บทที่ 4
เขายังจดจำรอยยิ้มนั้นได้จนทุกวันนี้ เพราะมันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้เขาได้สัมผัสถึงความมีชีวตจิตใจ ความต้องการที่จะดํารงชีวิตอยู่ต่อไป และเขาก็ยังจดจําถึงความรู้สึกเกรงขามที่เกิดขึ้นกับตัวเองขณะที่ท่านผู้เฒ่าชาวญี่ปุ่นนั่งอยู่ด้วยได้ดีจนทุกวันนี้ ที่มันสําคัญยิ่งกว่านั้น เมื่อเขาได้เอ่ยคําพูดประโยคนั้นออกไป ท่านผู้เฒ่าก็ยิ้มย่องด้วยความปีติยินดีอย่างเห็นได้ชัด
หลายต่อหลายครั้งเมื่อเขาเข้ามานั่งในสวนตรงจุดเดียวนี้ เขาสามารถสัมผัสจิตวิญญาณของชาดาฮารุได้ มันคล้ายกับท่านผู้เฒ่าได้เดินเข้ามาวางมือลงบนไหล่ที่เขายอมให้มันคุ้มลง เมื่ออยู่เพียงลําพัง ห่างไกลจากสายตาของคนอื่นที่อาจจะมาพบเห็นเข้า
ขณะที่มีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น เขาไม่ได้เห็นรูปเงาของภูตผีปีศาจ ไม่ได้เห็นหมอกควันที่ลอยตัวขึ้น หรือได้ยินเสียงโหยหวนแต่อย่างใดเลย มันไม่เคยมีอะไรแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ
เขาเพียงแต่สัมผัสความรู้สึก ว่าในสวนไม้ดอกแห่งนี้ยังมีท่านผู้เฒ่าอยู่ร่วมด้วยอีกคนหนึ่ง และบางครั้ง เพราะความรู้สึกเช่นนั้น ทําให้เขาจับสังเกตสายลมอ่อนที่พัดมาต้อง หรือแม้แต่เสียงฝีเท้าของตนเองมากขึ้น
มีอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้เองที่เขาบังเกิดความอ่อนแอขึ้นในจิตใจอย่างบอกไม่ถูก และเขาก็ได้ทําอะไรบางอย่างลงไป คล้ายกับจะพิสูจน์ให้ได้ ว่าผีมีจริงหรือไม่...
เขารินเหล้าสาเกใส่ลงในถ้วย จุดซิการ์ขึ้นแล้วเอาวางไว้ในที่เขี่ยบุหรี่บนโต๊ะ เล็กสําหรับตัวเขาเองนั้นนอกจากจะไม่ชอบดื่มเหล้าสาเกแล้วก็ยังไม่เคยสูบซิการ์อีกด้วย เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาก็นั่งลงบนม้ายาวตัวเดียวกันนี้และรอเวลาอยู่ โดยจับตามองอยู่แต่ที่โต๊ะตัวนั้น
แต่ เพียงครู่ที่มีเด็กคนหนึ่งวิ่งมาเรียกให้เขารับโทรศัพท์ เขาหายตัวไปครู่ใหญ่ เมื่อกลับออกมาอีกครั้ง ปรากฏว่าเหล้าสาเกในถ้วยหมดเกลี้ยง และซิการ์ก็เหลือแต่ก้น ซึ่งเขาบอกกับตัวเองว่าน่าจะเป็นฝีมือเด็กในบ้านคนใดคนหนึ่ง ส่วนซิการ์นั้นอาจจะเป็นเพราะเขาหายไปนานมันจึงไหม้หมด
จนกระทั่งเมื่อเขาออกเดินช้า ๆ ไปตามเส้นทางที่ท่านผู้เฒ่าเคยเดินอยู่เป็นประจํา และบ่อยครั้งที่เขาเคยเดินเคียงข้างไปด้วย นั่นแหละที่เขาได้เห็นเถ้าบุหรี่กองเล็กอยู่ต่อหน้า
เขาขนลุกขึ้นมาทั้งตัว และไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเลย มันเป็นความลับที่เขาอยากจะเก็บไว้กับตัวเองมากกว่า และนับแต่วันนั้นเขาไม่เคยคิดสงสัยเลย ว่าจิตวิญญาณของชาดาฮารุพยายามที่จะให้ความช่วยเหลือเขาอยู่
ถ้าสิ่งที่เขาได้ผ่านพบมาไม่เป็นความจริง เขาก็คงเสียสติไปแล้ว ขณะนี้มันจึงมีแต่คําถามที่เกิดอยู่ในใจ ว่าท่านผู้เฒ่าชาวญี่ปุ่นคนนั้นต้องการจะบอกอะไรกับเขา... พยายามจะเตือนเขาในเรื่องอะไรบางอย่างบางเช่นนั้นใช่หรือไม่...
