
บทย่อ
ไม่มีอะไรจะสามารถเยียวยาจิตใจที่แห้งแล้งแตกสลายได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมวันนึงตะวันที่เคยมืดบอดกลับส่องสว่างในจิตใจนี้ (เล่ม 1)
บทที่ 1
เบ่ล์ มาธ่าย กะพริบตาถี่ ๆ มันเป็นภาษากายเพียงอย่างเดียวที่บ่งบอกว่า เธอได้ยินสิ่งที่นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพูดแล้ว แต่ความรู้สึกภายในนั้นมันเหมือนกับเวลาได้หยุดนิ่งลง
นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป อะไรจะเกิดขึ้นกับครอบครัว กับลูก และกับธัดสามีของเธอเล่า ทั้งหมดนั่นคือเหตุผลที่เธอจะต้องมีชีวิตอยู่
แต่ขณะนี้ ผู้ชายในชุดเสื้อคลุมสีขาว ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยยับย่นกําลังบอกเธออยู่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างใกล้จะถึงจุดสุดท้ายของมันแล้ว สีหน้าของเขาไม่ได้บอกความสบายใจเลยแม้แต่น้อย ราวอยากร้องไห้เหลือกําลัง เธอจะต้องทำให้สีหน้าเช่นนั้นเลือนหายไป มือที่ผอมบางยื่นออกไปข้างหน้า
“มันไม่ใช่ความผิดคุณของเลยนะอารอน ฉันน่ะเชื่อมาตั้งแต่เกิดแล้วด้วยซ้ำ ว่าคนเราเมื่อเกิดมาแล้วมันก็ต้องตาย”
แอช เชอรันตัน รู้จักทุกคนในตระกูลโคลแมนส์ เคยได้รับเชิญไปร่วมรับประทานอาหารแบบเท็กซัส บาร์บีคิวหลายครั้ง ไปโรงเรียนพร้อมกับมอสส์ โคลแมนส์ ผู้เป็นสามีคนแรกของบิลลี่
เขายังจําวันที่ได้รับการแนะนําให้รู้จักกับบิลลี่เป็นครั้งแรกได้ดี และเคยคิดสงสัยว่าเธอจะเหมาะกับโคลแมนส์ผู้นั้นหรือไม่ ผู้หญิงที่สวยน่ารัก ค่อนข้างขี้อาย เด็กสาวบริสุทธิ์ผู้เดินทางมาจากฟิลาเดลเฟียคนนี้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพวกเขามานานเป็นปี ๆ ได้อย่างไร
แต่เขาไม่ได้ใช้เวลานานเลยที่จะค้นพบความดีงามในตัวบิลลี่ และนับแต่วันนั้นเป็นต้นมาเขาก็รักเธอเหมือนน้องสาวแท้ ๆ ของตัวเอง
บิลลี่ โคลแมนส์ คิงสเล่ย์ เป็นผู้หญิงที่ดีเลิศอย่างยากจะหาหญิงใดเปรียบได้ และพระเจ้าก็คงจะไม่อาจสร้างมนุษย์คนใดได้ดีกว่านี้อีกแล้ว หรือถ้าจะทรงสร้างได้ ก็จะทรงเก็บไว้เพื่อพระองค์เอง
“แล้วคุณจะบอกธัดยังไง” ดูเหมือนเขาจะถามออกมาได้เพียงเท่านั้น
“ฉันยังไม่รู้เลยนะคะอารอน ฉันบอกธัดแต่เพียงว่า จะมาดูงานมหกรรมผ้า เพราะกําลังคิดอยู่ว่าจะออกแบบเสื้อผ้าใหม่ ๆ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะเชื่อคําพูดของฉันหรือเปล่า อันที่จริงตั้งแต่แต่งงานกันมาฉันก็ไม่เคยพูดโกหกกับเขาเลยนะ...
“แต่ฉันทนไม่ได้จริง ๆ ที่จะเห็นเขาวิตกกังวลจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่รู้นะคะ...ฉันคิดว่าตอนนี้ฉันกลับโรงแรมก่อนดีกว่า อยากจะใช้ความคิดสักหน่อย”
“อย่าเลย” อารอนพูดอย่างมีน้ำใจ “ไปบ้านกับผมดีกว่า เราจะได้คุยกันเรื่อง...เอ้อ...การรักษา”
เธอช่างสวยเสียเหลือเกิน...อารอนคิดอยู่ในใจ ยิ่งเวลานี้ยิ่งสวยขึ้นกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
มันเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไร...หรือจะเป็นเพราะความเป็นผู้มีน้ำใจงาม หรือคุณงามความดีหลากหลายที่เธอได้สร้างสมมาเป็นสิ่งที่สามารถฉายผ่านออกมาได้...
