บท
ตั้งค่า

บทที่ 3

เมื่อเดินอย่างระโหยโรยแรงกลับไปยังตัวบ้านก็ซุกตัวอยู่บนเก้าอี้ยาว มีผ้าขนหนูผืนใหญ่คลุมกายไว้ด้วยรู้สึกหนาวเย็นจนร่างกายสั่นสะท้าน มองเห็นถ้วยกาแฟที่มีควันลอยกรุ่นขึ้น แต่เธอไม่สนใจ เอื้อมมือไปหยิบซองบุหรี่ที่วางอยู่ใกล้ขึ้นมา สงสัยอยู่ในใจว่าแอ๊ดดี้ไปเจอมันเข้าอย่างไร หลายวันที่ผ่านมาเธออยากสูบบุหรี่อย่างที่สุดเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด แต่อ่อนใจเกินกว่าจะขับรถเข้าไปหาซื้อ หรือค้นหาดูให้ทั่วบ้านเพื่อจะเจอบ้าง

เธอรู้ว่าการสูบบุหรี่ไม่ใช่สิ่งดีต่อสุขภาพ แต่กระนั้นก็ยังหยิบมันขึ้นมาอัดควันลึกเข้าไปในปอด สลับกับการจิบกาแฟไปพลาง

“ถึงยังไงชีวิตมันก็ยังต้องดําเนินต่อไป” เธอบอกกับตัวเองเมื่อยกกระเป๋าหนังใบนั้นขึ้นมา มันเป็นกระเป๋าของมารดา ซึ่งภายในบรรจุไว้ด้วยภาพสเก็ตช์มากมาย นอกจากนั้นก็ยังมีตัวอย่างสี กรรมวิธีในการย้อมสีให้ผ้าออกมาสดสวยเหมือนสีรุ้ง อันเป็นวิธีการที่บิลลี่ค้นพบด้วยตัวเอง ไม่มีที่ไหนในโลกจะทําได้เช่นบิลลี่อีกแล้ว

เธอเอาซองบุหรี่กับไล้ท์เตอร์ยัดเข้าไว้ในอกเสื้อชุดว่ายน้ำหิ้วกระเป๋าใบนั้นเดินไปยังใต้ร่มมังคิพอด วางกระเป๋าลงและเปิดมันขึ้น

แม็กกี้ศึกษาสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในกระเป๋าหนังใบนั้นอย่างตั้งใจ ขณะเดียวกันก็จดบันทึกต่าง ๆ ลงไว้ ซึ่งก็รวมทั้งวิธีการเทียบสี หลังจากนั้นก็ตั้งคำถามที่สงสัยขึ้นและเขียนไว้ด้วยเช่นกัน นาน ๆ ครั้ง เธอจะเงยหน้าขึ้น แสร้งทำราวกับว่ากําลังเผชิญหน้าอยู่กับลูกค้าคนสําคัญของมารดาที่มานั่งรวมตัวกันอยู่ตรงหน้า

“สวัสดีค่ะ ท่านสุภาพบุรุษ ตอนนี้สํานักงานของบริษัทบิลลี่ ลิมิเต็ด ย้ายมาอยู่ใต้ต้นมังคิพอดแล้วนะคะ”

มันมีความตื่นเต้นเกิดขึ้นกับเธอในยามนี้อย่างมากมาย ความรู้สึกดังกล่าวกําลังแผ่ซ่านไปทั่วเรือนร่างจนสามารถสัมผัสได้ มันเป็นสัญญาณที่ดีเหลือเกิน เธอเหม่อมองดวงอาทิตย์ที่กําลังลดต่ำลง

“ถ้าฉันสามารถหาสีที่เข้ากับ...กับอะไรล่ะ ... ฉันอยากจะได้สีของแสงอาทิตย์เหนือซันบริดจ์เหลือเกิน...” เธอกําหนดไว้ในใจว่า จะต้องลองผสมสีขึ้นมาใหม่ด้วยตนเอง และการจะทําอย่างนั้นได้ ย่อมต้องการพื้นที่สําหรับการทํางานเพิ่มขึ้น

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป บริษัทบิลลี่ ลิมิเต็ด ของฉันจะต้องย้ายไปเปิดกิจการในสถานที่แห่งใหม่คือโรงรถเสียแล้ว”

นั่นคือการตัดสินใจ เธอได้ตัดสินใจแล้วด้วยการเอ่ยออกมาดัง ๆ ด้วยความเชื่อที่ว่า

“เมื่อคุณเอ่ยถึงความตั้งใจของตัวเองออกมาดัง ๆ นั่นคือการให้สัญญาต่อตัวเองอย่างแท้จริง ตอนนี้ที่ฉันต้องการก็แค่เก้าอี้หนึ่งตัวกับโต๊ะสองตัวที่เอามาต่อกันเข้าเท่านั้น”

“มิสแม็กกี้คะ อาหารเสร็จแล้วค่ะ” แอ๊ดดี้ร้องเรียกมาจากห้องระเบียง

แม็กกี้กวาดสายตามองไปโดยรอบ รู้สึกตกใจและแปลกใจไม่น้อยที่เห็นดวงอาทิตย์กําลังจะลับฟ้าแล้ว

