บทที่ 3
“เออ...หนูเล่าเรื่องเปลี่ยนผ้าหุ้มเบาะเก้าอี้ใหม่ให้ฟังหรือยังคะ ดอกดวงสดใส พื้นที่เป็นสีม่วงเข้มสวยเฉียบเลย ออกมานั่งห้องนี้ตอนกลางวันตาสว่างเลยละค่ะ สีสันมันจัดจ้านแทบจะตาบอด”
บิลลี่อดหัวเราะกับคําพูดของลูกสาวไม่ได้
“แล้วซูซานล่ะลูก” เธอถามต่ออย่างระมัดระวัง
“เขาก็คือซัสซี่คนเดิมนั่นแหละค่ะ มัมก็รู้ดีอยู่แล้วนี่คะ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เวลาดีก็เหมือนน้ำตาล เวลาร้ายขึ้นมาใครก็เอาไม่อยู่ หนูว่าเขาควรจะได้ออกสังคมบ้างนะคะ จะได้รู้จักโตขึ้นบ้าง ไอ้ที่เขาแสดงท่าทางพิกลอยู่ทุกวันนี้ก็คงจะเป็นเพราะอยากออกเดทบ้างนั่นแหละ แต่ว่านี่มันเป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวของหนูเท่านั้นนะคะ...
“ฟังนะคะมัม หนูรู้ว่ามัมน่ะถือว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของตัวเองอยู่ตลอดเวลา คือมีความรู้สึกว่า ที่ชีวิตของซูซานต้องเป็นยังงี้ก็เพราะมัม แต่หนูว่าอย่าลงโทษตัวเองให้มันมากไปนักเลยค่ะ เวลานี้ซูซานอายุตั้งเท่าไหร่แล้วละ...สี่สิบแปดใช่ไหมคะ แก่พอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว ป้าเอมิเลียก็...
“เอ้อ...ชั่งเถอะค่ะ ตอนนี้ซูซานอยากไปอังกฤษเห็นว่าอยากไปเรียนดนตรีที่นั่น อยากไปอยู่กับป้าเอมิเลีย อยากเป็นนักเปียโนในวงคอนเสิร์ต ซึ่งหนูก็คิดว่ามันน่าจะเป็นความคิดที่ดีนะคะมัม”
“แม่รู้จ้ะ แต่ก็คงจะส่งไปไม่ได้หรอก มีความรู้สึกว่าถ้าส่งลูกออกไปแบบนั้น มันจะเป็นการสร้างความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ให้กับชีวิตของแม่เอง ซูซานน่ะอ่อนแอเกินไปแล้วเขาก็ต้องการแม่มากด้วย...
“ที่แม่ยอมทําทุกสิ่งทุกอย่างก็เพราะเห็นแก่พ่อของลูกกับป้าเอมิเลียเท่านั้น แม่คิดว่าการที่ยกลูกสาวให้ไปอยู่กับเอมิเลียแบบนั้น มันทําให้ซูซานเกลียดแม่มาจนกระทั่งทุกวันนี้”
“ไม่จริงเลยค่ะมัม...” แม็กกี้ค้านเสียงหลง “มัมน่ะเป็นบุคคลที่ซัสซี่รักที่สุดในโลกเลยนะคะ ที่มัมพูดนั่นน่ะมันไม่จริงหรอกค่ะ”
“แต่ลูกควรจะยอมรับว่ามันคือความจริงนะ ซูซานต้องการทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งการไปอยู่อังกฤษ ไปหางานการทําที่นั่น ได้อยู่ใกล้ชิดกับเอมิเลียตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แล้วก็ยังต้องการเราทุกคนด้วย...