เมื่อความคิดดังกล่าวผ่านเข้ามาในใจ โคลก็บังเกิดความตึงเครียดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ออกคำสั่งกับตัวเองว่าถ้าเขาต้องการดำเนินรอยตามท่านผู้เฒ่าแล้ว จะต้องทําใจให้สบายแล้วก็ทําสมาธิด้วยจิตใจที่แน่วนิ่ง
แต่ชิกาตะ มิทสุ คือใครหรืออะไรเล่า...
เขาเพิ่งรู้สึกตัวในตอนนี้เองว่ากําลังรอคอยอยู่ เพียงแต่ไม่แน่ใจว่าตัวเองกําลังรอคอยอะไรเท่านั้น อาจจะเป็นสัญญาณอะไรบางอย่างกระมัง...
เขายกแก้วเบียร์ขึ้นดื่ม จับตามองโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่ตรงหน้า...ชิกาตะ มิทสุ...เขาเอ่ยชื่อนั้นออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาด้วยความหม่นหมองในหัวใจ เมื่อไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น โคลก็เอ่ยออกมาดัง ๆ ว่า
“ผมเข้าใจนะครับ ท่านผู้เฒ่า ว่าท่านจะส่งสัญญาณให้ผมได้รับรู้ได้เพียงคราวละครั้งเท่านั้น”
เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ทําลงไปเป็นความโง่เขลาหรือไม่ แต่ก็ไม่มีเวลาที่จะใคร่ครวญแต่อย่างใดทั้งสิ้น เพราะเสียงโทรศัพท์กริ่งดังขึ้นเสียก่อน ผู้ที่โทรมาคือซอว์เยอร์พี่สาวต่างบิดา ผู้พร้อมสําหรับเขาเสมอไม่ว่าเขาจะต้องการตัวเธอเมื่อไรก็ตาม เขาจึงรักพี่สาวคนนี้นัก แต่บ่อยครั้งที่เธอก็แสดงความกราดเกรี้ยวเข้าใส่เขา
“ให้ตายสิซอว์เยอร์ ทําไมเวลาพูดโทรศัพท์ถึงต้องแสดงอารมณ์อย่างกับทอร์นาโดยังงั้นด้วยล่ะ พูดเบา ๆ ก็ได้ ถึงยังไงผมก็ได้ยินอยู่แล้วละน่า ว่ามาสิมันมีเรื่องอะไรกัน แล้วหลาน ๆ เป็นยังไงกันมั่งล่ะ โดยเฉพาะลูกสาวบุญธรรมของผมน่ะเป็นยังไงมั่ง เออ...แล้วอากาศในนิวยอร์คเป็นยังไงมั่งล่ะตอนนี้ เออ...นี่ ซอว์เยอร์ ที่เคยได้ยินชื่อชิกาตะ มิทสุ บ้างหรือเปล่า” ประโยคหลังเขาถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวพูดอยู่กับตัวเอง
“ทุกอย่างเรียบร้อยดี เด็ก ๆ ก็สบายดี อดัมก็สบ๊าย...สบาย แต่ฝนตกทุกวัน ก็ดี เพราะมันทําให้ฉันพอมีเวลาเป็นตัวของตัวเองบ้าง และเพราะว่างนี้ไงถึงได้โทรศัพท์มาหาเธอได้ เอาละ พูดกันตรง ๆ เลยนะ ว่าตอนนี้ฉันกําลังต้องการเงินกองมรดกมหาศาลที่เธอดูแลอยู่นั่นแหละ” ซอว์เยอร์พูดเร็วปรื๋อมาตามสาย “เออ...ว่าแต่เมื่อกี้เธอถามฉันเรื่องชื่อ ไหนบอกใหม่อีกที่สิว่าชื่ออะไร”
ท้องไส้ของโคลดูจะปั่นป่วนขึ้นมาทันที
“ต้องการเท่าไหร่ล่ะ” เขาถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ชื่อที่ถามน่ะชิกาตะ มิทสุ” เขาตอบอย่างไม่เต็มใจเลย
“เงินที่ต้องการมันก็ก้อนใหญ่พอดูเชียวละ เพราะฉะนั้นถึงจำเป็นต้องพูดกับเธอไงล่ะ คือยังงี้นะ ฉันออกแบบเครื่องบินไว้เครื่องหนึ่ง ซึ่งคิดว่ามันเป็นเครื่องแบบทันสมัยด้วย ฉันคิดแบบได้ตอนที่เปลี่ยนผ้าอ้อมแล้วก็ระหว่างที่เล่นมวยปล้ำอยู่กับอดัม...
