บทที่ 2
สายตาของแม็กกี้จรดจ้องอยู่กับดวงอาทิตย์ที่กําลังเคลื่อนขึ้นสู่ขอบฟ้า ในยามที่ดวงอาทิตย์ขึ้นหรือตก ควรจะมีใครสักคนได้ชื่นชมกับความงามที่ธรรมชาติมอบให้ด้วย มันมีเสียงแผ่วเบาที่หลุดลอดออกมาจากลําคอ เนื้อตัวสั่นระริก ความเย็นเยือกจากเท้าแขนเก้าอี้ที่เป็นโลหะเสียดแทรกเข้าไปในร่างกาย ทําให้เธอต้องดึงผ้าขนหนูผืนใหญ่โอบกายให้แน่นกระชับขึ้น
ในยามนี้แม็กกี้กําลังบอกตัวเองอยู่ว่า เธอจะต้องปรับจิตใจให้เข้มแข็งเข้าไว้ เพื่อต้อนรับวันใหม่ที่กําลังจะมาถึง ควรจะต้มกาแฟแล้วก็กินอาหารเสียบ้าง ถ้าจะให้ดีควรจะต้องกินวิตามินบํารุงร่างกายตามเข้าไปด้วย
มันมีอะไรหลายสิ่งที่เธอจะต้องทํา และดูเหมือนรายการต่าง ๆ เหล่านั้นก็ดูจะเพิ่มความยาวขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งนี้เพราะตลอดเวลาสิบวันที่เธอกลับมาอยู่บ้าน แม็กกี้ไม่ได้ทําอะไรเลย นอกจากดื่มกาแฟกับว่ายน้ำ
เธอสลัดผ้าห่มออกจากตัวเดินเข้าไปในห้องครัวที่อุ่นกว่าข้างนอก อีกหนึ่งชั่วโมงแสงสว่างก็จะสาดส่องเข้ามาทั่วทุกซอกมุม และยังพากลิ่นหอมของพลูเมเรียให้ลอยล่องผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่เปิดกว้างไว้อีกด้วย
แม็กกี้กะปริมาณกาแฟกับน้ำที่เติมลงในกา ซึ่งเธอตั้งชื่อให้ว่า “มิสเตอร์คอฟฟี่” แล้วจึงได้กดปุ่มแดงลง ในตู้เย็นแทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว ซึ่งนั่นหมายความว่าเธอจะต้องออกไปหาซื้ออาหารมาบรรจุเข้าไว้
“เอาไว้พรุ่งนี้ก็แล้วกัน” เธอผัดตัวเองเช่นที่ผัดมาแล้วทุกวัน
ภายหลังจากดื่มกาแฟและกินอาหารเช้าที่มีเพียงขนมปังปิ้งแล้ว เธอจึงได้รินกาแฟใส่กระติกที่มีชื่อเขียนไว้ว่า “แม็กกี้” แล้วจึงได้ถือกระติกนั้นติดมือลงไปที่ชายหาด เธอจะนั่งอยู่ที่นั่น ดื่มกาแฟไปพลาง ทอดสายตาเหม่อมองพื้นน้ำที่เป็นประกายระยับอยู่ ในท่ามกลางแสงแดดจนปวดตา แล้วจึงจะกลับขึ้นมานั่งดื่มกาแฟต่อที่ห้องระเบียง
แม้จะได้รับผลกระทบจากฤทธิ์คาเฟอีนอยู่บ้าง แต่วันนี้เป็นวันที่เธอรู้สึกดีขึ้นกว่าทุกวัน จิตใจสงบลง ไม่กระวนกระวายเหมือนหลายวันที่ผ่านมา มันอาจจะเป็นวันที่เธอสามารถตัดสินใจได้แล้วกระมัง...
เธอกวาดสายตามองไปตามความเหยียดยาวของแนวหาด รับรู้ความเขียวเข้มของใบปาล์มที่ส่ายไหวอยู่ด้วยแรงลม รับรู้ความขาวสะอ้านของพื้นทราย ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงสมบูรณ์แบบอยู่เหมือนเดิม มันเป็นสถานที่แห่งเดียวที่เธอตั้งชื่อไว้ว่า “พาราไดซ์” และมันก็เป็นสวนสวรรค์ส่วนตัวของเธออย่างแท้จริง ซึ่งถ้าเธอไม่ระมัดระวังจิตใจของตนเองให้ดีแล้ว เธออาจจะไม่ได้สัมผัสความจริงแท้ที่ธรรมชาติมอบมาให้อีกเลยก็เป็นได้
ขณะนี้เธอจําเป็นต้องดึงความคิดเข้ามาสู่ความเป็นปัจจุบัน เธอได้สละเวลาถึงสิบวันไว้อาลัยให้กับความตายของแรนด์ไปแล้ว ซึ่งตลอดเวลาสิบวันดังกล่าว เธอซุกตัวเองอยู่แต่ในมุมมืด มุมที่เธอสามารถระบายอารมณ์ออกมาได้อย่างเต็มที่ มุมที่เต็มไปด้วยฝันร้าย
แม้ว่าเวลาสิบวันมันจะไม่มากนัก แต่เธอก็คงให้เวลาสําหรับการไว้อาลัยกับการจากไปของแรนด์ กับการเกลียดชังตัวเอง และพยายามกล้ำกลืนความสงสารตัวเองลงได้เพียงแค่นี้ และบัดนี้มันถึงเวลาที่เธอจะก้าวออกไปสู่โลกภายนอก ใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้แล้ว
แม็กกี้ทบทวนความทรงจําเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่จะต้องทําอยู่ในใจ ก่อนอื่นที่จะต้องทําคือฟังเทปโทรศัพท์ เนื่องจากเธอไม่ได้ติดต่อไปหาผู้ใดเลยตลอดเวลาสิบวันที่ผ่านมา ต่อมาคือการตรวจตราไปรษณียภัณฑ์ที่ส่งมาถึงเธอ ส่วนที่ถึงแรนด์นั้นเธอจะต้องรวบรวมและจัดส่งไปถึงเชสเน่ย์
เชสเน่ย์...ผู้เป็นลูกสาวของแรนด์ และเป็นลูกเลี้ยงของเธอเอง...
สิ่งที่ใครบางคนแสดงออกอยู่นั้น มันมิได้หมายความว่าเขาจะต้องเป็นเช่นนั้นด้วย แม็กกี้ครุ่นคิดอย่างเศร้าใจ ไม่ว่าบุคคลผู้นั้นเป็นแรนด์ เป็นลูกสาวของเขา หรือแม้แต่แม่ของเธอเอง มันจึงทําให้เธอบังเกิดความสงสัยอยู่เสมอ ว่าสิ่งที่ได้เห็นจะเป็นสิ่งเดียวกับที่จะได้รับหรือไม่...
เชสเน่ย์เดินทางกลับไปอังกฤษแล้ว และแม็กกี้ออกจะปลอดโปร่งใจอยู่ไม่น้อยเลย เพราะเธอมักจะมีความรู้สึกว่าเชสเน่ย์เป็นผู้บุกรุกอยู่ตลอดเวลา
อันที่จริง เชสเน่ย์ก็สามารถดํารงชีวิตด้วยตนเองอยู่ได้อย่างดี ไม่ได้ขออะไรทั้งสิ้น และแม้เธอจะบอกว่าชอบพ่อไม่น้อย แต่ก็พูดตามตรงว่าไม่ได้มีความรักในตัวเขาเลย และคอยแต่จะบอกแรนด์อยู่เสมอ ว่าสักวันหนึ่งจะต้องกลับไปอยู่อังกฤษ เธอยังเล่าให้ฟังด้วย ว่าไบรอัน คู่หมั้นของเธอนั้น เต็มใจอย่างยิ่งที่จะตั้งรกรากอยู่ในอังกฤษด้วยกัน และบางทีอาจจะบินกลับไปที่นั่นพร้อมกันเลย
และในตอนนั้นเองที่แม็กกี้ได้ตระหนัก ว่าธรรมชาตินิสัยของเชสเน่ย์นั้นมีอยู่อย่างหนึ่งที่เหมือนเธอ คือไม่สามารถให้อภัยต่อความผิดที่แรนด์เคยทําไว้กับเธอได้ ความแตกต่างมันอยู่ตรงที่ว่า เชสเน่ย์ได้บอกเล่าให้เขาได้รับรู้ความจริงในเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่เริ่มต้น...นับแต่นาทีแรกที่เธอรู้ว่าแรนด์คือบิดา...
และเชสเน่ย์ก็เพียงแต่บอกว่า เธอไม่ต้องการอะไรเลย เพียงแต่อยากเห็นหน้าผู้ชายคนที่ปล่อยให้เธอต้องเติบโตขึ้นมาในโรงเลี้ยงเด็กกําพร้าเท่านั้น สถานที่ซึ่งปลูกฝังความเชื่อให้เกิดขึ้นในส่วนลึกของจิตใจ ว่าเธอมิได้เกิดมาด้วยความรัก มิได้เป็นที่ต้องการของใครเลยแม้แต่พ่อแม่ของตัวเอง
เพราะฉะนั้น ทรัพย์สมบัติกึ่งหนึ่งที่ได้รับจากกองมรดกของแรนด์ จึงไม่สามารถเยียวยาแผลใจที่เกิดขึ้น เพราะถูกปล่อยทิ้งไว้ให้ต่อสู้ชีวิตตามลําพังในโรงเลี้ยงเด็กกําพร้าแห่งนั้น ซึ่งแม็กกี้มองเห็นอยู่ ว่าเป็นการสมควรแล้วที่แรนด์จะต้องทำอะไรเพื่อลูกสาวคนเดียวบ้าง
แม็กกี้ยังอดสงสัยไม่ได้ ว่าอีกนานเท่าไร เด็กสาวคนนั้นจะกลับมาเพื่อเรียกร้องสิทธิที่ตนมีอยู่ใน “พาราไดซ์” แห่งนี้ แต่ถึงอย่างไรแม็กกี้ก็ยังเต็มใจจะยกให้อยู่ดี มีความรู้สึกว่าเด็กคนนั้นควรจะได้รับมรดกมากกว่าที่แรนด์ทิ้งไว้ให้เสียด้วยซ้ำ
“มิสแม็กกี้คะ...” เสียงแอ๊ดดี้ เด็กสาวผู้มาช่วยทํางานบ้านสัปดาห์ละสามวันร้องเรียกมาจากห้องระเบียง
แม็กกี้ลุกขึ้นยืนปัดทรายที่ติดพราวอยู่ออกจากท่อนขา ดื่มกาแฟอึกสุดท้ายแล้วจึงได้เดินกลับไปทางนั้น
“ขอโทษด้วยนะแอ๊ดดี้ ฉันลืมไปว่าวันนี้เธอจะมาช่วยทํางาน”
แอ๊ดดี้ เป็นเด็กสาวชาวพื้นเมืองที่แม็กกี้พอใจในอัธยาศัย กิริยามารยาทเรียบร้อย และยังทํางานได้อย่างเป็นที่น่าพอใจอีกด้วย เป็นหญิงสาวร่างเล็กสูงแค่สี่ฟุตเก้านิ้ว ดวงตาดําขลับประกอบด้วยแผงขนตาดกดำงอนงาม แต่ไม่ยอมบอกอายุถือเป็นความลับสุดยอดทีเดียว และยังไม่ยอมบอกแม็กกี้ด้วยว่า ซื้อชุดมูมูแสนสวยแต่ละชุดนั้นมาจากไหน
“วันนี้จะให้ฉันทำอะไรบ้างล่ะคะมิสแม็กกี้”
“วันนี้น่ะเรอะ...” แม็กกี้ระบายลมหายใจออกมาดัง ๆ “วันนี้...ฉันอยากให้เธอจัดเก็บสมบัติของมิสเตอร์เนลสันลงกระเป๋าแล้วเอาไปด้วยก็แล้วกัน ฉันหมายถึงทุกอย่างเลยนะ จะเอาไปมอบให้กับองค์การเพื่อการกุศลที่ไหนก็ได้ หรือถ้าเห็นว่าใครจําเป็นจะต้องใช้บริจาคไปก็แล้วกัน ฉันไม่สนใจหรอก...