แม้ในเวลาเช่นนี้เธอกลับมิได้คิดถึงตัวเอง แต่กลับไปคิดถึงครอบครัว คิดถึงความรู้สึกของสามี วิตกกังวลว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยที่เกิดอยู่กับเธอในยามนี้จะส่งผลกระทบกับพวกเขาอย่างไร
มันทําให้เขาบังเกิดความรู้สึกอยากปกป้องคุ้มครองผู้หญิงคนนี้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่แน่ใจว่าความรู้สึกดังกล่าวมันฉายชัดออกมาในสีหน้าด้วยหรือเปล่า
“อย่าเลยค่ะอารอน” บิลลี่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ตอนนี้ฉันอยากอยู่คนเดียวมากกว่า อยากจะให้สมองมันซึมซับสิ่งที่คุณเพิ่งบอกกับฉันเมื่อกี้นี้ จะทำยังงั้นได้ก็ต่อเมื่ออยู่คนเดียวเท่านั้น ฉันขอบใจคุณมากที่ชวน คุณน่ะเป็นเพื่อนรักที่แสนดีจริงๆ ค่ะอารอน เอาละ..” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเข้มแข็ง “เรามาพูดกันเรื่อง...เอ้อ...เรื่องเวลาที่ฉันยังเหลืออยู่ดีกว่า”
มันเป็นยามกลางบ่ายแล้ว เมื่อแอช เชอรันตัน เดินออกไปส่งบิลลี่ที่ห้องล็อบบี้ ทุกสิ่งที่เขาพูดกับเธอนั้น เป็นประหนึ่งคํามั่นสัญญาที่ผูกพันไว้
“อีกอาทิตย์ฉันจะมาหาคุณใหม่นะคะ ฝากความรักไปถึงฟิลลิสด้วย แล้วฉันจะบอกธัดว่าคุณฝากความระลึกถึงมา”
อารอนร้อนผ่าวขึ้นมาตรงขอบตา รู้ว่าหยาดน้ำตามันกําลังจะลามไหลลง แต่เขาไม่แคร์เลย
ทําไมมันถึงเกิดกับบิลลี่ด้วย ทําไมเหตุการณ์อย่างนี้ไม่ไปเกิดกับไอ้พวกฆาตกร ไอ้พวกนักค้ายาเสพติด หรือไอ้พวกที่กระทําแต่ความชั่วร้าย
“บิลลี่ ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้มันเกิดกับตัวเองเหลือเกิน ผมสาบานต่อหน้าพระเจ้าได้เลยว่าผมยินดีที่จะเปลี่ยนตัวกับคุณ”
บิลลี่แตะปลายนิ้วลงบนริมฝีปากเขา ผู้ชายที่แสนดีคนนี้ช่างเต็มไปด้วยความจริงใจ เต็มไปด้วยความมีน้ำใจ และมีความน่ารักเสียเหลือเกิน
“อารอน อย่าพูดยังงั้นสิคะ คุณยังเป็นที่พึ่งของคนอีกมากมาย พระเจ้าทรงรู้ดี และถึงแม้ว่ามันจะเปลี่ยนตัวกันได้จริงฉันก็จะไม่ทําหรอก คุณน่ะมีความสําคัญเกินกว่าที่จะลาจากโลกนี้ก่อนเวลาอันสมควร...
“ส่วนฉัน...แม้ว่าใจจริงแล้วจะยังไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น แต่เมื่อถึงเวลา ฉันก็พร้อมแล้วที่จะยอมรับ หวังแต่เพียงว่าจะได้เข้าเฝ้าเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ด้วยความสง่างามเช่นเดียวกับที่เอมิเลียเคยทํามาแล้ว...
“สิ่งที่ฉันจะต้องทําในเวลานี้ ก็คือบํารุงจิตใจให้เข้มแข็งเข้าไว้เท่านั้น คุณคิดว่าพระเจ้าจะทรงอนุญาตให้ฉันทําตามคําขอร้องเช่นนี้ได้ไหมคะอารอน...
“ชั่วชีวิตที่ผ่านมา ฉันไม่เคยต่อรองอะไรกับพระเจ้าเลยนะอารอน ฉันสวดมนต์อธิษฐานทุกค่ำคืน แต่ไม่เคยขออะไรเพื่อตัวเองเลย บางทีพระองค์อาจจะไม่ทรงรับรู้ ว่ายังมีฉันอยู่ในโลกนี้อีกคนหนึ่งก็เป็นได้ คุณสวดมนต์อธิษฐานบ้างหรือเปล่าคะอารอน” น้ำเสียงที่ถามนั้นแหบพร่า
“ทุกค่ำคืนวันเลย” น้ำเสียงที่ตอบมิได้แตกต่างไปกว่าเธอเท่าไรนัก “แต่ก็เหมือนคุณนั่นแหละ ผมอธิษฐานเพื่อผู้อื่นเสมอ”
หลังจากนั้นทั้งสองก็กล่าวคําอําลาต่อกัน ขณะจับตามองตามร่างที่เดินจากไป อารอนได้อธิษฐานต่อพระเจ้าอยู่ในใจ ขออย่าให้เธอต้องได้รับความเจ็บปวด ทนทุกข์ทรมานมากเกินไปนัก ขอให้พระองค์ประทานพลังกายพลังใจที่เข้มแข็ง เพื่อที่จะยืนหยัดต่วไปจนถึงนาทีสุดท้ายนั้น...
เมื่อบิลลี่กลับไปถึงโรงแรมที่พักนั้นเป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว รู้สึกดีใจไม่น้อยที่เช่าห้องชุดไว้สําหรับการมาพักในครั้งนี้ แทนที่จะเป็นเพียงห้องธรรมดาสักห้อง เธอชอบเดินในที่กว้าง ๆ และในส่วนที่จัดไว้เป็นห้องครัวเล็ก ๆ นั้นเธอก็สามารถชงกาแฟหรือผสมเครื่องดื่มให้กับตัวเองได้ไม่จําเป็นต้องใช้บริการรูม เซอร์วิส มันทำให้รู้มีความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านมากขึ้น
ขณะเดียวกันเธอก็ชอบที่โรงแรมได้ติดตั้งเครื่องโทรศัพท์ไว้ในห้องน้ำ ทั้งที่ธัดเคยมีความเห็นว่า โทรศัพท์ในห้องน้ำเป็นสิ่งที่เกินจำเป็นและไม่เข้าท่าก็ตาม รอยยิ้มอ่อน ๆ จุดขึ้นตรงมุมปากเมื่อคิดถึงสามี
บิลลี่เปิดกระป๋องเซเว่น-อัพ ถอดรองเท้าแล้วจึงได้เดินไปทรุดตัวลงนั่งในเก้าอี้สีน้ำตาลช็อคโกแลต เหยียดขาทั้งสองข้างออกไปข้างหน้า อดสังเกตเห็นความผ่ายผอมของมันไม่ได้ หลังจากกดรีโมทเปิดโทรทัศน์แล้วเธอก็ปรับเสียงให้เบาที่สุด
ขณะนี้เธอได้อยู่เพียงลําพังสมความตั้งใจแล้ว สามารถทําอะไรก็ได้ อยากจะกรีดร้อง อยากจะตะโกน อยากจะร้องไห้ อยากจะแสดงความกราดเกรี้ยว ล้วนแต่ทําได้ทั้งนั้น
แต่เธอกลับคิดถึงผู้ที่จากโลกนี้ไปก่อนหน้า และผู้ที่เธอจะต้องทิ้งไว้ข้างหลังเมื่อจากไปแล้ว เธอจิบเครื่องดื่มเย็นชื่นไปเรื่อย ๆ ขณะเดียวกันก็บอกตัวเองว่าควรจะโทรศัพท์กลับไปหาธัด จะต้องโทรศัพท์ไปหาทุกคน ในยามนี้เธออยากได้ยินเสียงของพวกเขาเหลือเกิน บุคคลที่เธอรักทั้งหลายเหล่านั้น เพียงแค่ได้ยินเสียงมันก็จะทําให้เธอเกิดกําลังใจที่จะทําในสิ่งสมควรทําต่อไปได้