“แต่ว่าเรื่องนั้นมันเป็นยังงี้ คือตอนนี้โคลแมน เอวิเอชั่นน่ะมีเงินไม่พอกับจำนวนที่ฉันต้องการ เพราะที่ฉันอยากได้น่ะมันก้อนใหญ่ทีเดียวนะน้องชาย” เธอพูดอย่างสบายอารมณ์ แต่เป็นน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความมั่นใจในตัวเองสูงมาก เป็นเสียงที่โคลหวั่นใจทุกครั้งที่ได้ยิน
“ฉันต้องการหลายล้านทีเดียวนะ อาจจะถึงร้อยล้านด้วยซ้ำ” คําพูดของเธอทําให้ท้องไส้ของเขาเกิดอาการปั่นป่วนขึ้นมาอีกครั้ง “นี่...เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเครื่องบินเยี่ยมยอดลํานี้บ้างหรอกเรอะ อดัมยังชอบเลย ไรเล่ย์น่ะบอกว่า...ฉันจะยกคําพูดของเขามาทั้งประโยคเลยนะ...เราจะออกวิ่งกันอีกครั้งเมื่อโคลเห็นด้วย...จบ แค่นี้ฉันก็คงทําให้เธอตื่นเต้นแล้วใช่ไหมล่ะ”
“ฟังนะโคล ฉันน่ะมองเห็นว่านี่เป็น ‘ท้อป กัน’ สําหรับอนาคต ฉันหมายถึงความสามารถในการบินอันเยี่ยมยอดของมัน คิดเป็นวินาทีได้เลย และนี่คือประโยชน์อันมหาศาลในยุทธการด้านการบินเป็นอันเด็ดขาด ใช้เครื่องยนต์วิคเตอร์ ปีกคานาร์ด แล้วก็ยังอื่น ๆ อีกมาก ที่ฉันอยากรู้ก็คือ เธอสนใจบ้างหรือยังล่ะโคล”
“แล้วผมจะได้อะไรจากการนี้บ้างล่ะ” เขาถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ก็โอกาสที่จะเป็นผู้สนับสนุนทางด้านการเงินของฉันไงล่ะ ไอ้เครื่องนี้มันบินได้แน่โคล เธอต้องเชื่อคําพูดฉัน เวลานี้มันเหมือนกับเราได้ทําอะไรที่ครบวงจรแล้ว เหมือนที่คุณตามอสส์เคยเริ่มต้นไว้ให้แล้วนั่นแหละ มันถึงเวลาที่เราจะต้องออกมาให้พ้นจากฝาแล้วนะโคล เธอยังฟังอยู่หรือเปล่านะโคล”
น้ำเสียงที่ถามบอกความหงุดหงิด มันเป็นอะไรบางอย่างที่โคลสัมผัสได้ และได้รู้ด้วยว่าจริง ๆ แล้วเธอไม่ต้องการให้เขาตั้งคําถามด้วยความคิดเห็นคิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น
โคลกําลังครุ่นคิดถึงผลกําไรที่จะได้รับจากการนี้ คิดถึงช่วงเวลาสามปีที่ผ่านมา และคิดถึงสถานะอันล่อแหลมต่ออันตรายของไรซิ่ง ซัน
“ขอกําไรเจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์กับดอกเบี้ยสิบสองเปอร์เซ็นต์ อันที่จริงผมอยากจะเรียกดอกเบี้ยสิบห้าเปอร์เซ็นต์เสียด้วยซ้ำ แต่ในฐานะที่เราเป็นญาติสนิทกัน ผมเรียกแค่สิบสองเปอร์เซ็นต์เท่านั้น”
สิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่จิตใต้สำนึกของเขาเฝ้ารอคอยอยู่ สัญญาณที่ส่งมาจากอีกฟากหนึ่งจากชาดาฮารุ...จีซัส...นี่จะต้องเป็นสัญญาณที่ท่านผู้เฒ่าส่งมาอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
มันจะเป็นอะไรได้เล่าถ้าไม่ใช่สิ่งนี้...แล้วนี่เขาบ้าไปแล้วหรืออย่างไร การเรียกกําไรเจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์กับดอกเบี้ยอีกสิบสองเปอร์เซ็นต์ มันจะทําให้เขาไปถึงจุดที่ต้องการได้ เป็นการทําเพื่อผลกําไรอย่างแท้จริงเวลานี้เขาได้กลายเป็นสาวกผู้ซื่อตรงจงรักไปแล้ว
ขณะเดียวกันมันก็เหมือนมีเสียงพูดดังก้องอยู่ในสมอง...ว่าทั้งหมดนี้คือค่าใช้จ่ายของซอว์เยอร์กับครอบครัวทั้งสิ้น หัวใจเขายังเต้นระทึก ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เรียกร้องจะสูงเกินไปหรือไม่...