“วันนี้เป็นอาหารง่าย ๆ นะคะมิสแม็กกี้ แค่พายไก่เท่านั้น แต่ฉันทําแป้งเองค่ะ แล้วก็ทําเพื่อไว้ให้คุณทานวันพรุ่งนี้ด้วย ของหวานก็มีบานาน่า ครีม ที่ฉันรู้ว่าคุณชอบค่ะ”

“ขอบใจมากแอ๊ดดี้” แม็กกี้ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะ “หน้าตาน่ากินดีจัง เออ...บอกหน่อยสิว่าเธอไปเจอบุหรี่พวกนั้นเข้าที่ไหนน่ะ”

แอ๊ดดี้เดินไปเปิดลิ้นชักโต๊ะในครัว ชี้ให้นายสาวดู พร้อมกับกระเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจถ้าแม็กกี้จะสูบทั้งหมดที่มีอยู่ในนั้น และยังชี้นิ้วไปที่แก้วนมที่วางอยู่ข้างจานอาหารของแม็กกี้อีกด้วย เมื่อนายสาวยกแก้วขึ้นดื่มเอาใจ สีหน้าของแอ๊ดดี้ก็บอกความปลาบปลื้มไม่น้อย

“พรุ่งนี้ฉันจะมาซักผ้าให้นะคะ ห้องทํางานคงจะเสร็จตอนกลางวัน แล้วเรื่องเตียงนอนคุณจะเอายังไงล่ะคะ”

“ฉันว่าจะเข้าไปซื้อใหม่สักเตียงหนึ่งนะ จะไปหาซื้อโต๊ะพับสําหรับทํางานด้วย วันนี้เธอคงเหนื่อยมากแล้วละ ไปเถอะ เดี๋ยวฉันเก็บล้างเองได้ ขอบใจมากนะแอ๊ดดี้”

เมื่อรับประทานอาหารค่ำเสร็จสิ้นลง มันก็เหลือช่วงเวลาตอนกลางคืนอันยาวนานที่รออยู่ เธอชิงชังช่วงเวลานี้ของวันอย่างที่สุด มีความรู้สึกอ่อนไหวเกิดขึ้นในใจ เมื่อความมืดเริ่มโรยตัวลง และแสงสว่างที่เกิดตามมาก็เป็นแสงเทียมที่มนุษย์สร้างขึ้นแทนแสงแห่งธรรมชาติ

คําถามหนึ่ง ที่เธอแน่ใจว่ามันจะต้องติดตามหลอกหลอนไปชั่วชีวิตก็คือ...เธอเข้าใจผิดไปหรือเปล่า...อย่าสิ...อย่าคิดถึงแรนด์...เขาไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีกต่อไปแล้ว...

ความรู้นั้น สร้างความรานร้าวให้เกิดขึ้นในใจอย่างเหลือประมาณ และหยาดน้ำตาก็รินหลั่งลง เธอยกหลังมือขึ้นปาดมันออกอย่างขุ่นเคือง บอกตัวเองว่าเธอจะต้องไม่ร้องให้อีกต่อไป

เธอจะร้องได้อย่างไรเล่า ในเมื่อชีวิตจิตใจได้ตายด้านไปหมดสิ้นแล้ว...เธออาจจะเข้าใจผิดก็ได้นะ...วาเลนไทน์ยังยืนยันเลยว่าเธอเข้าใจผิด เธอประณามและตัดสินผู้ชายคนที่เธอรักโดยยึดเอาอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่ยอมรับฟังเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น...และเมื่อมาถึงวันนี้เขาก็ได้ตายไปแล้ว...

เธอเข้าใจผิดมาโดยตลอด วาเลนไทน์ก็ยืนยัน แรนด์ก็ปฏิเสธ...แรนด์บอกว่า...ฉันไม่แคร์หรอกว่าเขาจะบอกว่ายังไง ฉันรู้แต่เพียงว่าเขาโกหก และวาเลนไทน์ก็โกหก

เอาละ เวลาที่เหลือจากนี้ฉันจะทําอะไรดีล่ะ ปกติหลังจากรับประทานอาหารแล้วเธอทําอะไรบ้าง ลงไปเดินเล่นบนชายหาดกับแรนด์ เดินจูงมือกันไปเรื่อย ๆ และเมื่อเกิดอารมณ์พิศวาสขึ้นมาก็จะร่วมรักกันบนชายหาดนั่นเอง เมื่อกลับเข้ามาในบ้าน ถ้าไม่เล่นสแคร็บเบิ้ล ก็ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ แต่บัดนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันได้กลายเป็นอดีตไปหมดแล้ว...