สามีของเธอรับสายเมื่อกริ่งเรียกเป็นครั้งที่สอง
“สุดที่รักคะ ทางบ้านเป็นยังไงบ้าง” บิลลี่ถามด้วยน้ำเสียงสดใส
“คุณจะกลับมาเมื่อไหร่กันนี่” เขาย้อนถามกลับมา
“พรุ่งนี้เช้าค่ะ อยากให้คุณมารับพร้อมด้วยดอกไม้ช่อใหญ่ด้วยนะคะธัด ถ้าหาดอกไม้สดไม่ได้ดอกไม้ประดิษฐ์ก็ยังดี” บิลลี่หัวเราะคิกคักขบขันกับคําพูดของตัวเอง
“สําหรับคุณน่ะอะไรผมก็ทําได้ทั้งนั้นแหละที่รัก จะเอาพระจันทร์ พระอาทิตย์หรือดาว ถ้าหามาให้ได้ผมก็จะหาให้อยู่แล้ว รวมทั้งตัวผมเองด้วย จะให้ไปรับกี่โมงล่ะ”
“สิบเอ็ดโมงตรงค่ะ”
“ดี เราจะได้เลยไปกินอาหารกลางวันกันที่โอ มอลลี่ ตั้งแต่คุณไม่อยู่นี่ผมไม่เคยได้กินอะไรอร่อย ๆ เลย เบื่อที่จะต้องกินพีนัท บัตเตอร์กับเยลลี่เป็นอาหารเช้าเต็มทีแล้ว แต่จริง ๆ แล้ว ผมไม่ได้เบื่อเรื่องอาหารหรอกนะ เบื่อที่จะต้องนั่งกินคนเดียวต่างหาก ผมคิดถึงคุณมากนะบิลลี่ ว่าแต่คุณเถอะ เจอผ้าชิ้นที่ชอบหรือเปล่าล่ะ”
“ไม่มีเลยค่ะ แต่เขาสัญญาว่าจะส่งตัวอย่างมาให้อาทิตย์หน้า”
“แล้วมีข่าวอะไรใหม่ ๆ ในบิ๊ก แอปเปิ้ลบ้างล่ะ”
“ก็ไม่มีอะไรมากนักหรอก แต่ฉันเองก็คิดถึงคุณเหลือเกินนะคะธัด บ้านเมืองนี้มันยังไงก็ไม่รู้ มันทําให้ฉันรู้สึกตื่นกลัวแปลก ๆ อยากกลับบ้านไร่ของเราเต็มท
“ก็ผมบอกตั้งแต่แรกแล้วว่า จะไปด้วยก็ไม่ให้ไปนี่นา” ธัดหัวเราะลึกอยู่ในลําคอ “สมน้ำหน้าแล้วที่ต้องไปนั่งกลัวอยู่คนเดียว”
“ใช่ค่ะ” บิลลี่พยายามแต่งน้ำเสียงให้เริงรื่นเข้าไว้ “เป็นความผิดพลาดที่ฉันจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีกอย่างเด็ดขาด งั้นพรุ่งนี้พบกันนะคะ ฉันจะแต่งตัวด้วยชุดสีแดง”
“สุดที่รัก ต่อให้คุณแต่งตัวมอซอ ผมก็ยังคว้าตัวคุณออกมาจากฝูงคนนับพันได้อยู่ดีละน่า ผมรักคุณนะบิลลี่”
“พรุ่งนี้ช่วยพิสูจน์ให้ฉันเห็นหน่อยนะคะว่า คุณยังรักฉันมากน้อยแค่ไหน วันนี้ขอให้สนุกนะคะ ส่วนฉันตอนนี้จะนั่งขดตัวอ่านหนังสือไปพลาง ๆ ก่อน คิดจะโทรศัพท์ไปคุยกับลูกสักหน่อย แต่ไม่แน่ บางทีอาจจะเข้านอนให้เร็วกว่าปกติก็ได้ กู๊ดไน้ท์ตอนนี้เลยนะคะธัด”
“กู๊ดไน้ท์ยอดรัก ฝันถึงผมด้วย อย่าลืมล่ะ”
“ฉันฝันถึงคุณทุกคนอยู่แล้วละ” บิลลี่พูดด้วยน้ำเสียงรื่นเริง
