้องหาทางช่วยเขาให้ได้ หญิงสาวยังคงจมอยู่กับความคิดของตัวเอง โดยไม่ได้รับรู้เลยว่าทุกคำพูดและการกระทำของเธอนั้นตกอยู่ในสายตาของคนคนหนึ่ง
ชายหนุ่มมองร่างอรชรที่นั่งยองๆ ซุกหน้าลงบนเข่าด้วยสายตายากจะคาดเดาความคิด แผ่นหลังบอบบางของเธอกำลังสั่นไหวเบาๆ คล้ายกับกำลังร้องไห้ เขาออกมาคุยโทรศัพท์สายสำคัญที่บันไดหนีไฟ ปกติแล้วห้องทำงานของเขาอยู่ชั้นเก้า แต่เพราะไม่อยากให้พนักงานในแผนกเดียวกันได้ยินจึงเดินลงมาหนึ่งชั้น ในขณะจะกลับขึ้นไปยังห้องทำงานของตัวเองนั้น พลันได้ยินเสียงคนเปิดประตูเข้ามา ด้วยความอยากรู้ว่าพนักงานคนไหนกันที่กล้าอู้งานแล้วหลบมาอยู่ที่นี่ จึงชะโงกหน้าลงไปดู กลับพบว่าเป็นนักศึกษาสาวหน้าตาน่ารักคนนั้น จากตอนแรกว่าจะกลับขึ้นไปบนชั้นเก้า เขาจึงทำตัวเสียมารยาทแอบฟังเธอคุยโทรศัพท์ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังร้อนเงิน หนำซ้ำยังหาทางแก้ปัญหายังไม่ได้อีกด้วย
ครั้นเห็นว่าตัวเองออกมาจากออฟฟิศนานเกินไปแล้ว กิ่งกมลจึงเช็ดน้ำตาออกจากแก้มและหางตา จากนั้นก็กลับออกไปจากบันไดหนีไฟ เธอเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำก่อนจะกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตนตามเดิม
“น้องกิ่ง พรุ่งนี้ไม่ต้องเข้าบริษัทนะ ไปเจอกันที่บูธเลย พี่บอกพี่คมสันให้แล้วว่าจะพากิ่งไปทำงานข้างนอกด้วยกัน ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าเดินทาง เดี๋ยวพี่ทำเรื่องเบิกให้” แก้วตาบอก
“ค่ะ” รับคำเสียงแผ่ว
แก้วตามองอาการหมดเรี่ยวหมดแรงของอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง ดวงตาที่แดงนิดๆ นั่นคงไปร้องไห้มาแน่ๆ “น้องกิ่ง หากมีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ขอบคุณค่ะพี่ตา” กล่าวพร้อมยิ้มขอบคุณ ฉับพลันคำพูดล้อเล่นที่เคยคุยกันเมื่อวานแวบเข้ามาในหัว แต่แค่แป๊บเดียวเธอก็ปัดมันทิ้งไป
หลังจากเลิกงานกิ่งกมลก็ตรงไปยังโรงพยาบาล เมื่อมาถึงจุดหมายแรกที่หญิงสาวไปคือฝ่ายการเงิน เธอไปขอผ่อนจ่ายค่ารักษาพยาบาลของพ่อเป็นงวดๆ ซึ่งทางโรงพยาบาลก็ยอมให้ผ่อนจ่ายได้ ทว่ายังต้องจ่ายค่าผ่าตัดครึ่งหนึ่งก่อนจะถึงวันนัดอยู่ดี แม้จำนวนเงินจะไม่เยอะเท่าจ่ายเต็ม แต่ก็ยังมากเกินไปสำหรับเธออยู่ดี
กรวิทย์มองลูกสาวที่กำลังก้มหน้าก้มตาตั้งใจแกะส้มให้ตนด้วยใจที่ปวดร้าว เขาเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ หลายปีมานี้ปล่อยให้ลูกต้องลำบากหาเงินมาช่วยจุนเจือครอบครัว เงินเดือนพ่อครัวร้านอาหารเล็กๆ ของเขาก็พอสำหรับแค่ค่าเช่าบ้านและค่ากินอยู่ในแต่ละวันเท่านั้น ส่วนค่าใช้จ่ายในการเล่าเรียนของลูกนั้น เขาไม่สามารถช่วยอะไรเธอได้เลย เธอสมควรที่จะได้มีชีวิตเหมือนวัยรุ่นทั่วไป ไม่ใช่ต้องมาทำงานงกๆ อย่างทุกวันนี้ หากตอนนั้นเขาไม่โง่แล้วฟังคำทัดทานของภรรยาบ้าง ตอนนี้ก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพแบบนี้
“กิ่ง เหนื่อยไหมลูก”
น้ำเสียงสั่นเครือของพ่อส่งผลให้กิ่งกมลหันมองเขาทันที เธอยิ้มกว้างจนตาหยี ตอบเสียงอ่อนหวานว่า “ไม่เหนื่อยค่ะ”
“พ่อขอโทษ”
“จะขอโทษทำไมคะ เรื่องเจ็บป่วยไม่มีใครห้ามได้เสียหน่อย” เธอพยายามยิ้มแย้ม ไม่อยากให้พ่อเห็นด้านอ่อนแอ
กรวิทย์น้ำตาซึม เขารู้ว่าเธอเหนื่อยมากเพียงใด ตอนนี้เธอก็กำลังฝืนตัวเองอยู่ โรคที่เขาเป็นค่ารักษาไม่ใช่น้อยๆ เขาไม่อยากเป็นภาระให้เธออีกแล้ว ยิ่งนอนโรงพยาบาลนานค่ารักษาก็เพิ่มขึ้นทุกวัน เขาไม่อยากเห็นลูกสาวทำงานสายตัวแทบขาดเพื่อหาเงินมารักษาพ่อพิการที่เอาแต่สร้างความลำบากให้ลูกหรอก “กิ่ง เรากลับบ้านกันนะ พ่อบอกหมอไปแล้วว่าจะไม่ผ่าตัด พรุ่งนี้ไปขอให้หมอทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลให้กันนะ ยังไงพ่อก็ต้องตายอยู่แล้ว พ่อไม่อยากให้ลูกต้องลำบากอีกแล้ว”
น้ำตาเม็ดโตไหลอาบแก้ม กิ่งกมลผวาเข้าไปจับมือสากของพ่อไว้ แล้วยกขึ้นมาแนบแก้ม “อย่าพูดแบบนี้นะคะ กิ่งไม่เคยคิดว่าการดูแลพ่อเป็นเรื่องลำบากเลยสักนิด พ่ออย่าพูดว่าตัวเองจะตายสิ พ่อต้องอยู่กับกิ่งไปอีกนาน พ่อไม่อยากเห็นกิ่งสวมชุดครุยเหรอคะ ไหนพ่อว่าจะอยู่จนเป็นคุณตายังไงล่ะ พ่อต้องรักษาคำพูดนะคะ”
กรวิทย์กลืนก้อนสะอื้นลงคอ มือหนาลูบแก้มเช็ดน้ำตาให้ลูกสาวแผ่วเบา “แต่เราไม่มีเงินนะลูก พ่อไม่อยากให้กิ่งไปกู้หนี้ยืมสินใครมารักษาพ่อหรอกนะ พ่อคงตายตาไม่หลับหากต้องทิ้งหนี้ก้อนโตไว้ให้ลูก พ่อรู้สภาพร่างกายของตัวเองดี”
“หมอบอกว่าพ่อจะไม่เป็นอะไรค่ะ กิ่งเชื่อหมอ หมอที่นี่เขาเก่ง ต้องรักษาพ่อให้หายขาดแน่นอน แค่พ่อเชื่อมั่นและมีใจจะสู้ก็พอ” เธอมองบิดาด้วยสายตาเว้าวอน “นะคะพ่อ ทำเพื่อกิ่งได้ไหม พ่ออย่าคิดว่าตัวเองจะตาย พ่อต้องคิดว่าต้องอยู่กับกิ่งไปอีกนานสิคะ”
กรวิทย์มีสีหน้าเจ็บปวด ในอกปวดแปลบขึ้นมา ตอนนั้นเขาน่าจะส่งเธอไปอังกฤษกับแม่ของเธอ หากเป็นแบบนั้นแล้วเด็กน้อยของเขาคงไม่ต้องเป็นทุกข์อย่างเช่นทุกวันนี้