“ก็อย่างที่ลูกพูดอยู่เมื่อกี้นี้นั่นแหละว่าซูซานควรจะโตขึ้นกว่านี้อีกสักหน่อย เอาละจ้ะลูกรัก แม่รบกวนเวลาหนูมานานแล้ว ต้องขอโทษอีกครั้งที่ปลุกให้ตื่นขึ้นมาคุยกันกลางดึกอย่างนี้ แต่พอแม่คิดถึงมือมันก็เอื้อมไปหยิบโทรศัพท์แล้ว”
“หนูดีใจค่ะที่มัมทําอย่างนี้ ฝากความรักถึงธัดด้วยนะคะ แล้วอีกสองสามวันหนูจะโทรกลับมาหาพร้อมด้วยคําตอบ”
“กู๊ดไน้ท์จ้ะลูก แล้วค่อยคุยกันใหม่นะ ฝากความระลึกถึงมาถึงแรนด์ด้วย”
“หนูรักมัมนะคะ ขอให้นอนหลับฝันดีค่ะ”
“แม่ก็รักหนูจ้ะ รักมากด้วย นอนหลับให้สบายนะลูก”
บิลลี่ปาดน้ำตาออกจากใบหน้า ซบหน้าลงกับฝ่ามือ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอเฝ้าแต่หวัง แม้ในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ไม่อยากให้ลูกชายต้องตายลงในระหว่างสงครามเลย ทั้งแม็กกี้และซูซานน่าจะมีพี่ชายสักคน โดยเฉพาะในขณะนี้
แล้วนี่เธอจะทําอย่างไรที่จะสร้างหลักประกันที่มั่นคงให้กับลูกสาวทั้งสองได้เล่า ลึกลงไปในใจ เธออยากจะให้ทุกคนมีความมั่นคงปลอดภัย ก่อนที่เธอจะ...
เธอจะต้องทําทุกอย่างที่จําเป็นต้องทําลงไว้ สิ่งที่เธอต้องการก็คือพลังกายพลังใจกับเวลาอีกสักชั่วระยะหนึ่ง
แต่เวลามันก็ได้กลายเป็นศัตรูของเธอไปแล้ว มันเหลือน้อยจนแทบไม่พอทําอะไรได้อีกต่อไป เพราะฉะนั้น เธอจะต้องใช้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุดเท่าที่จะทําได้...
“โคลแมน ซัง คุณประสบความล้มเหลวอีกแล้ว”
โคล แทนเนอร์ กวาดสายตามองไปโดยรอบ ดวงตาคู่นั้นเบิกโพลงด้วยความแปลกใจ และงุนงง แน่ใจอย่างที่สุดว่าเสียงพูดที่ได้ยินอยู่นั้นเป็นเสียงคนจริงๆ เสียงของชาดาฮารุ ฮาเซกาว่า พ่อตาของเขา เสียงแผ่วเบาที่ดังขึ้นในท่ามกลางสายลมอ่อนแห่งเดือนเมษายน
แต่ครู่ต่อมา เขาจึงได้ตระหนักว่ามันคือเสียงที่เกิดอยู่ในความคิดของตนเอง
“ในที่สุดมันก็ต้องเป็นแบบนั้น” เขาพูดกับตนเองอย่างเจ็บใจ เหลือบตาขึ้นมองช่อเชอรี่สีชมพูหวานที่พรูพราวแน่นขนัดอยู่บนกิ่งก้านราวร่มขนาดใหญ่ที่ธรรมชาติสรรค์สร้างขึ้นไว้
มันทําให้เขานึกไปถึงตอนที่อุ้มร่างผอมบางของพ่อเฒ่าชาวญี่ปุ่นลงมาจากภูเขา กลีบดอกไม้ที่อ่อนบางพริ้วตัวด้วยแรงลมลงคลุมร่างนั้นไว้ ตลอดเวลาสามปีที่ผ่านมา เขาจะมาหาความสงบจากสถานที่แห่งนี้เสมอ และดูจะบ่อยครั้งขึ้น
ขณะนี้เขาได้ยื่นมือออกไป หงายฝ่ามือขึ้น เพียงครู่กลีบสีชมพูของเชอรี่ก็แทบจะเต็มฝ่ามือ ปีนี้เชอรี่ออกดอกพรูพราวแน่นหนากว่าที่เคยเป็น กลีบบางนั้นโปร่งใสจนแทบจะมองผ่านได้ มันทําให้เขาบังเกิดความใคร่รู้ขึ้นมา ว่ามันจะมีความหมายอะไรเป็นพิเศษอยู่หรือเปล่า หรือว่ามันเป็นปีที่เชอรี่จะต้องออกดอกดกเป็นพิเศษกว่าทุกปี
การที่เขาพูดอยู่กับตัวเอง ก็เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่คิดออกว่าควรจะทําอะไรในขณะนี้
“ผมก็ไม่ได้ทําอะไรที่มันผิดไปกว่าที่เคยทําเลย ผมศึกษาแล้วก็ดําเนินรอยตามแบบอย่างที่ท่านวางไว้ทุกอย่าง แต่แค่นั้นมันยังไม่เพียงพอ ผมลงแรงทํางานอย่างหนัก ทําทุกอย่างที่จําเป็นจะต้องทํา ไม่เคยคิดจะเลิกล้มความตั้งใจของตัวเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว...