แม็กกี้หันไปกระชากลิ้นชักโต๊ะในครัว หยิบบุหรี่ออกมาจากในนั้นทั้งห่อ กวาดสายตามองหาถ้วยกระเบื้องเคลือบที่มีข้อความ “แม็กกี้” เขียนไว้ด้านข้างเห็นว่ายังแช่อยู่ในอ่างที่น้ำค่อนข้างร้อนจัด จึงเปิดตู้เพื่อหาถ้วยใบใหม่ และพบถ้วยใบที่มีชื่อ “แรนด์” เขียนอยู่ด้านข้าง เธอคว้ามันขึ้นมาแล้วก็เหวี่ยงออกไปทางหน้าต่างครัวเป็นระบายความแค้น เสียงแตกเปรื่องดังสนั่นอยู่ในท่ามกลางความเงียบ อีกครั้งหนึ่งที่เธอผวาวิ่งลงไปยังหาดทราย

เธอเองก็ไม่ได้วิเศษมาจากไหนนี่แม็กกี้ ยอมรับเสียทีสิว่าเธอเข้าใจผิด มองหน้าตัวเองในกระจกเงาสิ แล้วก็ยอมรับผิดออกมาดัง ๆ...

“แต่ฉันเห็นความผิดที่มันตราอยู่บนใบหน้าเขานี่ ” แม็กกี้เถียงตัวเองออกมาดัง ๆ “และฉันก็ยังได้ยินเสียงที่เขากรอกเข้ามาในหูด้วย มันโกหกกันชัด ๆ ฉันไม่มีวันเข้าใจผิดในเรื่องแบบนี้หรอก”

แม็กกี้เซซังอยู่บนชายหาด พยายามที่จะไม่หลั่งน้ำตาแห่งความแค้นใจออกมา แม้ขอบตาจะลวกร้อนอยู่

“ฉันรู้...ฉันต้องรู้...นั่นแหละความจริงละ” จะมีก็แต่เกลียวคลื่นเท่านั้นที่ได้ยินเสียงกู่ตะโกนของเธอ

เธอเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนเหนื่อยอ่อน จึงได้หันหลังวิ่งกลับไปยังที่ตั้งของตัวบ้านในสภาพที่ล้มลุกคลุกคลาน ตอนที่กระแทกตัวลงในเก้าอี้นอนนั้น เธอหอบจนตัวโยน

“ฉันรู้...รู้ว่าตัวเองไม่มีวันเข้าใจผิด โอ...มัมขา...หนูอยากพบมัมเหลือเกิน...”

เมื่อลมหายใจเข้าสู่ระดับปกติแล้วเธอจึงได้เอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มือถือด้วยมืออันสั่นเทา รู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกันที่น้ำเสียงของตนเองเป็นปกติดีเมื่อธัดมารับสาย เกือบจะปิดสวิทช์ตัดการติดต่อเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนครึ่งในเวอร์มอนท์ ซึ่งทำให้เธอต้องรีบกล่าวคําขอภัยออกไปทันที

“ต้องขอโทษอย่างมากเลยละคะธัด ลืมนึกไปว่าเวลามันแตกต่างกันมาก มัมคงนอนแล้วละมังคะ”

“ไม่เป็นไรหรอกแม็กกี้ แต่แม่คุณหลับไปนานแล้ว แล้วผมจะบอกให้นะว่าคุณโทรมา แต่ต้องรอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าก่อน คุณเป็นยังไงมั่งล่ะ” คําถามของบิดาเลี้ยงนั้นเป็นไปตามมรรยาท แม็กกี้รู้ดีว่าเขาไม่แคร์เลยว่าเธอจะสุขสบายดีหรือไม่

“ก็สบายดีค่ะ เอ้อ...ธัดคะ ไม่ต้องบอกมัมก็ได้ค่ะว่าฉันโทรมา ฉันทราบดีว่ามันไม่ต้องการให้ใครรบกวน...โดยเฉพาะตอนนี้ ฝากแม่ด้วยนะธัด” แม็กกี้พูดเสียงเบา

“ไม่ต้องห่วงหรอกนะแม็กกี้ ดูแลตัวเองให้ดีล่ะ”

ซอว์เยอร์เป็นรายต่อไปที่จะโทรศัพท์ไปหา อดัมเป็นคนรับสายด้วยเสียงที่งัวเงียเต็มที

“แม็กกี้ เกิดอะไรขึ้นหรือนี่”

“ไม่มีอะไรหรอก ฉันเพียงแต่อยากได้ยินเสียงซอว์เยอร์หน่อยเท่านั้น ก็รู้อยู่หรอกนะว่ามันดึกแล้ว”

“ตอนนี้หลับสนิทเลยละครับ แฝดเกิดเป็นหัดด้วยกันทั้งคู่ เราไม่ได้หลับนอนกันมาสามวันสามคืนแล้วนะครับแม็กกี้ ให้ซอว์เยอร์โทรศัพท์กลับไปหาพรุ่งนี้เช้าดีไหมครับ”

“ไม่ต้องหรอกอดัม เอาไว้แล้วฉันจะโทรมาใหม่ก็แล้วกัน ให้แฝดกินข้าวโอ๊ตเปียกนะจะได้ไม่คัน กู๊ดไน้ท์นะอดัม”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel