
บทย่อ
ไม่มีอะไรจะสามารถเยียวยาจิตใจที่แห้งแล้งแตกสลายได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมวันนึงตะวันที่เคยมืดบอดกลับส่องสว่างในจิตใจนี้ (เล่มจบ)
บทที่ 1
เธอวิ่งกลับขึ้นไปยังห้องนอนของลูกชาย มีความรู้สึกอยู่ว่า เฉพาะห้องของมอสส์น้อยเท่านั้นที่ดูจะสงบสุขที่สุด เฉพาะห้องที่ตกแต่งด้วยสีสันสวยงามแห่งนี้เท่านั้นที่มีบรรยากาศของความสันติสุข
เธอวิ่งไปที่ตะกร้าผ้าอ้อม ใต้กองผ้านั้นเธอได้ซ่อนวิดีโอเทปที่บิลลี่มอบให้ไว้ กลัวเหลือเกินว่าไรเล่ย์จะมาพบเข้า เพราะเขาเป็นคนที่ชอบรื้อชอบค้นสมบัติของลูกอยู่ตลอดเวลา และออกจะโล่งใจไม่น้อยที่เห็นเทปม้วนนั้นยังอยู่ดีไม่มีร่องรอยว่าไรเล่ย์จะแตะต้องเลย
“อ้อ...อยู่นี่เอง” เสียงทักทายของซูซานดังขึ้นตรงประตูห้อง ไอวี่รีบปิดฝาตะกร้าผ้าอ้อมลง สีหน้าบอกความละอายใจไม่น้อย
“ตายจริง ฉันตกใจไปหมดเลยค่ะซูซาน”
“เสียใจด้วยนะ” แต่น้ำเสียงป้าของไรเล่ย์ไม่ได้บอกความเสียใจเลยแม้แต่น้อย
“ฉันขึ้นมาดูมอสส์น่ะค่ะ” ไอวี่พูดเสียงเบาจนกระทั่งเมื่อออกมาถึงห้องโถงทางเดินภายนอกและปิดประตูสนิทลงแล้ว จึงได้รอรับฟังสิ่งที่ซูซานจะพูดต่อไป
“ฉันรู้ว่าแม็กกี้กลับไปแล้ว ก็ดีแล้วละ” ซูซานพูดราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของแม็กกี้ มิได้มีความสำคัญเลยแม้แต่น้อย และไม่สนใจว่ามันเกิดขึ้นเพราะเหตุใดด้วย “ที่ฉันขึ้นมานี่ก็เพื่อจะบอกให้เธอรับรู้ไว้ว่าฉันกําลังจะพาแครี่กลับแล้ว เรื่องทั้งหมดที่มันเกิดขึ้นนี้ทําให้เขาไม่สบายใจมากทีเดียว รู้สึกว่าที่นี่มันไม่ใช่บ้านที่น่าอยู่อีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องร้าย ๆ อะไรก็ดูเหมือนจะเกิดขึ้นที่นี้ทั้งนั้น แต่นั่นแหละนะ ถึงยังไงซันบริดจ์มันก็ไม่เคยเป็นบ้านที่สงบสุขอยู่แล้วละ”
“ที่จริงป้าไม่ควรพูดแบบนี้เลยนะคะซูซาน บ้านมันไม่ได้รับรู้หรือสร้างความไม่สบายใจให้เกิดขึ้นกับใครได้หรอกค่ะ คนที่อยู่ในบ้านต่างหากล่ะคะที่ทําให้มันเป็นอย่างนี้”
“แม็กกี้น่ะไม่เคยมีความสุขที่นี่เลยนะ โคลเองก็เหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อเขายกครึ่งหนึ่งของที่นี่ให้กับไรเล่ย์ไป มัมเองก็ไม่เคยมีความสุขที่นี่ เขาเป็นคนเล่าให้ฉันฟังเอง คุณตาเซธก็เป็นคนไล่บเอมิเลียออกจากบ้านนี้ เพราะฉะนั้นป้าเอมิเลียถึงได้เกลียดซันบริดจ์จนถึงวันตายไงล่ะ” ซูซานตอกย้ำต่อไปเรื่อย ๆ
“มัมน่ะเคยเล่าให้ฉันฟังด้วยตัวเองเชียวนะ ว่าคุณยายเจสสิก้ามีความทุกข์อย่างที่สุดเมื่อต้องมาอยู่ที่ซันบริดจ์ แล้วตอนนี้มันจะเหลือใครอีกล่ะที่มีความสุขอยู่ในบ้านหลังนี้ นอกจากไรเล่ย์กับเธอ...
“ถ้าจะพูดกันตามความจริงแล้ว คนที่น่าจะมีความสุขที่สุดก็คือคุณตาของฉันเองที่เป็นคนสร้างบ้านหลังนี้ขึ้น แล้วก็ท่านนั่นแหละที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้อย่างแท้จริง แต่จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยมีใครรู้เรื่องจริง ว่าเพราะอะไรท่านถึงได้ทิ้งบ้านหลังนี้ไป...