“แต่ถึงกระนั้น ผมก็ยังผลักดันให้บริษัท ไรซิ่ง ซัน เดินหน้าไปกว่านี้ไม่สําเร็จ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองทําอะไรผิด คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะพวกที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับท่าน ล้วนแต่ลงความเห็นว่าท่านน่ะ...ตัดสินใจผิดด้วยกันทั้งนั้น...
“ผมสามารถอ่านความคิดของเขาได้จากแววตา และเมื่อมาถึงตอนนี้ ผมเองก็ชักจะรู้สึกอย่างเดียวกับพวกเขาแล้ว เวลานี้ผมไม่รู้จะหันหน้าไปหาใครจริง ๆ
“เพราะฉะนั้น ผมถึงมาที่นี่ มาเพื่อนั่งสมาธิแบบที่ท่านเคยทําอยู่เป็นประจํา เพราะผมกําลังเกิดความรู้สึกอยู่ว่าการที่ท่านมอบความไว้วางใจให้ผมนั้น มันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง คนที่ควรจะบริหารไรซิ่ง ซัน ต่อไปคือไรเล่ย์ คนอย่างผมน่ะมันไม่มีค่าอะไรเลย” เขาก้มหน้าลงด้วยความอับอาย ขอบตาร้อนผ่าว
โคลนั่งทําสมาธิอยู่เงียบ ๆ ในที่สุดก็หลับไป จิตใจที่อ่อนล้าตกอยู่ใต้อิทธิพลแห่งความงามของภูเขา ที่บัดนี้ปกคลุมอยู่ด้วยป่าเชอรี่ที่ออกดอกสีชมพูพรูพร่าง ความฝันอันสุดแสนทรมานได้พาเขาไปสู่ดินแดนอันแสนไกลที่เขาไม่เคยรู้จักและไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดจึงไปถึงที่นั่นได้
เมื่อเขาตกใจตื่นขึ้นนั้น มีชื่อ “ชิกาตะ มิทสุ” ติดอยู่บนริมฝีปาก มันเป็นชื่อที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน และตอนนั้นเองที่เขาเห็นซูมิเข้ามาคุกเข่าอยู่ตรงหน้า
“ฉันจะมาบอกให้คุณทราบว่าซอว์เยอร์โทรศัพท์มาหาค่ะ บอกไว้ว่าอีกหนึ่งชั่วโมงจะโทรมาใหม่ เห็นบอกว่ามีเรื่องสําคัญที่จะพูดกับคุณ” ท่าทางเธอเหน็ดเหนื่อยที่ต้องเดินขึ้นเขามาเป็นระยะไกล
มันทําให้โคลรู้สึกสํานึกผิดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“ทําไมไม่ตะโกนเรียกขึ้นมาจากตีนเขาล่ะ ทําไมต้องเดินขึ้นมาจนถึงบนนี้” เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ก็เพราะฉันอยากขึ้นมาหาคุณด้วยตัวเองน่ะสิคะ อีกอย่างหนึ่งการได้ออกกําลังเสียบ้าง มันจะเป็นผลดีกับร่างกายของฉันด้วย แต่ขาลงนี่สงสัยว่าคุณจะต้องอุ้มฉันลงไปนะคะ”
“กับน้ำหนักเก้าสิบเจ็ดปอนด์ของคุณตอนนี้น่ะเรอะ” โคลถามอย่างยั่วเย้า
“จริง ๆ แล้ว ที่ชั่งเมื่อเช้าได้เก้าสิบแปดปอนด์ครึ่งค่ะ”
“เพราะว่า คุณกินไอศครีมกับเค้กเป็นอาหารเช้าน่ะสิ” โคลยังยั่วต่อ “ผมว่าคุณห่วงผมมากเกินไปแล้วนะ ผมไม่อยากให้คุณต้องเป็นห่วงผมขนาดนี้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างมันกําลังจะดีขึ้นแล้วละ”
ซูมิซบศีรษะลงกับเข่าของโคล
“ฉันรู้ค่ะว่ามันจะต้องเป็นอย่างนั้น พ่อฉันได้เลือกคุณแล้ว พ่อไม่เคยพลาดเวลาดูคนหรอกนะคะ”
เขาอยากจะบอกกับซูมิ ว่าในโลกนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนต้องมีครั้งแรกด้ววยกันทั้งสิ้น แต่สิ่งที่เขาพูดออกไปก็คือ
“ใครคือชิกาตะ มิทสุ”
“ไม่ทราบสิคะ” ซูมิยักไหล่ “ชื่อแบบนี้มีอยู่ทั่วไปในญี่ปุ่น แบบเดียวกับไมเคิลหรือโจนส์ในประเทศของคุณนั่นแหละค่ะ ถามทําไมหรือคะโคล”
โคลลูบไล้ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเรือนผมสีดําของภรรยา น้ำเสียงที่ตอบคำถามของเธอนั้น เต็มไปด้วยแววครุ่นคิดอย่างที่ซูมิไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ผมนั่งสมาธิแล้วก็เผลอหลับไป พอตื่นขึ้นก็เห็นคุณนี่แหละ แต่ขณะเดียวกันชื่อนั้นมันก็ติดอยู่ตรงปลายลิ้นด้วย ไม่รู้จริง ๆ ว่าฝันไปหรือว่ามันมีความหมายอะไรอย่างอื่นด้วยหรือเปล่า ผมขอร้องให้จิตวิญญาณของพ่อคุณช่วยนําทางให้ คุณคิดว่าจะเป็นไปได้ไหมที่เขาให้ชื่อนี้มา”
ในความคิดของซูมินั้น เรื่องจิตวิญญาณเป็นเรื่องของความโง่เขลา เพราะเธอคือหญิงสาวชาวญี่ปุ่นสมัยใหม่ ไม่มีเวลามากพอที่จะข้องเกี่ยวกับเรื่องของจิตวิญญาณหรือตํานานเก่าแก่อะไรทํานองนั้น เธอต้องการสัมผัสแต่เฉพาะความเป็นจริงที่เกิดอยู่ในขณะนี้เท่านั้น
ในทรรศนะของเธอ มันเป็นไปไม่ได้ที่จิตวิญญาณของพ่อจะยังวนเวียนและถึงกับบอกชื่อนั้น...ชื่อที่ไม่ได้มีความหมายอะไรเลยให้สามีได้รับทราบไว้ และถ้าสมมุติว่า จิตวิญญาณของพ่อมีจริง ถ้าจะมาปรากฏได้ขนาดนี้ ก็หมายถึงว่าท่านสามารถจะขอดื่มเหล้าสาเกกับสูบซิการ์ได้ด้วย
“ฉันไม่รู้จริง ๆ ค่ะโคล” เธอตอบอย่างสุจริตใจ “ชื่อมันแปลก ๆ อยู่ และฉันเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยด้วย แต่ไม่เป็นไร เราอาจจะถามจากน้องสาวฉันกับสามีของพวกเขาก็ได้ หรือไม่ก็...บางทีอาจจะมีใครสักคนที่สำนักงานหนังสือพิมพ์หรือไม่ก็ห้องสมุดนั่นแหละที่อาจจะเคยได้ยินบ้าง คุณก็รู้อยู่แล้วนี่คะว่าบรรณารักษ์ห้องสมุดน่ะย่อมรู้ดีทุกอย่าง”
“ผมรู้นะว่าที่ผมแต่งงานกับคุณก็ด้วยความมีเหตุผลแบบนี้ละ” โคลยั่วเย้าต่อ “รับรองว่าพรุ่งนี้ผมจะต้องหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอันดับแรกเลย ตอนนี้คุณรู้สึกยังไงบ้างล่ะซูมิ”
“เยี่ยมค่ะ เพิ่งจะเดี๋ยวนี้เองนะคะที่คุณให้ความสนใจในตัวฉัน”
ซูมิถอนหายใจ บังเกิดความอบอุ่นที่ได้อยู่ใกล้ชิดสามีแบบนี้ เพราะดูเหมือนช่วงเวลาแบบนี้จะน้อยลงและห่างไกลออกไปทุกที ซึ่งสร้างความรู้สึกผิดหวังให้เกิดขึ้นกับเธอไม่น้อย
ในระยะหลัง ๆ ดูเหมือนสามีของเธอไม่เคยมีเวลาว่างเลย เต็มไปด้วยความวิตกกังวล และยิ่งนานวันเขาก็ยิ่งเก็บตัวมากขึ้นจนเธอไม่สบายใจ หลายครั้งที่เธอคิดจะเขียนจดหมายไปหาซอว์เยอร์ ด้วยความหวังว่าพี่สาวบุญธรรมของสามีอาจจะรู้เรื่องตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับตัวเขา และอาจจะให้คําแนะนําอะไรกับเธอได้บ้าง
“ผมทอดทิ้งคุณถึงขนาดนั้นเชียวหรือซูมิ”
“ใช่ค่ะโคล คุณทอดทิ้งฉัน แต่ฉันก็เข้าใจความรู้สึกของคุณดีนะคะ และเชื่อด้วยว่า พ่อไม่ได้ตัดสินใจผิดเมื่อเลือกคุณเป็นผู้บริหารไรซิ่ง ซัน ต่อจากท่าน ฉันอยากให้คุณมีความเชื่อในเรื่องนี้ด้วย”
“งั้นทําไมผมถึงต้องมีความรู้สึกแบบนี้ด้วยล่ะ” เขาคว้าเชอรี่ดอกหนึ่งที่ลอยร่วงมาตามลม เอากลีบบางเบาทาบเข้ากับเรียวปากของภรรยา “มันเกือบสวยเท่าคุณเชียวนะ” เขาใช้กลีบดอกไม้นั้นเคลียไคล้เรียวปากของเธออยู่
“ฉันนึกไม่ถึงเลยว่าปีนี้เชอรี่จะออกดอกสวยงามจับใจ เสียดายจริง ๆ นะที่พ่อไม่ได้อยู่เห็นความสวยของมันด้วย พ่อชอบที่นี่มากกว่าที่ไหน ๆ ในโลก ตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันชอบตามพ่อขึ้นมาบนนี้ แล้วก็เข้าไปซ่อนตัวอยู่พุ่มไม้ คอยจับตามองดูว่าพ่อจะทําอะไรบ้าง แล้วก็เห็นท่านสวดมนต์อธิษฐาน เพื่อความสุขของพวกเราทุกคน และ...”