“อ้อ...แล้วเธอก็เรียกพี่น้องหรือว่าพวกญาติ ๆ ผู้ชายของเธอมา ช่วยกันขนเฟอร์นิเจอร์ในห้องนอนฉัน กับห้องนอนของเชสเน่ย์ไปให้หมดด้วย ฉันไม่สนใจอีกนั่นแหละว่าเธอจะเอามันไปทําอะไร ฉันรู้ว่างานที่มอบให้ทำนี่ คงทําให้เสร็จวันนี้เลยไม่ได้ เพราะมันหลายเรื่องด้วยกัน แต่ถ้าพรุ่งนี้เธอว่าง ช่วยมาต่อด้วยอีกวันหนึ่ง จัดการเก็บข้าวของในห้องทํางานของมิสเตอร์เนลสันออกไปให้หมด...”
“ในโรงรถน่ะมีลังมีกล่องที่จะใส่ได้อยู่มากมาย เวลาที่แมตตี้มาตัดหญ้าในสนาม ขอให้เขาช่วยไปขนมาให้เธอด้วยก็แล้วกัน
สายตาของแอ๊ดดี้ที่มองเธอในยามนี้บอกความแปลกใจและกังวลระคนกัน
“ถ้าคุณให้ฉันเอาเฟอร์นิเจอร์ในห้องนอนไปหมด แล้วคุณจะนอนที่ไหนล่ะคะ มิสแม็กกี้”
“ก็ในห้องระเบียงนี่ไงล่ะ” แม็กกี้ตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ฉันนอนห้องนี้มาตั้งสิบวันแล้ว ออ...แอ๊ดดี้ แล้วก็เอาไอ้ชุดสีแดงโยนทิ้งไปเสียด้วยนะ หรือจะเอาไปให้ใครก็เอาไป รองเท้าด้วย”
“มิสแม็กกี้คะ ในตู้เย็นไม่มีอาหารเหลือแล้วนะคะ เอาอย่างนี้ดีกว่า ฉันจะให้พี่ชายช่วยแวะซื้อของจำเป็นมาด้วยตอนที่เขาขับรถมาที่นี่ คุณอยากได้อะไรบ้างล่ะคะ”
“สําหรับตอนนี้เอาเรื่องจําเป็นก่อนดีกว่า เธอช่วยเข้าไปในห้องนอนฉัน แล้วก็หยิบกระเป๋าหนังใบใหญ่สุดที่ตั้งอยู่ข้างผนังห้องมาทีได้ไหมล่ะ แล้วถ้าจะให้ดีกว่านั้น ช่วยต้มกาแฟให้ด้วยก็แล้วกัน”
“นี่คุณยังไม่ได้ออกจากห้องระเบียงกับห้องครัวเลยใช่ไหมคะ” น้ำเสียงของเด็กสาวบอกความกังวลเหมือนเดิม
“ยัง ฉันใช้ห้องน้ำที่อยู่ในครัวด้วย คือฉันยัง...ยังไม่พร้อมน่ะ...เอาไว้ให้...เราจัดห้องนั้นใหม่เสร็จเสียก่อนดีกว่า บางทีฉันอาจจะเข้าไปอยู่...แต่ตอนนี้...มันไม่จําเป็นอะไรหรอกแอ๊ดดี้”
“ฉันว่าคุณผอมมากเกินไปแล้วนะคะมิสแม็กกี้ เอาอย่างนี้เถอะค่ะ วันนี้ก่อนกลับฉันจะทําอาหารไว้ให้คุณทาน แต่คุณต้องสัญญานะคะว่าจะทาน”
แม็กกี้พยักหน้ารับอย่างเลื่อนลอย ก่อนจะเดินกลับลงไปยังชายหาดและเลยลงไปในน้ำ เธอว่ายน้ำจนรู้สึกร่างกายอ่อนล้า จึงได้ลอยตัวปล่อยให้เกลียวคลื่นซัดสาดพาร่างกลับเข้าสู่ฝั่ง