“เพราะฉะนั้น ก็เห็นจะมีแต่เธอกับไรเล่ย์เท่านั้นละ ที่อวดอ้างว่ามีความสุขอยู่ในบ้านหลังนี้ เอาละ ที่ฉันขึ้นมานี่ก็เพื่อจะบอกให้เธอรู้เท่านั้นละ ว่าเรากําลังจะไปกันแล้ว อาหารกลางวันอร่อยมากไอวี่”
ขณะที่ซูซานเดินลงบันไดไปชั้นล่างนั้น ไอวี่ยืนอยู่ตรงหัวบันได มองไปยังห้องโถงเบื้องล่าง
ครอบครัวของไรเล่ย์ ซึ่งบัดนี้ได้กลายมาเป็นครอบครัวของเธอแล้วทําให้เธอรันทดท้อใจอย่างที่สุด ไหล่ทั้งสองข้างหลุบลง แต่ทันทีที่เห็นไรเล่ย์ส่งยิ้มขึ้นมาให้ เธอก็ยืดไหล่ขึ้นและยิ้มตอบเขาด้วยความอบอุ่นใจขึ้น
บ่ายสี่โมงเย็น ซอว์เยอร์กับอดัม สามีภรรยาคู่สุดท้ายได้กล่าวคำร่ำลา เพราะถึงเวลาที่จะต้องไปขึ้นเครื่องบินแล้วเช่นกัน
“พักหลัง ๆ นี่รู้สึกว่าเราต้องกล่าวลากันหลายหนเหลือเกิน” ซอว์เยอร์พูดเสียงเศร้า
“ใช่ค่ะ คำลาไม่ใช่สิ่งที่จะกล่าวออกมาได้ง่าย ๆ เลย” ไอวี่ตอบเรียบ ๆ
“ป้าแม็กกี้เป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบคํานี้อย่างที่สุด และพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยออกมาด้วย” ไรเล่ย์พูดอย่างตั้งข้อสังเกต “ปกติป้าจะใช้คําพูดว่า...ไปก่อนนะ แล้วค่อยพบกันใหม่หรืออะไรทํานองนั้น แต่ไม่เคยใช้คําว่า...ลาก่อน...ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทําไมถึงเป็นอย่างนั้น”
“ถึงเวลานี้มันไม่สําคัญอีกต่อไปแล้วละไรเล่ย์” ซอว์เยอร์พูดอย่างอ่อนโยน “เธอก็น่าจะรู้ว่าแม่น่ะเป็นคนใจแข็ง ย่อมสามารถทําใจให้ยอมรับกับเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ง่าย เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เธอจําไม่ได้หรือ”
“ใช่ ป้าแม็กกี้เป็นคนใจแข็งอย่างที่ผมเองต้องยอมนับถือ เห็นโคลบอกว่าจะพาซูมิกับลูกไปเยี่ยมทันทีที่หมออนุญาตให้ลูกของเขาบินไปได้ ป้าแม็กกี้คงดีใจมาก”
“ต้องดีใจแน่ละ” ซอว์เยอร์พูดปนหัวเราะ “เออ...เชสเน่ย์เองก็อยู่เดี๋ยวเดียวเท่านั้นนะ แทบจะไม่ได้ทักทายอะไรฉันเสียด้วยซ้ำ รู้สึกว่าออกจะแปลก ๆ อยู่เหมือนกัน”
“รู้สึกว่าทําตัวห่างเหินเหมือนคนแปลกหน้าด้วยค่ะ” ไอวี่เสริมขึ้น “ที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือนัดหมายกับวาเลนไทน์เรื่องเปิดพินัยกรรมของแรนด์ ซึ่งทําอย่างเร็วเกินไป รู้สึกว่าฉันไม่ได้เห็นน้ำตาเชสเน่ย์เลยนะคะ โดยเฉพาะตอนทําพิธีไว้อาลัยนั่นนะ”
“เออ...ฉันก็ไม่ทันมองเสียด้วยสิ” ซอว์เยอร์พูดเสียงเบา
“ก็คงจะยังไม่หายตกใจ ซึ่งก็เหมือนเราทุกคนนั่นแหละ” ไรเล่ย์ว่า
“นี่...โตเสียทีเถอะน่าไรเล่ย์” ซอว์เยอร์พูดอย่างหงุดหงิดใจ “หลายเดือนมาแล้วนะ ที่แม็กกี้เคยเล่าให้ฉันฟัง ว่าเชสเน่ย์ไม่เคยยอมมาอยู่ร่วมบ้านด้วย ความสัมพันธ์ฉันพ่อลูกที่แรนด์หวังจะได้เห็นน่ะมันเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานมั่นคงอะไรเลย...