“และอะไร” โคลถามอย่างแปลกใจ หยิบดอกไม้อีกดอกหนึ่งขึ้นมาถือไว้ “ครั้งหนึ่งคุณยายเคยตัดเสื้อสีนี้ให้ซอว์เยอร์ใส่ คุณยายถึงกับเอาเชอรี่กลับไปบ้านด้วยนะ ตอนที่เดินทางมาเที่ยวที่นี่ ซอว์เยอร์สวยมากเวลาสวมชุดที่ตัดเย็บด้วยการออกแบบของคุณยาย เห็นไหมว่าผมเองก็มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องแฟชั่นเหมือนกันนะ” เขาพูดปนหัวเราะราวขบขันตัวเอง
“พ่อฉันมักจะอธิษฐานขอบคุณเสมอ สมัยเด็กนั้นยังจําได้ว่า...มันคล้ายกับพ่อพูดกับใครคนหนึ่งอยู่ แต่ก็ไม่มีใครอยู่บนเนินเขาลูกนี้เลย พอฉันเห็นยังงั้นก็รีบวิ่งกลับไปเล่าให้แม่ฟัง แล้วแม่ก็บอกว่า...แม่บอกว่า...บางทีพ่ออาจจะพูดกับ...เอ้อ...เพื่อนของพ่ออยู่ก็ได้
“ทั้งที่ตอนนั้นฉันเพิ่งอายุเจ็ดขวบ แต่ฉันก็ไม่ยอมเชื่ออยู่แล้ว ฉันสงสัยในคําตอบของแม่แล้วก็คาดคั้นจะเอาคําตอบให้ได้ ว่าเพื่อนคนนั้นของพ่อคือใคร เขาเป็นแบบเดียวกับเพื่อนที่ฉันสร้างขึ้นในมโนภาพหรือเปล่า เพราะมองไม่เห็นตัว...
“แล้วแม่ก็บอกว่า...เอ...แม่บอกว่าอะไรนะ..ฉันก็ลืมไปแล้วละ เพราะมันนานมาแล้วนี่นา...เรากลับกันเถอะ เดี๋ยวซอว์เยอร์ก็จะโทรมาแล้ว เขาย้ำตั้งหลายครั้งว่าเป็นเรื่องสําคัญ”
โคลโอบแขนลงรอบไหล่แบบบางเมื่อพยุงร่างเธอให้ยืนขึ้น ซูมิเป็นหญิงสาวร่างเล็ก เมื่อยืนขึ้นแล้วเธอก็สูงเพียงแค่อกเขาเท่านั้น ถ้าเธอตัวสูงกว่านี้ เขาก็คงจะสังเกตเห็นแววตื่นกลัวที่ฉายแสงอยู่ในดวงตาของเธอบ้าง
แต่เขาก็สัมผัสอาการสั่นระริกที่เกิดอยู่กับเธอได้ แต่ก็คิดเอาเองว่าน่าจะเป็นเพราะความเหนื่อย ดังนั้นเขาจึงช้อนร่างเธอขึ้นไว้ในอ้อมแขนพาเดินลงเขา สายลมอ่อนพัดพากลีบดอกไม้ให้ร่วงหล่นอยู่ตรงหน้า
“โคลคะ ฉันคิดว่าตอนนี้ถึงเวลาที่คุณควรจะกลับไปเยี่ยมบ้านที่เท็กซัสบ้างแล้วนะ” ซูมิเอ่ยขึ้น
“ไว้ให้คุณคลอดลูกก่อนดีกว่า เราจะได้ไปพร้อมกันทั้งหมดเลย คุณไม่อยากอวดลูกคนแรกของเราหรอกหรือ”
“แหม...อยากสิคะ แต่สําหรับครั้งนี้ฉันคิดว่าคุณน่าจะไปคนเดียวนะ บางทีคุณอาจจะมีเรื่องต้องปรึกษาหารือกับใครบางคนทางครอบครัวบ้างก็ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะอนุญาตให้ไปแล้วไปเลยหรอกนะคะ คุณต้องสาบานกับฉันด้วยว่าจะรีบกลับมา”
“ถึงกับต้องสาบานเชียวหรือนี่” โคลถามปนหัวเราะ
“ก็แน่ละสิคะ”
จนเมื่อลงมาถึงสวนไม้ดอก เขาจึงได้วางเธอลงยืน และซูมิก็กล่าวต่อว่า