“แม็กกี้เล่าให้ฉันฟัง ว่าเชสเน่ย์ปฏิบัติต่อเขาต่อพ่อของตัวเองอย่างสุภาพเกินไป และจริง ๆ แล้วแทบไม่ได้แสดงความยินดียินร้ายอะไรเลยด้วยซ้ำ...” ซอว์เยอร์เล่าต่อไปเรื่อย ๆ
“มีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่แม็กกี้เองก็พลอยดีอกดีใจ คิดว่าตัวเองจะมีลูกสาวอีกสักคน แต่ในที่สุดก็ได้แค่คิดเท่านั้น และเมื่อมาถึงวันนี้ เชสเน่ย์ก็เป็นมหาเศรษฐีไปแล้วละ เพราะได้ส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งของมรดกทั้งหมด และเป็นทุกอย่างที่เลือกแล้วด้วย”
ไรเล่ย์อดยิ้มไม่ได้ เขาจะนึกขำเสมอเวลาที่ซอว์เยอร์พูดจาด้วยแรงอารมณ์
“แต่ก็ยังมีข้อยกเว้นสําหรับเรื่องนี้นะ ก็เรื่องบ้านในฮาวายนั่นไงล่ะ” ไรเล่ย์ว่า “วาลเป็นคนเล่าให้ผมเอง ว่าแรนด์ได้ระบุไว้ในพินัยกรรมเลย ว่าบ้านหลังนั้นเป็นของแม็กกี้ เพราะป้ารักบ้านหลังนั้นมาก ผมเดาเอาว่าป้าแม็กกี้เองจะต้องรู้เรื่องนี้ แต่แรนด์ก็คงจะไม่บอกด้วยตัวเองหรอก เพราะมันไม่ใช่นิสัยของเขา”
“ก็ยังดี ที่อย่างน้อยเขาก็ยังเหลือสมบัติอะไรไว้ให้แม็กกี้บ้าง” ซอว์เยอร์หันไปทางไอวี่ “ไอวี่ ฉันต้องขอบใจอย่างมากเลยนะที่ต้อนรับเราอย่างดีทุกอย่าง” เธอเดินเข้าไปกอดน้องสะใภ้ไว้ “ไรเล่ย์ ดูแลทุกสิ่งทุกอย่างให้ดีนะ แล้วก็อย่าให้ซูซานเข้ามารังควานให้มันมากเกินไปนักล่ะ สําหรับเรื่องการสร้างเครื่องบินลําใหม่จะเริ่มลงมืออีกสองอาทิตย์ข้างหน้านี้ แครี่เขาให้คํารับรองฉันเกี่ยวกับเรื่องเงินมาแล้วว่าจะได้ในอีกไม่กี่วันนี่แหละ เขาคงจะรู้จักคนที่มีอิทธิพลทางด้านการเงินหลายคนเลยนะ” หางเสียงของซอว์เยอร์มีนัยแห่งความหมายแฝงเร้นอยู่
“เยี่ยมไปเลยซอว์เยอร์” ไรเล่ย์ทําสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “แครี่เองก็เศรษฐีเงินล้านอยู่แล้วนี่ ผมดีใจจริง ๆ นะที่เขาเป็นคนที่จะทําให้เครื่องบินลํานั้นมันลอยลําขึ้นมาได้ โคลเองก็มีความรู้สึกแบบเดียวกับผมนี่แหละ คุณทําได้สําเร็จจริง ๆ แม่เฒ่า”
“คิดว่าฉันจะทําไม่สําเร็จใช่ไหมล่ะ” ซอว์เยอร์ยังคงพูดเป็นนัย
หลังจากนั้นก็มีการกอดจูบร่ำลากันอีกรอบ ไรเล่ย์กับไอวี่ยืนส่งจนรถเช่าคันนั้นหายลับไปจากสายตา
ทันทีที่ไรเล่ย์ปิดประตูบ้านลง ไอวี่ก็เอ่ยขึ้นว่า
“วันนี้เป็นวันที่เหนื่อยใจอย่างที่สุด ฉันอยากจะขดตัวอยู่ตรงมุมไหนสักมุมหนึ่งแล้ว ก็แสร้งทําเป็นว่ามันไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ ฉันเสียใจแทนแม็กกี้เหลือเกินค่ะไรเล่ย์ แล้วก็หมั่นไส้ซูซานอย่างมากที่พูดจาโดยไม่ดูกาลเทศะ คุณว่าฉันแย่มากไหมคะ”
“แต่ทุกอย่างที่คุณพูดออกมาก็เพราะความห่วงใย อยากเห็นทุกคนมีความสุขนั่นเองที่รัก ผมว่าเราขึ้นไปดูมอสส์กันก่อน แล้วก็ออกไปหาอะไร ๆ ที่มันอร่อยกินกันดีกว่า ผมอยากจะดื่มมิแลนต้าสักคว้อตด้วยซ้ำ”
“งั้นเราเอามอสส์ไปด้วยสิคะ” ไอวี่ว่า
“ก็ได้นี่”
“แค่เราสามคนน่ะหรือคะ” ดวงตาของไอวี่เป็นประกายขึ้นมาทันที
“แน่นอน”
“ตกลงเลยค่ะ ฉันจะขึ้นไปอุ้มมอสส์ลงมา”
“ไอวี่...”
“คะ...”
“ผมรักคุณ”
“ไม่มากเท่าที่ฉันรักคุณหรอกค่ะ”
“รู้สึกว่าผมไม่เคยชนะคุณเรื่องนี้เลยใช่ไหม”
“ไม่มีวันหรอกค่ะ”