“นั่งตรงนี้ก่อนเถอะค่ะโคล ฉันจะเอาซัปโปโรมาให้ ถึงเวลาที่ฉันจะต้องกินวิตามินกับชารสชาติแปลกประหลาดที่หมอสั่งแล้วด้วย แล้วก็จะเลยเอาโทรศัพท์ออกมาให้คุณข้างนอกนี่ เผื่อซอว์เยอร์โทรมาจะได้พูดจากันตรงนี้ไม่ต้องเข้าไปในบ้าน นั่งพักให้สบายนะคะ”
“รู้สึกว่าคุณจะเจ้ากี้เจ้าการมากไปหน่อยแล้วรู้ตัวหรือเปล่า” โคลยิ้มยั่ว ตบก้นภรรยาเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู “ไป...ไปเอาซัปโปโรมาได้แล้ว ผมจะเดินเล่นในสวนนี่แหละ”
นอกจากเนินเขาที่เต็มไปด้วยป่าเชอรี่แล้ว สวนไม้ดอกแห่งนี้คือสถานที่สงบสงัดอีกแห่งหนึ่งที่เขาโปรดปรานอย่างที่สุด เป็นสวนไม้ดอกที่ได้รับการตกแต่งไว้ตามแบบนิกายเซ็น เมื่อครั้งที่ชาดาฮารุยังมีชีวิตอยู่ เขาจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่แต่ในสวนไม้ดอกแห่งนี้ด้วยเช่นกัน ถึงกับว่าอยากจะตายในบอกสวนนี้ ถ้าเพียงแต่มันจะไม่ทิ้งความทรงจําอันน่าเศร้าไว้ให้ครอบครัวทางเบื้องหลังเท่านั้น
โคลเดินผ่านน้ำตกจําลอง ข้ามสะพานไม้ที่ทอดตัวโค้งอยู่เหนือลําธารไปจนถึงมายาวจึงได้ทรุดตัวลงนั่ง ถามตัวเองอยู่ว่า...เมื่อถึงคราวที่เขาจะต้องตายลง เขาจะยินดีตายในแผ่นดินที่มิใช่บ้านเกิดเมืองนอนหรือไม่ หรือว่าอยากจะกลับไปตายที่เท็กซัส....
เขาสะบัดศีรษะขับไล่ความคิดที่รังแต่สร้างความทุกข์ใจให้เกิดขึ้นออกไปเสีย ไม่รู้เหมือนกันว่าความคิดเช่นนั้นเกิดขึ้นจากอะไร
เขาทอดสายตาเหม่อลอยไปในความว่างเปล่า ครุ่นคิดอยู่แต่เพียงว่า ความตายนั้นอีกนานนักกว่าที่มันจะเดินทางมาถึง และเพราะความหมกมุ่นอยู่กับความคิดเกี่ยวกับเรื่องของความตายทําให้เขาแทบไม่ได้หันไปมอง เมื่อซูมิเอาเบียร์กับโทรศัพท์มาวางลงให้ เธอยังยืนรีรออยู่ตรงนั้นอีกเป็นครู่ ด้วยความหวังว่าเขาจะชวนให้นั่งลงด้วยกัน แต่เมื่อเขายังคงจับตาอยู่กับต้นบันไซ เธอก็ค่อย ๆ ถอยห่างออกมา ด้วยน้ำตาคลอเบ้า ดูเหมือนยิ่งนานวัน เขากับเธอก็ยิ่งจะห่างเหินกันมากขึ้น
ท่านคือใคร หรือท่านคืออะไรนะ ชิกาตะ มิทส...แต่ไม่ว่าท่านจะเป็นใครหรืออะไรก็ตาม ผมรู้ว่าขณะนี้ท่านได้เข้ามาอยู่ในสวนแห่งนี้แล้ว ผมสามารถสัมผัสความรู้สึกนั้นได้...
ความคิดของเขาวนเวียนอยู่แต่คําว่าจิตวิญญาณ, เทพารักษ์และชาดาฮารุ ฮาเซกาว่า ในตํานานของชาวญี่ปุ่นสมัยโบราณนั้นมีเรื่องราวที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณผู้พิทักษ์อยู่มากมาย เขาเคยพูดเรื่องนี้กับปู่ของไรเล่ย์ นับแต่ครั้งแรกที่เขาย่างเท้าก้าวเข้ามาในสวนไม้ดอกแห่งนี้ และท่านผู้เฒ่าก็ยิ้มให้แทนคําตอบ
